ความหลงใหล แรงบันดาลใจ และ หน้าที่ (Passionate, Inspired & Duty)
ความหลงใหล แรงบันดาลใจ และ หน้าที่
(Passionate, Inspired & Duty)
Wh-- what do you mean? A JOB???
ระยะเวลาภายหลังจากที่เสร็จสิ้นจากในส่วนของการเขียนงานล่าสุดไป ดูเหมือนว่ามันก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ผมกำลังมองหาในการพยายามคิดถึงหัวข้อที่จะชวนคุยในเรื่องราวต่าง ๆ ไปพอดี
ผมไม่รู้ว่ามันเป็นช่วงเวลานานแค่ไหน และนานเท่าไหร่
ทว่าเรื่องหนึ่งที่ผมรู้คือ ความหลงใหลที่ผมมีต่องานเขียน ณ เวลาตอนนี้ เหมือนว่ามันเริ่มจะค่อย ๆ กลับมาเมื่อผมได้เริ่มที่จะหยิบหนังสือมาอ่านแบบจริง ๆ จัง ๆ เสียแล้ว…
A little bit of everything, all the time.
เรากลับมาอีกครั้งสู่หัวข้อการสนทนาที่มันอาจเรียกว่าไม่เชิงเป็นการคุยเท่าไหร่นัก
ในช่วงเวลาที่ผ่านมาผมได้ทิ้งท้ายสำหรับส่วนของการตั้งคำถามเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ที่ผมได้พูดคุยไป อย่างไรก็ดี การจะค้นหาคำตอบเหล่านั้นได้มันก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของคนแต่ละคน ซึ่งมันไม่มีคำว่า ‘ถูก’ หรือ ‘ผิด’ และไม่มีการให้คะแนนใด ๆ นอกเหนือจากมีไว้เพื่อกระตุ้นต่อมความคิดและ ‘ตกผลึก’ จากเรื่องราวที่ได้ผ่านพ้นเข้ามา
และสำหรับในครั้งนี้เองเช่นเดียวกัน ผมยังคงจะหยิบเอาในสิ่งที่มันไม่เพียงแต่เป็นการบ้านเอาไปให้คิดปวดหัวกันเล่น ๆ (?) แต่ยังเป็นการแนะนำวิธีการ ‘จัดระเบียบทางความคิด’ อย่างหนึ่งด้วย
งานที่หลงใหล (Passionate Work)
งานที่ได้รับแรงบันดาลใจ (Inspired Work)
งานตามหน้าที่ (Duty Work)
Uehehe~ so lazy~
ในช่วงชีวิตของคนแต่ละคน พวกเราต่างรับรู้กันได้โดยไม่ยากเย็นว่า ‘การทำงาน’ นั้นดูจะกลายเป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อชีวิตของมนุษย์มากเป็นไหน ๆ
กล่าวกันว่าเกือบครึ่งค่อนของชีวิตมนุษย์ พวกเรานั้นต่างล้วนมีการทำงานกันอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าต่อให้จะเป็นในช่วงเวลาตื่นและเวลาหลับ ‘งาน’ ถือได้ว่ากลายเป็นสิ่งที่พวกเราต่างจำต้องก้มหน้าทำมันไปอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ไม่มีมนุษย์ผู้ใดสามารถอยู่นิ่งเฉยได้ โดยปราศจากซึ่งการทำงาน
ทว่าในการทำงานแล้วนั้น จุดประสงค์ของมันที่นอกเหนือจากเพียงการได้รับซึ่งค่าตอบแทนอันสมน้ำสมเนื้อ มันก็ยังมีสิ่งที่เรียกว่า ‘ผลประโยชน์’ ที่ไม่เพียงแต่มันจะกลายเป็นเครื่องแลกเปลี่ยนอย่างเดียว หากแต่มันยังหมายถึงการมอบหมายและจัดระบบระเบียบให้กับตัวของเหล่าผู้คนที่ต่างกำลัง หลงทาง อยู่กับความมืดมิดในชีวิต ผู้ที่พวกเขาไม่อาจที่จะลืมตาอ้าปากให้ได้ขึ้นมามีฐานะทำกิน และขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจในสถานที่อยู่ของตนเองต่อไป
อย่างไรเอง สิ่งหนึ่งที่ผมอยากให้ขยายความเข้าใจกันเสียหน่อย ไม่เพียงแต่พูดถึงเรื่องของงานอย่างเดียว แต่ยังรวมไปถึง ‘ประเภทของงาน’ ที่มันได้มีการ จัดเรียง (Listing) เอาไว้เช่นเดียวกัน
งานที่หลงใหล (Passionate Work)
“เรารักงาน มากกว่าที่เรารักตัวเอง”
ความหลงใหล และการได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบคงเป็นเหมือนอะไรที่ทำให้เรามีเป้าหมายให้ทำอยู่ตลอดเวลา และแน่นอนว่าประเภทของงานเหล่านี้อาจล้วนเป็นได้ทั้งสิ่งที่มันสร้างได้ทั้ง ‘คุณประโยชน์’ และ ‘ผลประโยชน์’ ในเวลาเดียวกัน
เมื่อใดที่ผู้คนรู้สึกรักและหลงใหลในการทำงานนั้น ๆ เมื่อนั้นที่คุณภาพของผลงานมันจะออกมาในรูปแบบที่ดี เปี่ยมไปด้วยซึ่ง ปณิธานอันแรงกล้า ในการที่มันจะทำให้พวกเขามีความต้องการเพื่อผลิตหรือทำงานนั้นต่อไป อาจด้วยเหตุผลในการหล่อเลี้ยงชีวิตของตัวเอง จนอาจเรียกได้ว่าตัวเขาถือเป็น ‘ส่วนหนึ่ง’ ของการทำงานไปแล้ว
อย่างไรก็ดี ในความหลงใหลนั้นมันก็ยังมีอีกงานประเภทหนึ่งที่มักจะถูกพูดรวม ๆ กันอยู่เสมอ
งานที่ได้รับแรงบันดาลใจ (Inspired Work)
“ในทุกชิ้นงานล้วนมีเศษเสี้ยวส่วนเล็ก ๆ ที่มีที่มาจาก ‘ความหลงใหล’ อยู่เสมอ
ผลประโยชน์ที่มีมากกว่าเพียงมูลค่าของเงินตรา นั่นคือการจุดประกายในการทำให้ผู้คนต่างเรียนรู้ที่จะกลายเป็น ‘ผู้สร้างสรรค์’ แม้เพียงแค่การได้เห็นและสัมผัสกับประสบการณ์เพียงแค่หนึ่งหรือสองครั้งไปก็ตาม
แรงบันดาลใจ ล้วนเปรียบดั่งเป็น ‘เชื้อเพลิง’ สำหรับการใช้ความคิดสร้างสรรค์และสร้างเสริมจินตนาการของเราให้กลายเป็น ‘สิ่งเฉพาะตัว’ ที่มันอาจเป็นการนำเสนอในแนวรูปแบบที่ไม่เคยมีใครค้นพบ หรือไม่ก็มันคือเครื่องหลักฐานยืนยันได้อย่างชัดเจนถึงการมีอยู่ของคนผู้นั้น
เหล่าผู้อุทิศตนเองเพื่อสร้างผลงานที่เป็นแรงบันดาลใจ มักจะย่อมมีการสร้าง ‘สังคม’ เล็ก ๆ อันเป็นพื้นที่สำหรับการแลกเปลี่ยนเทคนิคและแนวทางการทำงานในแบบฉบับความถนัดของตัวเองอยู่เสมอ เห็นได้ชัดเจนจากสำหรับในสถานที่ ๆ เรียกว่าวงการ แฟนด้อม (Fandom) หรือแม้แต่แวดวงของผู้ทำงานศิลปะ บางคนมีการนำเอาแรงบันดาลใจจากผู้มีชื่อเสียงในการทำงานที่มาจากความหลงใหลในสิ่งที่พวกเขาชื่นชอบมาตั้งแต่ต้น
‘ความหลงใหล’ และ ‘แรงบันดาลใจ’ ทั้งสองทำงานอย่างพร้อมเพรียงกัน เสมือนกับเป็นสิ่งที่มันหล่อเลี้ยงชีวิตซึ่งกันและกัน
หากแต่ไม่ว่าจะด้วยอย่างไรก็ดี เมื่อระยะเวลาได้ดำเนินผันเปลี่ยนไป
ความหลงใหลและแรงบันดาลใจ ก็ได้ก่อเกิดสิ่งใหม่อย่างหนึ่งขึ้นมา…
งานตามหน้าที่ (Duty Work)
“นิยามของหน้าที่ในตัวมนุษย์คืออะไร? ความหมายนั้นอาจเป็นเฉกเช่นเดียวกับการทำงานของพวกเขา”
We got a job to do
‘หน้าที่’ สิ่งที่ไม่อาจหนีพ้น ไม่ว่าจะด้วยอยู่ในสถานะใด ๆ ก็ตาม
แม้จะเป็นเรื่องยากที่จะรู้ได้ว่าคำว่า ‘หน้าที่’ แท้จริงแล้วมันมีความหมายอย่างไร ใครเป็นผู้กำหนด หรือแม้แต่สิ่งใดคือตัวบ่งชี้วัดว่ามันคือหน้าที่ของมนุษย์
เมื่อใดที่เรามีงาน เมื่อนั้นเองคำว่า ‘หน้าที่’ มันจะกลายเป็นสิ่งที่ตามมา
ความสำคัญอย่างยิ่งยวดสำหรับการเอาชีวิตรอด ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นได้อยู่ตลอดเวลา
เราดิ้นรน เราล้มลุกคลุกคลาน เราใช้ชีวิต และในเวลาเดียวกันเอง เราก็เรียนรู้ที่จะประพฤติตัวโดยมีสิ่งที่เรียกว่า ‘ความรับผิดชอบ (Responsibility)’ คอยเป็นตัวในการตบให้เราหันกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองเช่นเดิม
งานตามหน้าที่ ถือได้ว่าเป็นส่วนสำคัญสำหรับการทำให้เกิดความก้าวหน้าไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ในส่วนหนึ่งมันอาจเป็นความจริงที่ว่างานประเภทนี้ มักจะตามมาพร้อมกับความเหน็ดเหนื่อย ปัญหาและอุปสรรค หรือในบางครั้งมันก็กลายเป็นสิ่งที่ต้องใช้แรงใจอย่างมหาศาลมาก ๆ ที่จะสามารถทำมันไปได้ในระยะเวลานาน ๆ โดยที่ไม่เบื่อหรือตัดสินใจล้มเลิกมันไปซะก่อน
‘ การเขียนนิยาย’ สำหรับผมมันประกอบไปด้วยรูปแบบของงานทั้งสามที่ผมได้นิยามไป คำนิยามเหล่านั้นถือเป็นเพียง ‘มุมมองปัจเจก’ ที่ตัวผมเองมีต่อพวกมัน หากแต่เมื่อถึงเวลาปฏิบัติจริงนั้นอาจมีการปรับเปลี่ยนไปตามแต่สถานการณ์ + สภาพของร่างกายที่มันส่งผลต่อการทำงานได้มากพอสมควร
การสร้างสรรค์นั้นมีขอบเขต และขอบเขตที่ว่าขึ้นอยู่กับ ‘ความสามารถ’ ของแต่ละคนที่พวกเขาสามารถทำได้
แตกต่างกันอย่างชัดเจนกับคำว่า ‘จินตนาการ’ อันดูเหมือนกลายเป็นสิ่งที่ขาดหายไป เมื่อเรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคของเทคโนโลยีที่มันทำให้เราต่างหลงลืมถึงการมีอยู่ของสิ่งต่าง ๆ และขาดซึ่ง ‘วิจารณญาณ’ และ ‘การแยกแยะ’ ที่มันตัดขาดความเป็นมนุษย์ และเครื่องจักรกลไป
แม้แง่หนึ่ง สิ่ง ๆ นี้อาจช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้กับชีวิตของเรา ช่วยในการร่นระยะเวลาสำหรับการไม่ต้องกระทำในสิ่งที่มันยุ่งยากและต้องใช้ ความพยายาม (Effort) ในการดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง หากแต่ในมุมมองกลับกัน มันก็ทำให้เราสูญเสียความเป็นเอกลักษณ์บางอย่างที่มันน่าจดจำไป ความรู้สึกของการได้สัมผัสถึง ‘ความเอาใจใส่’ ที่คน ๆ หนึ่งจะมีต่อการทำงานของตัวเองไป
ตลอดช่วงระยะเวลาของการที่ผมหายหน้าหายตาไปนานพอประมาณ ผมได้หันหลังกลับไปเพื่อย้อนมองดูตัวเอง ย้อนมองดูเรื่องราวในแวดวงการวิดีโอเกม และในเรื่องราวทางสังคมที่มันมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าเรากำลังอยู่ในปี 2025 อันเป็นช่วงเวลาหนึ่งที่มันมีเรื่องราวมากมายชวนหัวปวดเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา
หัวข้อในการพูดถึงความขัดแย้งที่เกี่ยวกับชายแดนระหว่างประเทศ อันมีจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ มาจากความโลภและผลประโยชน์อันไม่ลงรอยกัน ก่อให้เกิดกลายเป็นชนวนความรุนแรงที่นำมาสู่การสูญเสียชีวิต
ภัยอันตรายจากการเสพข่าวสารทางสื่อโซเชียลโดยขาดการไตร่ตรองที่มาที่ไปอย่างชัดเจน
สื่อสำนักข่าว เหล่าผู้มีชื่อเสียง การปลุกระดมกองกำลังของผู้คนให้หันกลับมายึดเอาตัวเองเป็น ‘ศูนย์กลางของโลก’ ไปอีกครั้ง
ความสงสัยใคร่ครุ่นคิด และสิ่งที่ซ่อนไว้อยู่ภายใต้อุดมการณ์ของความเป็นชาติ โดยแลกมาพร้อมกับการสร้างความเกลียดชังให้แก่กันอย่างไม่รู้ตัว
ที่จริงแล้ว ผมยังมีเรื่องอยากจะพูดถึงมากกว่านี้ หากแต่ต้องขออภัยที่ผมเองคงไม่อาจจะสามารถ ‘ตกผลึก’ กับเรื่องราวเหล่านี้ได้หมดทุกอย่าง และแม้ต่อให้ผมทำได้ ถึงตอนนั้นสภาพจิตใจของผมมันก็ ‘แตกสลาย’ เกินเสียกว่าที่ผมจะรู้สึก สมเพช ในเผ่าพันธุ์และ ‘ความเป็นมนุษย์’ ที่ตัวผมเองเป็น
การตื่นขึ้นมาโดยที่ยังมีลมหายใจ
โดยที่ยังสามารถคงไว้ซึ่ง ‘สติสัมปชัญญะ’ ของตัวเองได้อย่างครบถ้วน
เพียงแค่นั้น… มันก็ถือว่ามากพอสำหรับการเป็น ‘มนุษย์’ แล้ว
ณ เวลานี้…
อย่าได้ห่วงไปว่าผมจะละทิ้งหรือไม่พูดถึงมัน การติดตามถึงสถานการณ์และความเป็นไปต่าง ๆ ก็ถือเป็น ‘การทำงาน’ อีกอย่างหนึ่งในฐานะของผู้ที่มีความพยายามในการใฝ่รู้ซึ่งหลากหลายสิ่ง รวมถึงเปิดใจให้กว้างขวางมากขึ้น แม้ว่าในหลายครั้งมันอาจจะประสบกับเรื่องของการที่ผมมักจะมีการกำหนด ‘มาตรฐาน (Standard)’ เอาไว้อยู่ในใจของตัวเองไปก็ตาม
ในที่นี้ผมกำลังพูดถึงตัวของวงการในงานเขียนที่ผมสังเกตการณ์อยู่อย่างเงียบ ๆ
แม้จะไม่ใช่อะไรที่อยากนำมาพูดถึงบ่อยนัก กระทั่งกับเรื่องของการวิจารณ์เองก็ไม่ต่างกัน ผมยอมรับว่าในส่วนนี้มันเป็นเฉกเช่นเดียวกับสิ่งที่ผมเคยได้พูดไปเมื่อช่วงปีก่อนหน้า ว่าด้วยเรื่องราวของ ‘ปัญหาของนิยายออนไลน์กับความนิยมที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา’ อันถือเป็นเรื่องที่ในช่วงปัจจุบันมันยังคงมีปัญหาอยู่เช่นเดิมและไม่ได้ห่างหายไปไหน อาจมีส่วนที่เพิ่มเติมขึ้นมาบ้างคือในแง่ของการนำเอา ‘ปัญญาประดิษฐ์’ เข้ามามีส่วนข้องเกี่ยวกับเรื่องของการสร้างสรรค์งานภาพประกอบ (หรือภาพปก) ซึ่งหากมองกันในเชิงความเป็นกลางแล้ว สิ่งเหล่านั้นดูเหมือนว่ามันมีจุดประสงค์เพื่อการ ‘เพิ่มอรรถรส’ มากเสียกว่าเป็นการทำให้มันกลายเป็นสิ่งสำคัญ กลายเป็น ‘มาตรฐาน’ ที่นักเขียนทุกคนต่างต้องทำตามเหมือนกันหมด
ผมไม่อาจทำความเข้าใจได้ว่า อะไร ทำให้จากงานที่ถูกเรียงร้อยด้วยตัวอักษร กลับกลายเป็นว่ามันมีการนำเอาส่วนของงานทัศนศิลป์มาเป็นส่วนประกอบไปได้
ทั้งนี้อย่าเพิ่งเข้าใจผมผิดไป ผมไม่ได้บอกว่าการนำภาพประกอบมาใส่ในงานวรรณกรรมจะเป็นสิ่งที่ผิดแปลกแต่อย่างใด การเขียนหนังสือนั้นถือเป็นการใช้ศาสตร์และศิลปะของการเรียบเรียงร้อยถ้อยคำ การออกแบบภาษา และรวมไปถึงการเล่นคำและความหมายต่าง ๆ ออกมาในรูปแบบที่กระตุกความสนใจให้กับผู้อ่านเพื่อที่จะอยากรู้เรื่องราวต่อไปที่มันกำลังจะเกิดขึ้น
‘แก่นหลัก’ ของมันคือเรื่องของการนำคำและตัวอักษร ในขณะเดียวกันส่วนที่เหลือที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการใช้คำและความหมายที่ผู้เขียนสามารถพลิกแพลงได้ตามความต้องการของตัวเอง ส่วนเหล่านั้นถือเป็นเพียง ‘แก่นเสริม’ ที่มีไว้เพื่อการอธิบายหรือแสดงออกมาเพื่อความเข้าใจที่ละเอียดมากขึ้น
แน่นอนว่าทั้งหมดนี้อาจเป็นแค่ ‘ความคิดเห็น’ สำหรับในมุมมองของผู้เสพผลงานวรรณกรรมและงานนวนิยายเพียงคนหนึ่ง ไม่มีในสิ่งที่เรียกว่าเป็น ‘ความรู้ขั้นสูง’ หรืออาจหาญกล้าที่จะวิจารณ์สิ่งใดอย่างตรงไปตรงมา ผมยังคงใช้เวลาเพื่อที่จะถ่อมตัวและหันมาสำรวจตัวเองอยู่เสมอ เพื่อที่จะไม่ให้ตัวเองหลงทางไปกับ ‘เป้าหมายแรกเริ่ม’ ที่ได้วางเอาไว้ โดยในขณะเดียวกันก็พยายามทำความเข้าใจถึงแนวทางความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไปพร้อม ๆ กัน
ผมจะยังคงจับตาดูสิ่งนี้อย่างเงียบเชียบ
สังเกตการณ์มันให้นานพอ
ตราบจนกว่าจะถึงเวลาที่ผมจะเริ่ม ‘ตกผลึก’ ถึงมัน
อีกครั้ง
และ...อีกครั้ง
ขอบคุณที่อ่านจนจบ
:)
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น