นิยามของคำว่า ‘คอนเทนต์’ และความทุกข์ทางสังคมอันน่าเป็นห่วง (Content & Social Suffering)

 


Somehow, people forget who they are.

ถือเป็นช่วงเวลาอย่างช้านานที่ผมไม่ได้โผล่มาเพื่อพูดคุยถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเสียเท่าไหร่ อันเนื่องมาจากเหตุผลที่ว่า ณ เวลาในช่วงเดือนพฤศจิกายนนั้น มันเป็นเดือนที่ค่อนข้างเต็มไปด้วยสิ่งต่าง ๆ มากมายหลายอย่างที่เกิดขึ้น

บรรดาเรื่องราวชวนให้ถกเถียงในสังคมก็ดี

ปัญหาความขัดแย้งที่ไม่มีวันสิ้นสุดก็ดี

หรือตราบไปจนถึงเรื่องราวของ ‘ความไม่จริงจัง’ ในการกระทำอะไรสักอย่างที่มันควรจะมีบทสรุปที่ชัดเจน หาใช่เพียงเพื่อต้องการทำไปเพราะรักษา ‘ผลประโยชน์เบื้องหลัง’ ตรงนั้นเอาไว้

ความวุ่นวายต่าง ๆ มากมายที่มันถาโถมเข้าใส่อย่างไม่มีวันหยุดหย่อน นำพาทำให้สิ่งที่เรียกว่า ‘ข่าวร้าย’ นั้นกลายเป็นเหมือนกับสิ่งที่พวกเราเสพสมกันจนชินตาไปแล้ว เรามองเห็นถึงการกระทำอันขาดไร้ซึ่งความเป็นมนุษยธรรมในพื้นที่ต่าง ๆ ประกอบเข้ากับแม้แต่กระทั่งการไหลไปตาม ‘กระแสสังคม’ ซึ่งไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่ ผมยังคงคิดว่าการสร้าง ‘จุดยืน’ ในตัวเองมันยังคงเป็นสิ่งสำคัญอยู่ตลอด และไม่มีวันที่มันจะจางหายไปไหน

เราหลงลืมตัวตนเดิมของเรา

เฉกเช่นกับที่ตัวเราหลงลืมถึง ‘เรื่องราวเก่า ๆ’ เมื่อครั้งที่มันยังเป็นพื้นที่เป็นกลางอยู่

หากจะให้ผมขยายความถึงสิ่งที่พูดออกไป แน่นอนว่าผมกำลังวิจารณ์ถึงสิ่งที่เรียกว่า ‘โลกอินเทอร์เน็ต’ ในช่วงเวลานี้อยู่ (เผื่อว่าพวกคุณหรือใครก็ตามที่สงสัยมัน ;) )

แน่นอนว่าที่ผ่านมาผมพยายามเก็บงำเรื่องนี้มาโดยตลอด ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่กันที่ผมหลงลืมถึงการที่ตัวเองได้หันกลับมามองความเปลี่ยนแปลงนับตั้งแต่ที่เริ่มในการเขียนบล็อกแห่งนี้ขึ้นมา

จุดเริ่มต้นของการที่มันเป็นเพียงการบันทึกการเดินทางก่อนที่อายุจะเข้าใกล้เลขหลัก ‘สามสิบ’ ขึ้นไป

ช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงที่ผมไม่อาจทราบได้แน่ชัดว่าตอนนั้นตัวผมเองจะมีชีวิตไปในทิศทางแบบไหน

หากแต่นั่นคงไม่ได้เป็นเรื่องสำคัญอะไร นอกเหนือจากเพียงการนำหัวข้อ ๆ หนึ่งที่เรียกว่าถือให้มันเป็น ‘อาหารทางความคิด (Food for thought)’ เพื่อลองกลับไปทบทวนถึงนิยามและความหมายของมันอีกครั้ง

คอนเทนต์ (Content)

โดยที่ไม่อาจรู้ได้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่คำ ๆ นี้มันถูกบัญญัติขึ้น อย่างไรเองก็ตาม เพื่อที่จะให้เข้าใจถึงความหมายโดยอ้างอิงจากสำนักราชบัณฑิตยสภา ผมอาจจะขอยกมันมาแปะไว้ ณ ตรงนี้เสียแล้วกัน

สนเทศ, เนื้อหา เป็นศัพท์บัญญัติของคำว่า content คอนเทนต์ หมายถึง เนื้อหาสาระของสารที่นำเสนอหรือถ่ายทอดผ่านฐานช่องทาง (platform) ต่าง ๆ ทั้งทางออนไลน์และออฟไลน์อย่างมีวัตถุประสงค์ชัดเจน

เนื้อหาอาจจะปรากฏอยู่ในรูปของคำ เสียง ข้อความ ตัวเลข รูปภาพ กราฟิก หรือภาพเคลื่อนไหวที่ผู้สร้างสรรค์จะเลือกนำมาประมวลเรียบเรียง และถ่ายทอดเป็นเรื่องราวตามวัตถุประสงค์ในยุคที่เทคโนโลยีเพื่อให้สามารถสื่อสารผ่านประสาทสัมผัสได้หลากหลายมิติ การถ่ายทอดเนื้อหาจึงอาจจะเป็นการนำเสนอเพิ่มเติมในรูปแบบของการสัมผัสด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้าร่วมด้วย”

ที่มา – สำนักราชบัณฑิตยสภา

ส่วนของข้อมูลเพิ่มเติมสามารถไปค้นหาได้ตามช่องทางเว็บเบราว์เซอร์ทั่วไป อย่างไรก็ตามเอง ในส่วนของการแยกแยะว่าอะไรคือ ‘คอนเทนต์’ และอะไรที่ไม่ใช่ ‘คอนเทนต์’ นั่นคือสิ่งที่คุณต้องใช้วิจารณญาณด้วยตัวคุณเองแทน

ทว่าผมไม่ได้เขียนสิ่ง ๆ นี้เพื่อจุดประสงค์เช่นนั้น ทว่ามันคือการตั้งคำถามและการย้อนไปตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงที่ผ่านมาของสิ่งต่าง ๆ มากมายที่มันล้วนเกี่ยวข้องกับนิยามของคำ ๆ นี้ขึ้นมาแทน

หากว่าเป็นไปตามที่ผมคาดเดาได้ไม่ผิด ผมเริ่มรู้จักกับคำ ๆ นี้ได้นับตั้งแต่ช่วงสมัยระหว่างที่การเข้ามาของสื่อออนไลน์มันเริ่มกลายเป็น ‘กระแสหลัก’ ได้ แม้จะไม่ได้แทนที่อย่างเต็มตัวกับสิ่งที่มันถูกนำเสนอออกมาอย่างเป็นทางการในสื่อสาธารณะ อย่างไรก็ดี วันวานได้เปลี่ยนผ่านไป ความนิยมของผู้คนที่ต้องการรับทราบข่าวสารจากช่องทางอย่างเป็นทางการที่มีความน่าเชื่อถือได้เริ่มลดลง

โซเชียลมีเดีย (Social Media)เข้ามาเปลี่ยนแปลงส่วนนั้นของเรา และกว่าที่เราจะตระหนักรู้ถึงมัน เราก็ถูกพันธนาการโดยตัวมันไปแล้วเรียบร้อย…

คุณสนใจอะไร...

คุณกำลังคิดอะไรอยู่...

หนังโปรดที่คุณชอบคือเรื่องอะไร…

เกมที่คุณชอบเล่นเป็นประจำคือเกมอะไร…

วันนี้คุณเป็นยังไงบ้าง…

คุณกำลังพึงพอใจกับชีวิตที่เป็นอยู่ตอนนี้ หรือเปล่า?

โดยไม่อาจไหวตัวได้ทัน การเข้าไปพัวพันเป็นส่วนหนึ่งของโลกโซเชียล ก็ได้ผูกโยงพวกเราเข้าติดกันจนเหมือนกลายเป็น ‘เครือข่าย (Network)’ ไปแล้ว…

ยุคของการเชื่อมต่อกันผ่านทางโลกออนไลน์ เป็นอะไรที่มันมีความสะดวกสบาย และที่สำคัญมันเองยังนำพามาซึ่งประโยชน์มากมายอันคาดไม่ถึง ซึ่งอย่างที่เรา ๆ ต่างทราบกันเป็นอย่างดีถึงเรื่องนี้ ความสะดวกของการติดต่อสื่อสารผ่านเพียงปลายนิ้วมันช่างเป็นความอัศจรรย์ใจที่ไม่มีใครต่างคาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้น

เราเริ่มต้นจากการพูดคุยกันผ่านกระดาษแผ่น ๆ หนึ่งที่เรียกกันว่า ‘จดหมาย (Letter)

ตราบมาจนกระทั่งผ่าน ‘ตัวอักษร’ ที่ถูกเคาะลงไปบนแป้นพิมพ์ที่ถูกเรียกว่า ‘จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (E-Mail)

ก่อนจะมาหยุดอยู่ ณ สื่อสมัยใหม่อย่าง ‘เครือข่ายสาธารณะ (Social Network)ไปแทน

ไม่ต้องห่วง นี่ไม่ใช่การตัดสิน แต่มันเป็นเพียง ‘ข้อเท็จจริง’ ที่มันเกิดขึ้น ความเป็นจริงเองแล้ว พวกเราต่างก็กำลังวนเวียนอยู่ในกระแสความเปลี่ยนแปลงของทางสังคมโลกอยู่ ณ เวลาตอนนี้ หากแต่สิ่งหนึ่งที่มันแตกต่างออกไปจากช่วงยุคสมัยก่อนนั่นคือกระแสของมันไหลผ่านไปเร็วมากเสียจนบางครั้งสมองของผมก็ไม่อาจจะประมวลผลได้ทัน

อาจเป็นเพราะอายุอานามที่เพิ่มขึ้น หรือไม่ก็เป็นเพียงเพราะด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง

บางอย่างที่ผมเลือกจะไม่พูดถึงมัน บางอย่างที่ผมกำลังหมายถึง ‘ด้านมืด’ หรือ ‘ดาบสองคม’ เกี่ยวกับโลกโซเชียลที่น้อยคนจะดำดิ่งเพื่อรับรู้ถึงสิ่ง ๆ นั้น

มาสิ อ้าปากให้กว้าง ๆ

ตอนนี้เรามี ‘คอนเทนต์’ นำเสนอให้คุณแล้ว



อันที่จริงแล้วจะเรียกว่ามันเป็น ‘ด้านมืด’ คงไม่เชิงเสียเท่าไหร่

แต่ต้องเรียกได้ว่ามันเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการที่ผู้คนต่างต้องการในการวิ่งเข้าหา ‘กระแส’ เพื่อที่จะสร้างตัวตนในโลกออนไลน์ไปเสียมากกว่า และแน่นอนว่านั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดแต่อย่างใด

ผมเองยอมรับว่าส่วนหนึ่งก็เคยเป็นเช่นนั้น ผู้ใช้เวลาเกือบครึ่งค่อนชีวิตส่วนหนึ่งของตัวเองลงไม้ลงแรงไปกับการสร้าง ‘ตัวตนในโลกออนไลน์’ ขึ้นมาจนในที่สุดมันก็สำเร็จผล แม้อาจไม่ได้โดดเด่นมากเสียจนเรียกได้ว่าตัวผมเองเป็น ‘ผู้มีอิทธิพลทางสังคม’ อย่างไรก็ตาม ผมยังคงเลือกที่จะวางตัวในฐานะของ ‘ปุถุชนผู้ต้องการใช้ชีวิตอย่างสันโดษ’ อยู่เช่นเดิม

การออกมาเพื่อพูดหรือสื่อสารอะไรบางอย่าง ทั้งหมดเป็นเพียงการทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองในฐานะของนักเขียนคนหนึ่ง

ผมอาจไม่เคยพูดเรื่องนี้ (หรืออาจเคยมาก่อน) อย่างไรเองก็ตาม ผมค่อนข้างกังวลต่อการมีชื่อเสียงของตัวเองอยู่ในระดับหนึ่ง ทั้งหมดมันล้วนเกิดขึ้นจากการที่ผมหวงแหนสิ่งที่เรียกว่า ‘ความเป็นส่วนตัว (Privacy)’ อันเป็นสิ่งที่สำคัญมากพอ ๆ กับความกังขาในเรื่องของความปลอดภัยทางด้านเทคโนโลยีหรือข้อมูลที่มันมีการรั่วไหลออกไปผ่านช่องทางสาธารณะ

แน่นอนว่าเรื่องนี้อาจฟังดูเหมือนเป็นเรื่องที่ฟังจนชินตาหรือชินหูไป อย่างไรก็ดี การเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยในยามเมื่อการเข้ามาของสื่อออนไลน์กลายเป็น ‘กระแสหลัก’ อย่างเต็มตัวนั้น แน่นอนว่ามันก็เป็นสิ่งที่พวกเราต่างไม่อาจตัดขาดมันได้อย่างถาวร

การล้มของเครือข่ายสื่อสารครั้งใหญ่ อาจส่งผลทำให้วินาทีของ ความเป็น & ความตาย ของชีวิตคน ๆ หนึ่งเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่อาจหวนกลับ

และในขณะเดียวกัน ครั้นจะปฏิเสธมันอย่างถาวร ก็ไม่ต่างจากการที่พาตัวเอง ‘ปลีกวิเวก (Isolation)ออกจากสถานที่อันดำเนินไปอยู่ ณ เวลาปัจจุบัน

อย่างไรก็ดี นั่นคือทั้งหมดในส่วนของการติดต่อสื่อสาร หากแต่ในอีกส่วนหนึ่งที่มันผุดขึ้นในช่วงยุคสมัยก่อนการที่ผู้คนกำลังมองหาหนทางในการสร้างผลประโยชน์จากมัน แน่นอนว่าสิ่ง ๆ หนึ่งที่ผมคงจะไม่พูดถึงเลยคงไม่ได้ก็คือการสร้าง ‘สื่อสนเทศ’ อันเป็นสิ่งที่เราเห็นกันได้ราวกับเป็นชีวิตประจำวันโดยทั่วไป

ตลอดของช่วงเวลายามเปลี่ยนผ่านเข้าสู่การหันกลับไปมองช่วงอดีตจนถึงปัจจุบัน ผมไม่อาจทราบได้อย่างชัดเจนนักว่าเมื่อไหร่ที่การนิยามสิ่งที่ถูกสร้างสรรค์ขั้นทั้งหมด กลับถูกเรียกโดยองค์รวมว่ามันคือ ‘คอนเทนต์’

คำนิยามของมันแม้จะเป็นการครอบคลุมถึงเรื่องราวต่าง ๆ มากมายที่มันถูกนำเสนอขึ้นผ่านช่องทางสาธารณะ อย่างไรก็ตาม ความหมายของคำ ๆ นี้มันกลับทำให้คุณค่าของสิ่งที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมากลายเป็น ‘สิ่งธรรมดาทั่วไป’ และแม้ว่ามันอาจฟังดูปกติดี ทว่าเมื่อลองเพ่งความตั้งใจหรือตระหนักถึงนิยามของมันขึ้น เรากลับพบว่าสิ่งเหล่านั้นมันดูเป็นการสื่อความหมายที่ไม่มีเนื้อหาสาระสำคัญอันใดแต่อย่างใด

อย่าเพิ่งเข้าใจผิด ผมไม่ได้หมายถึงทุกสิ่งทุกอย่าง

หากแต่ผมกำลังหมายถึงเนื้อหาบางอย่างที่มันถูกส่งต่อออกไปโดยปราศจากซึ่งข้อมูลอ้างอิง หรือการแอบแฝงนัยสำคัญที่ซ่อนอยู่ภายใต้ฉากหน้าที่มันถูกฉาบด้วยความตั้งใจของ ‘ผู้สร้าง’ ขึ้นมา

หากลองพิจารณาดูถึงชีวิตประจำวัน ลองสำรวจดูชีวิตของตัวเองอย่างถี่ถ้วนให้ดี คุณอาจสังเกตเห็นว่าตัวคุณเองกำลังรับสารเหล่านั้นไปอยู่อย่างไม่รู้ตัว

อย่ากังวล อย่าตื่นตระหนก

รับฟังอย่างระมัดระวัง

สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ

ช้า ๆ

หายใจออก และหลับตาลง

และกระซิบกับตัวเอง

เรากำลังทำอะไรอยู่?

เราสูญเสียเวลาไปแล้วกี่นาที กี่ชั่วโมง และกี่วัน?

ทุกอย่างมันจะต้องโอเค ใช่ไหม?

ใ ช่ ไ ห ม?

(Credit - Jeong yumyum)

ขอโทษทีที่ผมอาจทำให้คุณรู้สึกไม่สบายใจ อย่างไรเอง ข้อความที่สื่อสารไปข้างบนนั้นคือการที่ผมอยากให้ย้ำเตือนถึง ณ ช่วงเวลาปัจจุบันที่คุณกำลังอ่านบล็อกนี้อยู่

ผมคงต้องขอโทษด้วยที่ผมเองคงไม่สามารถให้คำนิยามอันชัดเจนเกี่ยวกับมันได้ และต้องยอมรับว่านี่มันไม่บ่อยนักที่ผมได้สังเกตเห็นถึง ‘ความเจ็บป่วยทางสังคม’ ของผู้คนจำนวนมากมายที่มันไม่สำคัญว่าพวกเขาจะมีฐานะอะไร หรือต่อให้สูงศักดิ์หรือมีชื่อเสียงมากแค่ไหน ทว่าสิ่งหนึ่งที่มันกลายเป็นสิ่งสากลที่พวกเราต่างรับรู้ทั่วถึงได้แก่กัน มันคือสิ่งที่แฝงมาพร้อมกับกระแสของความเปลี่ยนแปลงที่มันไม่มีวันจางหายไป

ความทุกข์ทางสังคม (Social Suffering)

เพื่อจะเป็นการสื่อความหมายในแบบที่ไม่มีคำนิยามอย่างเป็นทางการ ผมอาจจะขอเรียกมันว่ามันคือ ‘ความรู้สึกร่วม’ ที่เกิดขึ้นภายในสังคมของมนุษย์เสียแล้วกัน

จากช่วงเวลานับตั้งแต่ที่ผ่านมายาวนานกว่าหลายปีหรือหลายเดือน หนึ่งในสิ่งที่เรียกว่า ‘ความทุกข์’ นั้นกลายเป็นสิ่งที่มนุษย์เฉกเช่นพวกเรากำลังเผชิญหน้ากับมันอย่างเนิ่นนาน และแน่นอนว่าในหลาย ๆ ครั้งการมองหาหนทางในเชิงของความเชื่อทางศาสนาก็ดี หรือแม้แต่การก่อตั้งลัทธิความเชื่อขึ้นมาด้วยจุดประสงค์บางอย่าง หากแต่สิ่งหนึ่งที่มันมีจุดร่วมเหมือนกันทั้งหมด นั่นคือในทุกความเชื่อของสิ่งที่เราสร้างล้วนต้องการที่จะ ‘ดับทุกข์’ ที่พวกเรากำลังเผชิญกันอยู่ ณ ห้วงเวลายามนี้

การดับทุกข์’ กลายเป็นเหมือนคำที่ฟังดูมีความหมายแฝงบางอย่าง และในที่นี้มันอาจหมายถึงหนทางที่มันไปสู่สิ่งที่เรียกว่า ‘ปรินิพพาน’ ซึ่งทั้งนี้ผมอาจไม่ขอลงลึกในส่วนนั้น เนื่องด้วยไม่มีความเชี่ยวชาญในความรู้สายนี้มากเพียงพอ

และสำคัญ นี่ไม่ใช่การพูดถึง ‘ความเชื่อทางศาสนา’ แต่เป็นการสร้าง ‘การตระหนักรู้’ ในรูปแบบของการตั้งคำถามทางปรัชญาที่ปราศจากการใช้วาทศิลป์อันสละสลวย

อาจเรียกว่ามันเป็นหนึ่งใน ‘ความสนใจส่วนบุคคล’ เมื่อยามที่ผมว่างเว้นจากการใช้เวลาถลุงไปกับการเขียนงาน เล่นวิดีโอเกม หรือแม้แต่ช่วงของการดื่มด่ำไปกับการอ่านหนังสือ สิ่งหนึ่งที่มันเป็นเรื่องธรรมดาและเรียบง่าย เฉกเช่นการออกไปเดินสูดอากาศหรือทอดสายตาออกไปมองบริเวณรอบที่อยู่ของตัวเอง การประพฤติตัวอย่างระมัดระวังราวกับแสดงออกถึง ‘ความหวาดระแวง’ หากแต่แท้จริงแล้ว มันเป็นเพียงการใช้สมาธิและคลายความรู้สึกหวาดกลัวที่มี

ในหลายครั้ง เรามักจะไม่รับรู้ถึงสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่นอกเหนือความสนใจของเรา

แต่เรากลับรับรู้ถึง ‘ความรู้สึกของตัวเอง’ ซึ่งนั่นทำให้ผมย้อนมองกลับไปยังช่วงเวลาที่ตัวผมเองกำลังอยู่ในช่วงที่ดำดิ่งกับความคิดตัวเองอยู่ในขณะนั้น…

มันคงไม่ใช่เรื่องที่ดีเสียเท่าไหร่ และหากให้ว่าตามตรง ช่วงของความย่ำแย่นั้นมันยิ่งทวีคูณมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อผมยังคงใช้เวลาไปกับการไถหน้าโซเชียลมีเดีย คาดหวังถึงความเปลี่ยนแปลงที่ตัวเองต้องการ โหยหาและต้องการให้ใครสักคนเข้าใจถึงสิ่งที่เป็น จวบจนกระทั่งยามเมื่อครั้งที่ผมตัดสินใจอย่างเด็ดขาดในการ ‘ตัดขาดการติดต่อ’ ทุกอย่างไป เมื่อนั้นเองผมก็ได้เริ่มเข้าใจถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น

มันไม่เกี่ยวกับว่า ‘โลก’ จะหมุนรอบตัวเราเองหรือไม่

มันไม่เกี่ยวกับว่า ‘ใคร’ คือผู้มีอิทธิพลเบื้องหลังของเรา

ตัวตนที่เราเคยยึดถือ’ สักวันหนึ่งมันจะถูกกระชากออกไป

เหลือเพียงก็แต่สิ่งที่เรายืนหยัดเอาไว้

ความศรัทธา’ และ ‘ความหลงใหล’

เรา’ ก็คือ ‘เรา’ มันไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป

นอกเสียจากว่าเราจะ ‘หลง’ อยู่ในที่แห่งนั้น จนลืมหันมามองดูตัวเอง

ผลพวงจากเมื่อช่วงเวลานั้นทำให้ผมเรียนรู้ถึงตัวผมเองไปมากขึ้น แม้วันและเวลามันอาจดูสายเกินไปในมุมมองทางสังคม อย่างไรเองสิ่งเหล่านั้นก็เป็นเพียงแค่ ‘ค่านิยม’ ที่มันกำหนดขึ้นกลายเป็นสิ่งที่เชื่อถือกันมาอย่างยาวนาน และหลงคิดไปเพียงว่ามันคือ ความสำเร็จ ที่ดูเหมือนมันจะนำมาซึ่ง ความภาคภูมิใจ ที่คน ๆ หนึ่งสมควรได้รับ

ช่างน่าแปลกที่ผมไม่เคยรู้สึกเช่นนั้น…

ในนิยามเกี่ยวกับความสำเร็จนั้นมีอยู่มากมาย ทุกคนต่างสามารถที่จะพูดถึงมันได้อย่างต่อยหอยชนิดที่ว่าต่อให้เป็นคนชนชั้นรากหญ้าเองก็ล้วนสามารถพูดถึงสิ่งนี้ได้ อย่างไรก็ดี การยกย่องหรือเชิดชูในเรื่องราวของ ‘ความสำเร็จ’ นั้นดูเหมือนเป็นสิ่งที่ถูกผูกโยงเข้ากับแนวคิดทางปรัชญาอย่าง ‘สุขนิยม (Hedonism)’ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แน่นอนว่าดั้งเดิมของแนวคิดเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่แย่

การได้มีความสุขพร้อมกับความสำเร็จนั้นเป็นสิ่งที่ดี เราทุกคนต้องการมัน และมันคือความเป็นจริงที่ปฏิเสธไปไม่ได้ ตลอดระยะเวลาของการได้ใช้ชีวิตอยู่และได้ดื่มด่ำอย่างอิ่มหนำสำราญ ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงอันไม่แน่นอน การยึดถือในเรื่องของการค้นหาความสุขให้กับตัวเอง ถือเป็นอีกหนึ่งแนวคิดที่มันยังคงเป็น ‘อมตะ’ อยู่มาจนถึงในเวลาช่วงปัจจุบัน

อย่างไรเองก็ดี อาจต้องขอให้พึงระวังไว้เสมอว่า ‘ความสุข’ และ ‘ความสำเร็จ’ คือสิ่งอันเป็นนามธรรมที่คุณค่าเหล่านั้นอยู่ที่การตีความของแต่ละคน

ผมคงไม่ได้ตั้งใจในการถ่ายทอดสิ่ง ๆ นี้เพื่อที่จะบอกถึง หรือแม้แต่ให้ใครก็ตามเพื่อไปค้นหาความสุขหรือแสวงหาซึ่งความสำเร็จในแบบของตัวเอง หากแต่มันเป็นการสื่อความหมายในเรื่องของการให้ความเคารพและรับฟังต่อมุมมองที่แตกต่างกัน เจตนารมณ์ของผมคงไม่มีอะไรนอกจากการตั้งคำถาม ไม่ว่าจะทั้งกับตัวผมเอง หรือใครก็ตามที่ผ่านเข้ามาอ่านสิ่งนี้ มันแต่เป็นเพียงการแสดงออกในฐานะของผู้ที่ต้องการเพียงแค่อยากเล่าเรื่องบางอย่างออกมาโดยคาดหวังเพียงแค่ไม่ให้มีใครต้องไหลเวียนไปตาม ‘กระแสสังคม’ ที่มันเป็นอยู่โดยช่วงเวลาปัจจุบัน ณ ตอนนี้

เอาเข้าจริง ในแง่ของการตั้งคำถามมันคงเป็นอะไรที่มีจำนวน ‘เยอะ’ เกินไป

เยอะเสียเกินกว่าจะมองหาว่าอะไรคือ ‘คำตอบที่แท้จริง’

การคลุกคลีกับการค้นหาสิ่งนั้นให้ความรู้สึกไม่ต่างอะไรจากการมองหา ‘ความจริงแท้ (Absolute Truth)ที่มันเปรียบได้ดั่งพลังอำนาจที่มองไม่เห็น โดยที่เราอาจไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าในรายละเอียดอันเล็กจ้อยเหล่านั้น มันมีทั้งสิ่งที่เรียกว่า ‘ความจริง (True)และ ‘ความเป็นจริง (Reality)ผสมปนเปกันอยู่

……….

……………….

ในบางครั้ง พวกเราต่างก็หลงลืมว่าตัวเองเป็นใคร

จนกระทั่งเมื่อเราได้ตระหนักและมองเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงทั้งหมด

เราอาจรู้ว่าอะไรคือ ‘ความจริง’

แต่เราอาจไม่ล่วงรู้ถึง ‘ความเป็นจริง’ ที่อยู่ตรงหน้า

ถึงเวลาที่พวกคุณควรพักผ่อนได้แล้ว

หลับฝันดี ราตรีสวัสดิ์

 

ความคิดเห็น