[บอกเล่าประสบการณ์ EP.3] สนธิสัญญาแห่งการปรองดอง รอยแตกร้าวในความสัมพันธ์ และความเกลียดชังอันสูญเปล่า (Blue Archive องก์ 3)
“ทุกสิ่งล้วนไร้ค่า ไร้ความหมาย (Vanitas Vanitatum)”
อาจเรียกได้ว่าเวลามันผ่านไปนานมากกว่าหลายเดือนที่ผมไม่เคยรู้สึกว่า การที่ปล่อยให้ตัวเองได้เสพสมกับเรื่องราวภายในโลกของเกม ๆ นี้นั้น มันจะทำให้ผมมีแนวความคิดที่เริ่มค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงตัวเองไป (แม้ในความเป็นจริง มันจะไม่ได้แตกต่างจากเดิมไปก็ตาม xD)
หากแต่ทั้งหมดทั้งมวลที่ว่ามา ผมคงไม่มีอะไรจะแสดงความรู้สึกออกมาได้มากกว่าคำว่า ‘มาสเตอร์พีซ (Masterpiece)’ สำหรับในส่วนของเนื้อเรื่องส่วนองก์ 3 ที่ผมได้เล่นจบไป
ต้องขออภัยและอนุญาตเสียเล็ก ๆ สำหรับการที่ผมห่างหายไปจากการ ‘บอกเล่าประสบการณ์’ มาแสนนาน หากแต่สำหรับครั้งนี้ ผมคิดว่ามันคงถึงเวลาอันเหมาะอันควรที่ผมคิดว่าการแสดงความรู้สึกอันท่วมท้นที่มีต่อเกม ๆ นี้ มัน “ล้ำค่า” มากเสียจนไม่อาจประเมินใด ๆ ได้
ความธรรมดาที่แสนพิเศษ
และประสบการณ์ชวนอมยิ้ม
กระนั้นก่อนอื่นเพื่อที่จะไม่ให้เป็นการเข้าเรื่องเร็วเกินไป ผมมีคำถามที่อยากถามออกมาก่อนเป็นอย่างแรก
มนุษย์คนหนึ่งสามารถมีความสุขได้หรือไม่?
การมีความสุขนั้นถือเป็น ‘สิทธิ์อันพิเศษโดยชอบธรรม’ เฉพาะเพียงคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือว่ามันควรเป็นของทุก ๆ คน?
เป็นไปได้ไหมที่ ‘ความดี’ และ ‘ความชั่ว’ มันอาจเป็นสิ่ง ๆ เดียวกัน?
หรือแท้จริง... พวกเราต่างเป็น ‘ผู้ถูกลงทัณฑ์’ ให้อยู่ในนรก
“เราจะรู้ได้ยังไงว่าสวรรค์นั้นมีอยู่จริง?”
คำตอบเพียงอย่างเดียวสำหรับเรื่องนั้น คงขึ้นอยู่กับ ‘ความเชื่อ’ ที่แต่ละคนจะมี
ความศรัทธาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นล้วนมีอำนาจมากมายเกินกว่าจินตนาการที่ยากจะหยั่งถึง หากไม่นับถึงรูปแบบของทางศาสนา มันอาจเป็นได้ทั้ง ‘ความศรัทธา’ ไม่ก็เป็น ‘ความหวัง’ ที่เรามีต่อสิ่ง ๆ หนึ่งมากเป็นพิเศษ สิ่งหนึ่งที่แม้ดูแล้วจะไร้ซึ่งความหมาย ไร้ค่า และไร้ประโยชน์
ดั่งประโยคที่ว่า ‘ทุกสรรพสิ่งล้วนไร้ความหมาย’ อันเป็นประโยค ๆ หนึ่งที่ผมได้ยินจากปากของนักเรียนจากสถาบัน ‘อาเรียส (Arius)’
ครั้งนี้อาจมีความแตกต่างกว่าครั้งก่อนหน้า แต่โดยหลัก ๆ ผมอยากให้ทำความเข้าใจแบบคร่าว ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่ามันค่อนข้างมีความหนักหน่วงในด้านการ ‘สปอยล์’ เนื้อหาสำคัญ ๆ ในบางจุด และอย่างที่เข้าใจได้ไม่ยากว่าเกม Blue Archive เป็นเกมที่มีเนื้อเรื่องเป็นส่วน ‘หัวใจหลัก’ รองลงมาจากระบบเกมเพลย์ ซึ่งนั่นแปลว่าตลอดทั้งโพสต์นี้ที่ผมกำลังจะบอกกล่าวเล่าประสบการณ์ มันหมายความว่าผมอาจมีความจำเป็นต้อง ‘เตือน’ ล่วงหน้าต่อเหล่าเซนเซย์ที่ยังเล่นไม่ถึงเนื้อหาช่วงองก์ 3 (Volume 3)
[ พื้นที่สำหรับการทำใจล่วงหน้า ]
[ 3 ]
[ 2 ]
[ 1 ]
...........
..............
.................
ยินดีต้อนรับสู่การ ‘บอกเล่าประสบการณ์’ ตอนที่สามสำหรับ Blue Archive อีกเช่นเคย
ผมไม่รู้ว่าตลอดทั้งเวลาการเล่นที่ผมได้ดำดิ่งลงไปในเนื้อเรื่องนั้นควรจะแสดงความรู้สึกที่มีต่อมันในรูปแบบไหน หากแต่การที่มันเปิดเรื่องมาด้วยการเริ่มเนื้อหาเกี่ยวกับ ‘สนธิสัญญาเอเดน’ มันทำให้ผมนึกย้อนไปถึงเรื่องราวในประวัติศาสตร์ที่มันเคยเกิดขึ้นในโลกแห่งความเป็นจริง
พวกคุณ (หรือเรา) คงต่างทราบกันดีว่าในโลกของคิโวทอสนั้น มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ดูคล้ายคลึงกับที่ ๆ เราอยู่ แต่ส่วนหนึ่งที่ต่างออกไปนั่นคือพวกเรานั้นต่างเป็น ‘มนุษย์’ หรือ ‘ผู้ใหญ่’ ที่ยังคงต้องดิ้นรนอยู่อย่างเอาตัวรอดในทุกเวลา ทุกวินาทีที่มันผ่านพ้นไป
ความซับซ้อนอันเกิดขึ้นจากการตั้งข้อสงสัยที่มีต่อกัน นำพาให้เราเรียนรู้ที่จะเริ่ม ‘จำแนก’ ผู้คนออกไปเป็นกลุ่ม ๆ หากแต่นั่นเป็นเพียง ‘ก้าวแรก’ ของเรื่องราวเท่านั้น
ผมเชื่อว่าคงไม่มีใครอยากที่จะถูกจำแนกตัวเองออกจากสังคมที่เป็นอยู่ เฉกเช่นเดียวกับการถูกมองว่ากลายเป็น ‘พวกแปลกแยก’ ในสังคมไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรเอง ในระบบการปกครองทางกฎหมายนั้น การจำแนกประเภทของผู้อยู่อาศัยมันมีผลต่อการสร้างวิธีและระบบการปกครอง ซึ่งในส่วนของ ‘ชมรมชั้นเรียนเสริม’ ก็คือประเภทของนักเรียนที่ไม่สามารถทำคะแนนได้ถึงเกณฑ์มาตรฐานที่ถูกตั้งไว้
‘เกณฑ์มาตรฐาน’ หากเปรียบเปรยให้สอดคล้องได้กับความเป็นจริงในโลกของเรา ที่เห็นได้ชัดกว่ามันคือ ‘ค่านิยมทางสังคม’ ที่มันกำหนดขึ้นจากมุมมองของผู้อยู่เบื้องสูง
อย่างไรเองมันอาจไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันเสียถาวรเลยทีเดียว หากแต่มันกลับเป็นสิ่งที่ถูก ‘กำหนด’ ขึ้นมาด้วยจุดประสงค์ที่เกี่ยวกับ ‘ความเชื่อใจ’ ที่มันไม่มีอะไรมาเป็นหลักฐานยืนยันได้ชัดเจน
“ความเชื่อใจ” คืออะไร?
ราคาของมันอาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับ ‘นิยาม’ ที่สังคมกำหนด
แต่มันอาจขึ้นอยู่กับ ‘มุมมอง’ และ ‘การแสดงออก’ ที่ผ่านออกมายังตัวตนของคน ๆ นั้น
นอกนั้นล้วนอยู่ที่เป้าหมายและ ‘เจตนา’
ในช่วงแรกของเรื่องราวที่ดำเนินไป นอกเหนือไปจากการที่เรา (ตัวผู้เล่น) ไม่เพียงแต่จะทำหน้าที่ตามยังที่ ‘สภาน้ำชา’ แนะนำ หากแต่ทางกลับกัน มันทำให้เราได้มองเห็นมุมมองอีกด้านหนึ่งที่อยู่นอกเหนือไปจากตัวของนักเรียน มุมมองจากผู้ที่กำลังดูเรื่องราวผ่านสายตาของ ‘เซนเซย์’ ซึ่งมันเริ่มมีการปรากฏภาพที่ชัดเจนมากขึ้น
‘ตัวตนของเซนเซย์’ อาจเป็นได้ทั้งเสมือนเป็น ‘นักการทูต’ และ ‘อาจารย์’ ผู้ทำหน้าที่ไม่เพียงแต่อบรมสั่งสอนนักเรียน แต่มันยังหมายถึงการเอาใจใส่ การให้โอกาส การรับฟังถึงปัญหาและการเข้าอกเข้าใจในสิ่งที่พวกนักเรียนต้องการ
อาจเป็นปกติทั่วไปที่พวกเขาจะแสดงออกมาในรูปแบบที่ไม่พึงประสงค์
กระนั้นอย่างไรเสีย นักเรียน ล้วนก็ยังเป็น นักเรียน และพวกเขายังถือเป็น ‘เด็กสาว’ คนหนึ่งที่ต้องการ ‘ผู้ใหญ่’ ในการชี้แนะแนวทาง เพื่อให้พวกเขาได้ตามหาถึงเส้นทางความเป็นไปได้ สิ่งที่ชอบทำ สิ่งที่ถนัด ตราบไปจนถึงการได้รู้สึกถึง ‘การเอาใจใส่’ ได้เรียนรู้ว่าพวกเขานั้นไม่ได้อยู่อย่างเดียวดายบนโลกใบนี้
ซึ่ง ทั้งหมด ที่ผมได้บอกไป นั่นเป็นเพียง ‘ส่วนของเรื่องราว’ ภายในเนื้อเรื่องเกมเท่านั้น
อย่างไรก็ดี เมื่อเราลองย้อนถอยออกมาสู่จากโลกในเรื่องราวของคิโวทอส หากแต่มองกลับมายังโลกในเรื่องราวของความเป็นจริง ‘ความเชื่อใจ’ นั้นอาจไม่ใช่สิ่งที่เป็นปัญหามากเท่ากับเรื่องของการที่ผู้ใหญ่บางคน เลือกที่จะ ทรยศ ต่อความเชื่อใจของเด็กนักเรียนที่พวกเขามี ในหลายครั้งของการที่ผมได้ดื่มด่ำกับโลกในเรื่องราวไป ประกอบไปพร้อมกับการครุ่นคิดถึงในการนำสิ่งที่ได้เสพสมนั้นมาเพื่อ ‘ตกผลึก’ ถึงเนื้อเรื่องที่เกมมันสื่อออกมา ผมอดไม่ได้ทุกครั้งที่จะจินตนาการไม่ได้ถึงเรื่องราวก่อนหน้านั้นที่ตัวตนของ ‘เซนเซย์’ จะปรากฏขึ้น เรื่องราวในอดีตก่อนหน้าที่มันดำเนินไปในรูปแบบที่เรามักพยายามวาดฝันถึง ความจริงของโลกใบนี้ ที่ไม่อาจมีใครหยั่งถึง
อาจฟังดูเพ้อเจ้อเสียหน่อย ทว่าถ้าให้เทียบแบบเห็นภาพง่าย ๆ ผมกำลังพูดถึงเรื่องราวของ ‘สงคราม’ และ ‘ความขัดแย้ง’ ต่าง ๆ ที่มันแสนชวนยุ่งเหยิงและเต็มไปด้วยความวุ่นวายที่เกิดขึ้น
ผู้ใหญ่ จำนวนมากมายในโลกปัจจุบัน พวกเขาต่างถูกหล่อหลอมด้วยชุดความคิดบางอย่างที่แตกต่างจากพวกเรา (เซนเซย์) และโดยส่วนใหญ่ถ้าหากว่าผมไม่ได้พยายามคิดไปเอง ผู้ใหญ่เหล่านั้นมีมุมมองต่อเหล่า ‘เด็ก’ หรือ ‘นักเรียน’ ที่มองเสมือนเป็นเพียง ‘เครื่องมือ’ ในการใช้งานเพื่อที่จะไต่เต้าให้ตัวเองได้งานในตำแหน่งที่สูงใหญ่ ขณะที่เหล่าเด็ก ๆ หรือพวกนักเรียนเองกลับต้องทนทุกข์อยู่ในความทรมาน ความเจ็บปวด และการถูกปลูกฝังในค่านิยมแบบผิด ๆ ที่ทำให้พวกเขามองตัวเองเหมือนเป็น ‘ฆาตกร’ มากกว่าที่จะได้ ‘ใช้ชีวิต’ อย่างที่พวกเขาไม่เคยปรารถนาถึง
ซึ่งมันค่อนข้าง ‘เลวร้าย’ เกินไปที่จะเป็นแบบนั้น
ในช่วงสองบทแรกของเกม เนื้อหามีการพูดถึงสิ่ง ๆ หนึ่งที่มันดูเหมือนเป็น ‘ตัวแปรสำคัญ’ ที่มันนำไปสู่เรื่องราวที่ใหญ่มากกว่าแค่การเป็นเพียง ‘เกมสำหรับภัยสังคม’ (ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็น ‘คำเรียกเล่น ๆ ติดปาก’ ทั่วไป ไม่มีอะไรร้าย ๆ แอบแฝงภายในนั้น)
สิ่ง ๆ นั้นมันถูกเรียกว่า ‘สนธิสัญญาเอเดน (Eden Treaty)’
สนธิสัญญาในการแสดงออกถึงความเป็นมิตรภาพน้ำหนึ่งใจเดียวระหว่างสองสถาบันหลักอย่าง ทรินิตี้ กับ เกเฮนน่า ซึ่งในส่วนนี้ผมอาจจะต้องขอข้ามรายละเอียดทั้งหมดไป เพื่อที่จะให้ไปติดตามกันเอาเองในเนื้อเรื่องของเกม
อย่างไรก็ตาม ในช่วงของการพยายามมีการลงนามถึงเรื่องของ ‘สนธิสัญญา’ ที่ว่านั้น เบื้องหลังก่อนหน้ามันกลับมีบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล สิ่งที่จากเดิมมันควรจะเป็นไปอย่างที่ควรเป็น กลับกลายดูเหมือนว่ากลับถูกโยงเข้าหากันเสียจนกลายเป็นเรื่องราวชวนใหญ่โตไปทั่วคิโวทอสแทน
และเช่นเคย… ทว่ามันกลับแตกต่างและไม่เหมือนเดิม
ช่วงของการดำเนินเรื่องราวในส่วนนี้อาจไม่หวือหวาเท่ากับช่วงของการที่ผมได้เห็นถึงเจตนารมณ์ของเด็กนักเรียนคนหนึ่งในเนื้อเรื่อง ซึ่งเธอมีส่วนในฐานะของ ‘ตัวแทนความปรองดอง’ ที่ซึ่งได้แฝงตัวอยู่ในกลุ่มเดียวกันกับเหล่าเด็กจากชั้นเรียนเสริมที่แม้จะมาจากต่างสถาบัน ทว่าเป้าหมายเพียงอย่างเดียวที่พวกเธอมีกลับเป็นการสอบเพื่อให้ตัวเองได้ผ่านเกณฑ์จากชั้นเรียนเสริมนั้น
และใช่
ผมคงจะไม่พูดถึงคงไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องของ
‘สภาน้ำชา (Tea
Party)’
พวกเธอเปรียบได้กับเป็นกลุ่มของผู้มีความตั้งใจในการร่างสนธิสัญญาเอเดนขึ้น จุดประสงค์จะเป็นอะไรคงหนีไม่พ้นเรื่องราวของการยุติความขัดแย้งอันแสนยาวนานที่เคยมีให้แก่กัน แน่นอนว่าสิ่งที่ผมกำลังพูดถึงอยู่มันเกี่ยวกับเรื่องของ ‘การเมือง’ อย่างไม่ต้องสงสัยใด ๆ
ที่จริงแล้ว… ในส่วนของเรื่อง ๆ นี้ผมอาจต้องออกตัวว่าไม่ได้มีความช่ำชองหรือเกรงว่าจะพูดถึงมันได้เยอะมากนัก
ทว่าอย่างไรเอง ผมคงต้องขอชมตัวทางผู้เขียนบทของเกมที่ได้มีการนำเสนอเรื่องราวนี้ในรูปแบบเข้าใจง่ายและไม่ซับซ้อน อย่างที่ผมเคยบอกไปเมื่อหลายโพสต์ก่อนหน้านี้ หรืออาจยังไม่เคยบอกไป หนึ่งในสิ่งหนึ่งที่ผมชอบมากที่สุดสำหรับเกม Blue Archive นั่นคือการที่ในรายละเอียดปลีกย่อยเล็ก ๆ ของมันจะไม่มีการสื่อสารออกมาแบบโต้ง ๆ ผ่านตัวของ Text Log หรือแม้แต่ในหน้าโหลดเข้าเกมแต่ละฉาก ๆ แต่กลับเลือกที่ใช้มันเสมือนเพียงแค่ ‘ขับเคลื่อน’ เรื่องราวออกไปให้ไกลมากกว่าแค่สถาบันศึกษาในคิโวทอสนั้น
แม้จะเป็นความน่าแปลกประหลาดใจ ชวนให้สงสัยใคร่รู้ แต่นั่นไม่ได้ทำให้รู้สึก ‘คิ้วขมวด’ เสียจนขัดกับบรรยากาศในการเล่น
ความยืดยาวของเนื้อหาในช่วงองก์ 3 อาจเรียกได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งที่มันพอ ‘ติ’ ได้นิดหน่อย แต่นอกเหนือจากนั้นแล้วผมกลับรู้สึกประทับใจ เซื่องซึม รวมไปถึงการย้อนกลับมาเพื่อตกผลึกอีกครั้ง ซึ่งนี่ไม่ใช่อะไรที่จะเกิดขึ้นได้บ่อยนักจากประสบการณ์ในการเล่นเกมแนวกาชาที่ผ่านมา
เรื่องราวของโลกใน Blue Archive คือ ‘ปริศนา’ ที่ยังไม่มีอะไรไขกระจ่าง
ทว่าคำถามคือ มันสำคัญมากขนาดนั้นหรือเปล่า?
ดำเนินเรื่องไปตราบจนถึงช่วงของบท 3 และ 4 ความกระจ่างชัดของมันได้เริ่มขยายใหญ่ขึ้นจากสเกลที่เพียงการต่อสู้กันของสถาบันที่สามอย่าง ‘โรงเรียนอาเรียส’ ที่มีต้นกำเนิดเกิดขึ้นจากพื้นที่อันเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง ความแร้นแค้น หิวโหย อดยาก หมายรวมไปถึงความทุกข์ทรมานที่มันเกิดขึ้นจาก ‘ผู้ใหญ่’ ผู้ยึดถือเพียงสิ่งที่ตัวเองเชื่อโดยไม่พิจารณาถึงความเป็นจริง ณ ที่มันดำเนินไป ผลพวงจากความพยายามเพื่อคาดหวังถึงการแสวงหาความจริง คือการได้เรียนรู้ถึงความพ่ายแพ้ที่เกิดขึ้นโดยปราศจากการคิด ไตร่ตรอง หรือแม้แต่การรับฟังสิ่งที่นักเรียนคนหนึ่งต้องเจอ
บิดเบือนทุกสิ่งอย่าง เพื่อฉุดลงจมสู่ ‘ห้วงนรก’ ที่ตัวเองสร้างขึ้น
และฉาบหน้ามันด้วยวาทศิลป์ที่เรียกว่า ‘ความจริง’
แม้จะฟังดูเหมือนเป็นอะไรที่เศร้าและน่าหดหู่ กระนั้นเราคงปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่าโลกของความเป็นจริงก็กำลังดำเนินไปในทิศทางนั้นอยู่ในปัจจุบัน
การปลูกฝังความเกลียดชังที่มีต่อกัน มันไม่อาจนำพามาสู่อะไรนอกจากเพียง ‘หายนะ’
โลกของเด็กนักเรียนในโรงเรียนอาเรียส ค่อนข้างเป็นสถานที่มีความแตกต่างจากในทุกสถาบันที่อยู่ภายในเกม ตัวละครอย่าง โจมาเอะ ซาโอริ เปรียบได้กับเป็นผู้ที่ถูกกดทับอยู่ภายใต้อาณัติของ ‘ผู้ใหญ่’ ที่กลับมองหาถึงแต่ผลประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าส่วนตัว ซึ่งไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม แม้เธออาจไม่ใช่หนึ่งในตัวละครที่ผม ‘อวย’ เป็นพิเศษ หากแต่กลับกันผมอดรู้สึกเป็นห่วงไม่ได้ถึงการที่เธอต้องแบกรับในฐานะของ ‘หัวหน้าสควอด’ คนหนึ่ง ผู้ที่เป็นดั่ง ‘พี่ใหญ่’ ที่ดูแลทุก ๆ คนอย่างสุดความสามารถ
บุคลิกของซาโอริ แสดงให้เห็นถึงบุคลิกของ ‘ผู้รอดชีวิต’ มากเสียกว่าจะเป็น ‘ผู้ใช้ชีวิต’ อย่างที่ต้องการ
ในช่วงเวลาหนึ่ง พวกเราต่างกลายเป็น ‘ซาโอริ’
หากแต่มันกลับน่าเศร้าโศกเสียยิ่งกว่านั้นหลายเท่า
เมื่อแท้จริง ‘ซาโอริ’ เธอไม่ได้ต้องการอะไรไปมากกว่า ‘โอกาสในการได้ใช้ชีวิต’
ใครหลายคนในโลกแห่งความเป็นจริง พวกเขาส่วนหนึ่งกำลังดิ้นรนในการเอาชีวิตรอดจากสิ่งที่พวกเขากำลังเผชิญหน้ากับมันอยู่ในสังคม น้อยคนนักที่จะได้เรียนรู้ถึงความหมายของการได้ ‘ใช้ชีวิต’ ว่าจริง ๆ แล้วพวกเขาอยากจะทำอะไร อยากจะเป็นคนแบบไหน และมีความปรารถนาในการที่ตัวเองอยากจะได้ ‘มีความสุข’ เหมือนกับมนุษย์ทั่วไป
หรือหากจะพูดให้ถูก ความปรารถนาของซาโอริ คือการได้มีชีวิตเหมือนอย่าง ‘เด็กสาวทั่วไป’ มากกว่าที่จะถูกปลูกฝังให้กลายเป็นผู้เคียดแค้น
และนั่นก็เป็นหน้าที่ของเรา เหล่า ‘เซนเซย์’ ทั้งหลายที่ต้องช่วยเหลือเธอ
มอบโอกาส มอบความหวัง และทำหน้าที่รับผิดชอบต่อสิ่งที่เด็กนักเรียนได้กระทำ
เรื่องราวในพาร์ทส่วนนี้ถือเป็นส่วนที่ผมรู้สึกนึกไม่ถึงว่ามันจะทำให้ผมรู้สึกซาบซึ้งมาก่อน เปรียบเทียบกันกับในช่วงสององก์แรก (อะบิดอส และ ชมรมพัฒนาวิดีโอเกม) ส่วนนี้ถือได้ว่ามันเป็นส่วนที่ใกล้ตัวมากที่สุด
การหยิบยกเอาเรื่องราวของผู้ที่เคยผิดพลาดมาก่อน และต้องการโอกาสในการกลับตัวกลับใจ แน่นอนว่าหากเปรียบเปรยเหมือนอย่างในสถานการณ์โลกแห่งความเป็นจริง คงเป็นเรื่อง ‘ยากมาก ๆ’ ที่ตัวของ โจมาเอะ ซาโอริ จะมีโอกาสกลับไปใช้ชีวิตได้เหมือนกับที่เด็กนักเรียนคนอื่น ๆ ได้เป็น
อย่างไรเองก็ตาม ผมอาจต้องขอ ‘ข้าม’ ในส่วนของเรื่องราวของเธอออกไป
และกลับมาสู่อีกตัวละครหนึ่งที่แม้จะไม่ได้อยู่ในรายชื่อนัก ทว่าความน่าสนใจเกี่ยวกับเธอนั้นกลับทำให้ผมเปลี่ยนแปลงความคิดบางอย่างของผมไป
และใช่ ผมกำลังพูดถึง ‘มิโซโนะ มิกะ’
ต้องเท้าความกันหน่อยเสียเล็กน้อยว่าตัวผมเองอาจไม่ได้รับรู้ถึงเรื่องราวของเธอมากนัก การแสดงออกของเธอถือได้ว่าเป็นคนค่อนข้างตรงไปตรงมา และดูเหมือนจะมีบุคลิกที่มีความแตกต่างมากกว่านักเรียนคนอื่น ๆ อยู่ไม่กี่จุด
อย่างแรก เธอคือหนึ่งในสมาชิกสภาน้ำชาของทรินิตี้
และอย่างที่สอง ภายใต้รอยยิ้มและความไร้เดียงสานั้น เบื้องลึกของเธอกลับมีจุดประสงค์และเป้าหมายที่ต้องการทำอะไรบางอย่างด้วยเจตนาที่ดี…
(แม้ว่าการกระทำนั้นจะไม่สอดคล้องกับ ‘เจตนารมณ์’ ที่ว่านั่นก็ตาม)
ทว่าในมุมหนึ่งเอง ความต้องการต่อการกระทำในเจตนาที่ดีในหลายครั้ง มักจะกลายเป็นว่ามันนำไปสู่เรื่องราวที่ชวนยากจะแบกรับเอาไว้
ถูกใส่ร้าย
ถูกทารุณกรรม
ถูกแขวนประจาน
ตลอดจนไปถึง ‘การเข้าใจไปในทางที่ผิด’
การปรากฏตัวของเธอในช่วงแรกดูเหมือนว่ามันจะทำให้ผมจับไต๋ของเธอได้ตั้งแต่แรก อย่างไรก็ตาม นั่นก็เป็นเพียง ‘ส่วนบทแรก’ ของเนื้อเรื่องในองก์ 3 ที่มันยังอยู่ในขอบเขตของการสอบให้ผ่านชั้นเรียนเสริม โดยยังไม่ได้แตะต้องไปถึงประเด็นเรื่องของ ‘สนธิสัญญาเอเดน’ ที่มันคือ ‘ใจความหลักสำคัญ’ ของเรื่องราวทั้งหมด
การดำเนินเรื่องนั้นมันดำเนินไปเสมือนเป็นแนวชีวิตประจำวันทั่วไป ประกอบเข้ากับองค์ประกอบเล็ก ๆ น้อย ๆ ของการสืบสวนสอบสวน การหาที่มาที่ไป พร้อมกันกับการได้เห็นมุมมองที่มันมีมากกว่าแค่ที่ตาเห็น
ตลอดทั้งเนื้อเรื่องขององก์ 3 เราจะได้เห็นตัวตนของนักเรียนแต่ละคนที่พวกเธอเหล่านั้นแสดงความชอบในแบบที่แตกต่างกัน ความทะเล้นทะลึ่งที่มันเสมือนเป็น ‘เปลือกนอก’ ที่ปิดกั้นมุมมองและความหวังดีเอาไว้ ความกลัวและการถูกกดทับอยู่ในระบบที่หลายครั้งมันมาจากการ ‘กดดันตัวเองมากเกินไป’ จนในที่สุดมันนำไปสู่การไม่กล้าลงมือทำอะไรเลยเป็นชิ้นเป็นอัน
ผมยอมรับว่าเรื่องราวในส่วนของเนื้อเรื่ององก์ 3 ให้อารมณ์เหมือนกับการ ‘นั่งรถไฟเหาะ’ ที่ตลอดการดำเนินเรื่องมันทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดใจเล็ก ๆ จะด้วยเพราะการดื่มด่ำไปกับบรรยากาศในนั้นก็ดี หรือจะเพราะด้วยเสียงเพลงประกอบที่มันกลับนำมาใช้ในจังหวะที่เหมาะสม ยิ่งด้วยการที่มันมีบางส่วนนั้นไร้ซึ่ง ‘เพลงประกอบเบื้องหลัง’ นั่นยิ่งแสดงให้เห็นถึงกรรมวิธีการบอกเล่าเรื่องราวที่มันไม่มีความจำเป็นต้องซับซ้อนหรือดึงอารมณ์เพื่อให้ ‘ตัวผู้เล่น’ จำเป็นต้องรู้สึกถึงมัน
พวกเขาจะ ‘สัมผัส’ และ ‘รับรู้’ โดยไม่จำเป็นต้องมีคำอธิบาย
ราวกับว่ามองเห็นเค้าลางของ ‘บลู อาร์ไคฟ์’ ที่มันยากยิ่งจะอธิบายออกมา
นอกเหนือไปจากการดำเนินเรื่องเกี่ยวกับสนธิสัญญา และเรื่องของความสัมพันธ์ในหมู่ของนักเรียน
สิ่งหนึ่งที่มันขยับขยายออกไปมากกว่านั้นคือเรื่องราวของโลกเบื้องหลังในคิโวทอส ที่มันยังคงเป็นหนึ่งในปริศนาที่เกมไม่ได้บอกกับเรา
ในวงการของตลาดเกมกาชาโดยทั่วไป ส่วนประกอบอย่างหนึ่งที่ผมคงไม่พูดถึงเลยไม่ได้คงเป็นเรื่องของ ‘ตำนาน (Lore)’ และแบล็คกราวน์เบื้องหลังของโลกภายในเกมที่ส่วนใหญ่แล้ว ถ้าไม่ได้มีการใส่เข้ามาเป็นข้อมูลประกอบการดำเนินเรื่อง ก็ต้องนำเสนออกมาผ่านมุมมองของตัวละครแต่ละตัวที่มีการบอกเล่าออกมา (ซึ่งมีตั้งแต่ระดับที่พอนึกภาพได้ ไปจนถึงระดับของ ‘พงศาวดาร’ ที่มันมีความยาวยืดเยื้อมากเกินไปจนชวนหลับ)
จริง ๆ แล้วส่วนนี้ถือเป็น ‘ปัญหา’ ในระดับหนึ่งเหมือนกัน ยิ่งถ้าเฉพาะหากคุณเป็นสายเน้นตามเนื้อเรื่องของเกมด้วยแล้ว เกมที่พยายามสอดแทรกและยัดเยียดข้อมูลให้กับผู้เล่นมากเกินไป แม้ว่าจะไม่พูดถึงส่วนของการออกแบบตัวละคร เสียงพากย์ (ที่บางเกมไม่มี) หรือกับระบบเกมการเล่นที่ซ้ำซาก วนเวียนไปมา อันถือเป็นสิ่งทั่วไปที่พบเห็นได้ตั้งแต่เกมเก่า ๆ จนไปถึงเกมใหม่ ๆ ในปัจจุบัน
บลู อาร์ไคฟ์ เลือกในการนำเสนอเรื่องราวของตำนานเหล่านั้น ผ่านทางทิ้งชุด ‘ปริศนา’ โดยไม่ได้มีการอธิบายหรือให้คำใบ้อะไรเพิ่มเติมนอกจากนั้น
ณ จุดนี้เองที่มันทำให้ผมรู้สึกสนใจมากกว่าเดิม ไม่ใช่เพราะด้วยการต้องพยายามขวนขวายเพื่อหาคำตอบหรือความจริงจากมัน แต่มันช่วยทำให้ผม (หรือผู้เล่น) สามารถในการที่จะติดตามและเป็นส่วนหนึ่งของโลกในเกมโดยไม่รู้สึกว่าตัวตนของพวกเขาเป็นเพียง ‘คนนอก’ ที่กำลังมองผ่านสายตาของตัวละครในเกม แต่กลับเป็นตัวของ ‘ผู้เล่น’ ที่พวกเขาเหล่านั้นคือ ‘เซนเซย์’ ที่มีหน้าที่ในการดูแลเด็ก ๆ ไปในทางที่ถูกและที่ควร
แม้ในบางครั้งเอง มุมมองของเซนเซย์ที่นำเสนอออกมาจะไม่ได้มาจาก ‘ตัวผู้เล่น’ จริง ๆ
ถ้าจะให้พูดกันอย่างเข้าใจง่ายมากที่สุด การนำเสนอมุมมองตัวเอกของเกมมันให้อารมณ์เหมือนกับว่าผู้เล่นเป็นเพียงแค่ ‘เขา’ หรือ ‘เธอ’ ในขณะที่เซนเซย์มักจะถูกแทนที่ด้วยคำเรียกว่า ‘คุณครู’ แทน ซึ่งในจุดนี้มันไม่ได้มีอะไรที่ติดขัดมากนัก แต่ก็ทำให้ผมเห็นถึงความสำคัญของ ‘คุณครู’ ที่มันมีมากกว่าแค่เรื่องของการสั่งสอนเด็กไปแทน
โดยรวม ๆ แล้วในความรู้สึกของเนื้อเรื่องในองก์ 3 นั้นถือว่ามีความแตกต่างจากเนื้อเรื่องในองก์ที่ผ่านมาอยู่มากโข ผมคงต้องยอมใจในการวางบทบาทของตัวละครหลาย ๆ ตัวได้ดี แม้ว่าอาจมีบ้างที่ในบางช่วงมีการนำเอาตัวละครเก่าจากองก์ก่อนหน้าโผล่หรือปรากฏออกมา ซึ่งอย่างไรเองผมคงเกรงว่าอาจจะพูดได้ไม่หมดเกี่ยวกับประสบการณ์ที่มีต่อมัน
อย่างไรเอง สิ่งหนึ่งที่ผมพอสรุปกับ บลู อาร์ไคฟ์ ในเนื้อเรื่ององก์ 3 นั้น…
ผมรู้สึกประทับใจกับมัน… มาก
แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน หากแต่อย่างไรเองก็ตาม ผมคงสามารถพูดได้ว่าในส่วนของเนื้อเรื่องเกมหรือแม้แต่ ‘ตำนาน’ เบื้องหลังเกี่ยวกับคิโวทอส เป็นอะไรที่ผมสามารถเสพสมมันได้อย่างลงตัว กลมกล่อม ทำความเข้าใจได้อย่างง่ายดายโดยที่ไม่ต้องรู้สึกความยากลำบากหรือ ‘เหนื่อยล้า’ ในระหว่างการเล่น อาจมีข้อติเพียงเล็กน้อยตรงในเรื่องของเกมเพลย์ที่มันซ้ำซากเกินไป แต่โดยรวม ๆ มันถือว่าทำให้ผมได้เข้าใจมากขึ้นว่าเบื้องหลังของโลกแห่งนี้มันยังมี ‘ปริศนา’ ซ่อนเอาไว้อยู่มากมาย และในหลายครั้งการพยายามทำความเข้าใจเกี่ยวกับมันก็ดูจะเป็นเรื่องชวนเหนื่อยหน่ายมากมายเกินกว่าเสียที่จะทำมัน
==========================
และนั่นก็คงเป็นความรู้สึกทั้งหมดที่ผมมีต่อ Blue Archive ในเนื้อเรื่ององก์ 3 ครับ :)
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ค่อนข้างอยากสารภาพว่าในส่วนของหัวข้อ ‘บอกเล่าประสบการณ์’ เป็นอะไรที่แทบไม่ได้เขียนออกมาเป็นระยะเวลากว่าช้านาน เนื่องด้วยเหตุผลที่ว่าการเขียนบล็อกนี้ขึ้นมาค่อนข้างกินพลังงานในการกลับไปเขียนงานอื่นเยอะพอสมควร อนึ่งบวกกับด้วยระหว่างทางมันเกิด ‘ปัญหาทางเทคนิค’ ขึ้นมากับทางผู้เขียน นั่นคือการที่แล็ปท็อปของทางผู้เขียนเกิดปัญหา ‘เครื่องเสีย’ เข้าซะก่อน
แต่ใด ๆ ตอนนี้กลับมาเป็นปกติแล้ว แต่อาจต้องแลกมากับการสูญเสีย ‘ชิ้นส่วน’ บางอย่างในเครื่องมาเพื่อทดแทนกับกระบวนการทำงานที่มันอาจจะช้าลงไป แต่แลกมากับการที่ทางผู้เขียนสามารถจะกลับมาในการเขียนงานอย่างเดิมได้อีกครั้ง
ซึ่งยังไม่นับไปถึงเรื่องของ ‘สุขภาพจิต’ อีกต่างหาก ที่ยอมรับว่ามันค่อนข้างย่ำแย่เสียเกินทน
ความจริงคือในส่วนของเรื่องนี้มันเกิดขึ้นมาได้แล้วในระยะเวลาพักใหญ่ ๆ หากแต่ในการจะฟื้นฟูให้กลับมาเป็นอย่างเดิมได้ ผมอาจมีความจำเป็นต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากภายนอกเสียเล็กน้อย ซึ่งมันหมายถึงการที่ผมอาจจำต้องคิดถึงเรื่องของ ‘การหารายได้อย่างจริงจัง’ และแน่นอนว่าผมนั้น… ไม่ได้ชื่นชอบในเรื่องส่วนนี้มากนัก
หากแต่ทั้งหมดมันเป็นเรื่องของ ‘อนาคต’ และนี่ไม่ได้หมายความว่าผมมีความคิดหรือแผนการใด ๆ ในส่วนนี้
ที่ยังทำได้อยู่ ณ ปัจจุบัน ผมยังคงอยากให้บล็อกเกอร์แห่งนี้มันเป็นสถานที่แยกออกจากตัว ‘งานเขียน’ บนเว็บไซต์ของผมไปเองเหมือนเดิม และต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าข้อเสียของการที่ตัวผมห่างหายจาก ‘โซเชียลมีเดีย’ ไปนานมากพอ ทำให้ความรู้สึกในการอยากหวนกลับไปนั้นมันแทบไม่เหลืออยู่แล้ว ณ ตอนนี้
ความสันโดษในยุคโลกาภิวัตน์
ความเงียบงันท่ามกลางบรรยากาศอันโศกเศร้า
งานเลี้ยงฉลองถูกยกเลิก ส่วนงานการไว้ทุกข์ ดูจะเป็นสิ่งที่ทำกันอยู่อย่างช้านาน
เช่นเคย ผมจะขอเว้นว่างในส่วนของเนื้อเรื่องในองก์ถัดไปสำหรับเกม บลู อาร์ไคฟ์ และเพื่อที่อย่างน้อย ๆ มันจะได้เป็นการฟื้นฟูและเยียวยาจิตใจตัวเองไปด้วย หมายความว่าหลังจากนี้ผมอาจจะเก็บตัวเพื่อไปเขียนงานที่คั่งค้างไว้ให้เสร็จ
เวลานั้นไม่แน่นอน หากแต่สิ่งหนึ่งที่มันเป็นไปได้มากที่สุดนั้น…
ขอบคุณที่อ่านจนจบ
และสวัสดี เซนเซย์ ทั้งหลาย
ขอให้สนุกกับการเล่นเกม และการใช้ชีวิตครับ
:)





































ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น