Play At Your Own Pace (เล่นตามจังหวะของตัวเอง)

 


Finally, the video games topic at last.

ผมคงได้เกริ่นไปก่อนหน้าแล้วเกี่ยวกับว่าด้วยหัวข้อเรื่อง ๆ นี้ ในส่วนของ 'ตกผลึกทางความคิดผ่านโลกวิดีโอเกม Ep.3' ซึ่งนอกเหนือไปจากการพูดถึงส่วนของเกม F.E.A.R. ไป ยังได้ลงลึกไปยังถึงส่วนของการ Optimization รวมไปถึงการบ่นระบายเล็ก ๆ น้อย ๆ ตามประสาของผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่กับโลกของ 'วิดีโอเกม' มาอย่างช้านาน

และแน่นอนว่าในคราวนี้ มันคงถึงเวลาที่ผมคิดว่าเราควรน่าจะมาถกกันอย่างจริงจัง ๆ สักหน่อย ว่าด้วยหัวข้อเกี่ยวกับวิดีโอเกม ซึ่งผมไม่อาจรู้ได้ว่ามีใครบ้างที่กำลังคิดเหมือนอย่างที่ผมคิด หากแต่ผมอยากจะขอเริ่มต้นด้วยคำถามสักหนึ่งคำถาม ก่อนที่จะเริ่มเปิดประเด็นสำหรับสิ่งที่ได้บอกไปตามหัวข้อที่ผมได้ยกขึ้นมา

คุณรู้สึก 'สนุก' กับการเล่นวิดีโอเกมตอนเวลาไหน?

นี่อาจฟังดูเป็นคำถามที่มันมีคำตอบในรูปแบบ 'ปัจเจก' ส่วนบุคคลมากเกินไปเสียหน่อย หากแต่เพื่อที่เราจะให้เข้าใจตรงกัน สิ่งที่เรียกว่า 'ความสนุก (Fun)' นั้น ผมจะขอแยกออกจากสิ่งที่เรียกว่า 'ความเพลิดเพลิน (Enjoyment)' ออกไปเสียก่อน เพื่อกันไม่ให้รู้สึกสับสนกัน

เนิ่นนานมานับแต่ช่วงก่อนที่ผมจะเริ่มหันกลับมาจริงจังในส่วนของการเขียนบทความ หรืออาจเรียกได้ว่าย้อนกลับไปยัง ณ จุดเริ่มต้นเมื่อช่วงครั้งที่ยังเป็นเพียงเด็กผู้เติบโตมาในสังคมที่รายล้อมด้วยปัญหาต่าง ๆ รวมไปถึงยังประสบกับสิ่งที่มัน 'เกือบ' ทำให้ผมไม่ได้มาอยู่ที่นี่ แน่นอนว่าในช่วงระยะเวลาหนึ่งสำหรับคนที่พยายามจะใช้ช่วงชีวิตในวัยเด็กให้ได้เทียบเท่าตามนิยามของที่ 'คนปกติ' ทั่วไปนิยามขึ้นมา สำหรับผมแล้วมันเป็นเรื่องยากมาก ๆ ในระดับหนึ่ง

แม้สภาพแวดล้อม หรือบรรยากาศในช่วงเวลานั้นจะมีความแตกต่างจาก ณ ตอนนี้อย่างชัดเจนไปก็ตาม หากแต่สิ่งหนึ่งที่มันเหมือน ๆ กัน นั่นคือพวกเราต่างถูกสังคมหล่อหลอมและบังคับเพื่อให้เราจำเป็นต้อง 'เติบโต'

หากแต่การเติบโตนั้นล้วนใช้เวลา เฉกเช่นเดียวกับการเล่นวิดีโอเกม ก็ไม่ต่างอะไรจากการนำเอาเวลาส่วนหนึ่งเหล่านั้นไปเพื่อดื่มด่ำกับโลกของมัน ได้เรียนรู้ และได้สังเกตเห็นสิ่งที่มันถูกนำเสนอออกมาผ่านทาง 'จินตนาการ' ของผู้สร้างที่มีจุดประสงค์เพื่อทำให้เรารู้สึกเพลิดเพลินไปกับสิ่ง ๆ นั้น

และใช่... วิดีโอเกม ก็เป็นหนึ่งใน 'สื่อบันเทิง' รูปแบบหนึ่งที่ต่างไปจากภาพยนตร์ เพลง การ์ตูน หรือแม้แต่กับหนังสือ




Old times won't last long.

ผมคงจะขอข้ามในส่วนของการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องราวในวงการของวิดีโอเกมไป เพราะสำหรับผมแล้วนั่นถือเป็น 'เรื่องของอุตสาหกรรม' ที่ในมุมมองของคนนอกอาจมีสิทธิ์ที่ไม่อาจเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการของมันไปได้ทั้งหมด และถึงแม้ต่อให้คุณคิดว่าคุณเข้าใจ หากแต่ในรายละเอียดเบื้องลึกและเบื้องหลังก่อนที่มันจะกลายเป็น Final Product ได้นั้น มันจำเป็นต้องอาศัยความรู้และการประเมินสถานการณ์ในอนาคตข้างหน้าที่ยากจะบอกได้ถึงแนวทางความเป็นไปในอนาคต

"วิดีโอเกม" สำหรับผมมันเปรียบได้ดั่งกับ 'เพื่อน' ผู้มีที่มาที่ไปแตกต่างกัน หลายครั้งแล้วการจะทำความรู้จักกับพวกเขา บางครั้งคุณก็ต้องเริ่มจากการทำความเข้าใจแนววิธีการเข้าหา (บทฝึกสอน) การเรียนรู้พฤติกรรมและลักษณะนิสัย (การรับมือกับอุปสรรค, ประเภทของอุปสรรค) และรวมไปถึงการดูแลเอาใจใส่ (บริหารเวลา, ทรัพยากร, ลำดับความสำคัญ) ซึ่งทั้งสามอย่างที่กล่าวมา มันคงไม่ได้มีอะไรแตกต่างไปจากในโลกแห่งความเป็นจริงเสียมากนัก

ตลอดของการอยู่ในโลกวิดีโอเกม แม้มันจะเป็นช่วงเวลาที่ไม่ได้ยืนยาวนานเป็นปี ๆ หรือในบางครั้งมันกลับสั้นเสียจนกว่าที่จะรู้ตัวก็ได้เล่นมันจนถึงฉากจบไปแล้ว หากแต่ว่าในทุกครั้งของการที่หยิบมันมาเล่นทุกครั้ง ความรู้สึกก่อนและหลังนั้นมันจะมีการ เปลี่ยนแปลง ไปอยู่เสมอ ๆ และอาจไม่ใช่ ทุกเกม ที่มันทำแบบนั้นได้เสียเท่าไหร่

หากจะให้ยกตัวอย่างแบบง่าย ๆ ที่สุด ผมคงต้องพูดถึงเกมแนว Walking Simulator หรืออาจเรียกแบบเฉพาะเจาะจงมากที่สุดคือเกมที่มีการใส่ Story-telling แบบเน้น ๆ ที่ปราศจากการใส่ระบบการเล่นที่มีความสลับซับซ้อนมากกว่าเกมทั่วไป


There are no 'Skip Button' only wish for conclusion.

การบอกเล่าเรื่องราวผ่านวิดีโอเกม เป็นอะไรที่ถือว่ามีความเฉพาะตัวมากกว่าสื่อบันเทิงในหลากหลายแขนง และหนึ่งในสิ่งหนึ่งที่มันยังคงทำให้ผมรู้สึกตราตรึงใจได้ตลอดเวลา นั่นคือการที่ผมได้สังเกตเห็นถึงบรรดาวิดีโอเกมจำพวกแนว RPGs ที่ถ้าหากไม่ยกเอาถึงหนึ่งในผู้ให้กำเนิดกรรมวิธีการบอกเล่าเนื้อเรื่องแบบเฉพาะตัวอย่าง 'ดาร์กโซล (Dark Souls)' มา ก็ดูเป็นอะไรที่จะถูกมองข้ามกันจนเกินไป

อย่างไรก็ดี ผมอาจต้องขอออกตัวเสียก่อนว่าตัวผมเองไม่ได้เติบโตมาพร้อมกับมัน

และสำคัญที่สุด ผมไม่ชอบการเห็นหน้า Game Over ในจำนวนถี่ ๆ ติดกันหลายครั้ง


You Died (Horribly)

ผมไม่มีเจตนาใด ๆ ในการที่อยากจะกล่าวถึงหรือวิจารณ์อะไรกับมัน หากแต่ถ้าคุณเป็นคนที่ชื่นชอบในการ 'ตายซ้ำตายซาก' ภายในวิดีโอเกม ผมก็ขอกล่าวแสดงความยินดีด้วยที่คุณได้ 'สนุก' กับเกมที่คุณเล่นแล้ว

อย่างไรเองก็ตาม ผมอาจจำเป็นต้องขอเบรคไว้สั้น ๆ เสียหน่อยว่าเราไม่ได้กำลังจะมาเพื่อวิจารณ์ในความชอบของใครแต่อย่างใด และหากว่าถ้าคุณพยายามตีความหรือมองหาความหมายของคำว่า 'เล่นตามจังหวะของตัวเอง' นั่นแปลว่าคุณก็ไม่จำเป็นต้องเข้ามาอ่านบทความนี้ตั้งแต่แรกหรอก จริงไหม? ;p

ทว่าเนื่องด้วยสาเหตุของการที่ผมขึ้นต้นหัวข้อนี้ขึ้นมาทั้งหมด เจตนาเพียงอย่างเดียวที่ผมต้องการจะสื่อนั่นคือการที่ผมกำลังตั้งคำถามไปยังเหล่าผู้เล่นเกมทั้งหลายแหล่ หรือใครก็ตามที่กำลังรู้สึกเกิดอาการ 'เบื่อหน่าย' กับการเล่นเกมไป ผมอยากจะขอให้คุณใช้เวลาสักพักในการนั่งนึกย้อนไปถึงช่วงเวลาครั้งแรกที่คุณได้จับเมาส์ (หรือจอยควบคุม) หรือแม้แต่การได้เดินเข้ามาสู่ใน 'โลกวิดีโอเกม' เป็นครั้งแรก

คุณมองหาอะไรในตัวของมัน?

คุณได้ในสิ่งที่คุณต้องการจากมันหรือไม่?

เคยมีความคิดที่จะ 'ตั้งใจ' ในการเล่นวิดีโอเกมนั้นจริง ๆ หรือเปล่า?

หรือคุณแค่เพียงอยากครอบครอง เพราะกลัวว่าสักวันคุณจะ 'สูญเสียโอกาส' ในการได้เล่นมันไป


อย่างที่เราล้วนทราบกันดี กระแสที่เปลี่ยนไปของเทคโนโลยี มันได้นำพามาซึ่งการเปลี่ยนแปลงในวิถีชีวิตของพวกเราทุกคน แม้แต่กระทั่งความรู้สึกของการได้เป็น 'เจ้าของ' มันกลับกลายเป็นเพียงภาพจาง ๆ ที่ไม่ช้าก็เร็ว 'ความเป็นเจ้าของ' นั้นของเราก็ค่อย ๆ เลือนหายไปในความทรงจำ

ผมยังคงจดจำเมื่อครั้งที่ตัวเองได้ซื้อของเล่นจำนวนมากในช่วงสมัยเด็ก ๆ เคยจำได้ถึงการได้รู้สึกเป็นปิติสุขกับของชิ้นเล่นชิ้นน้อยที่แม้มูลค่าของมันหากเทียบกับยุคนี้เรียกว่ามัน 'ถูก' เสียจนเหลือเชื่อ หากแต่สำหรับ ณ ในช่วงเวลานั้นในมุมมองของผม พวกมันกลับดูมีราคา 'แพง' เกินกว่าที่ตัวผมเองจะยอมควักเงินของตัวเองเพื่อจ่ายซื้อให้กับมัน

ผมจดจำได้ถึงครั้งเมื่อตอนที่ตัวเองได้เคยมี 'ปืนอัดลม' ที่ดันเข้าใจผิดคิดว่ามันคือ 'บีบีกัน (BB-Gun)' มาตลอด

ผมเคยจดจำได้ว่าเกมแผ่นที่นำเอามาขายในห้างสรรพสินค้า มันคือ 'เกมแท้ (License Game)' ที่พอตัดภาพไปในร้านขายวิดีโอเกมจริง ๆ กลับกลายเป็นว่ามันเป็นเพียง 'สินค้าทดลอง (Trial)' หรือไม่ก็เป็นเพียงแค่การที่ตัวมันเป็นเกมที่มีเวอร์ชั่นแตกต่างไปจาก 'ต้นฉบับ (Original)' อย่างชัดเจน (แย่หน่อยคือ... คุณก็รู้ว่าผมกำลังพูดถึงอะไร จริงไหม? ¯\_(ツ)_/¯ )

อย่างไรก็แล้วเอง ตามที่กล่าวมาแทบทั้งหมด หากไม่นับเรื่องราวจุกจิกชวนกวนใจ ณ สมัยวัยเยาว์ สิ่งที่เรียกว่า 'วิดีโอเกม' นั้นถือเป็นอะไรที่มันได้เสริมสร้างจินตนาการ และจุดประกายผมเกี่ยวกับเรื่องของความคิดสร้างสรรค์มากพอสมควร จนมันช่วยให้ผมเองได้เติบโตและได้เห็นถึง 'ความเปลี่ยนแปลง' และ 'พัฒนาการ' ของมันไปพร้อม ๆ กับที่อายุอานามของผมเองก็ได้เติบโตขึ้นไปด้วย

ผมกล้าพูดได้ว่าการมีอยู่ของ 'วิดีโอเกม' คือสิ่งที่มันทำให้ผมริเริ่มเพื่อที่จะทำอะไรบางอย่างกับตัวผม เพื่อที่จะฉุดรั้งตัวเองขึ้นมาจากเศษซากปรักหักพังของ 'ปราสาทน้ำแข็ง' ที่ถูกกระแสน้ำและเพลิงกัลป์แห่งความเดือดดาลใน 'โลกความเป็นจริง' พยายามเพื่อที่จะทำลายตัวของมันไปทีละนิด ช่วยให้ผมได้ 'หลุด' ออกไปจากที่ ๆ ตัวเองอยู่ และเรียนรู้ถึงเรื่องราวที่ไม่มีใครเคยสอนให้กับผม

ผมเติบโตมากับมัน

และมันมีส่วน 'ช่วยชีวิต' ให้ผมมีกำลังใจในการใช้ชีวิตต่อ


โอเค ใช่ เพื่อความเป็นธรรมมากที่สุด จริงอยู่ว่า 'วิดีโอเกม' อาจมีส่วนในการช่วยสร้างเสริมและพัฒนาชีวิตไปในทางที่ดีขึ้นได้จริง อย่างไรเอง การจมปลักอยู่กับโลกของมันมากเกินไปจนลืมหันมองสิ่งต่าง ๆ รอบตัว มันก็ไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากการ 'เสพติด (Addiction)' ไปเสียอยู่ดี

ผมพอเข้าใจความเห็นทั้งจากฝั่งของผู้ที่ 'ไม่เคย' และ 'ไม่รู้จัก' เกี่ยวกับโลกของวิดีโอเกมมาก่อน และแน่นอนว่าผมคงจะไม่โทษว่านั่นเป็นความคิดที่ล้าสมัยหรืออะไรใด ๆ หากแต่บอกได้เพียงแค่ว่าการจะทำความเข้าใจถึงเรื่องราวในวงการเช่นนี้ ผมอยากให้ขอนึกถึงกรณีของสิ่งที่เรียกว่า 'หนังสือ' หรือ 'ภาพยนตร์' ดูเพื่อให้คุณสามารถเห็นภาพมันได้อย่างชัดเจน

และเอามันมาเปรียบเทียบกับสิ่งที่เรียกว่า 'วิดีโอเกม' ดูด้วยตัวเอง

ในระยะเวลาเกือบหลายทศวรรษที่ผ่านมา การเปลี่ยนผ่านของยุคสมัยและสื่อบันเทิงในหลากหลายรูปแบบที่มันปรากฎอยู่ทั้งในหน้าของทางโทรทัศน์ หรือแม้แต่ตามช่องทางโซเชียลมีเดียมากมาย แท้จริงสิ่งเหล่านี้มันก็เคยตกอยู่ในที่นั่งแบบเดียวกับที่เจ้าสิ่งที่เรียกว่า 'วิดีโอเกม' เคยเป็น หากแต่ความแตกต่างอย่างหนึ่งที่มันได้ก่อให้เกิดกลายเป็นสาเหตุสำคัญที่มักจะถูกโบ้ยจนกลายเป็น 'จำเลยทางสังคม' อยู่เสมอ นั่นคือการเปิดโอกาสให้คนดู (ในที่นี่คือ 'ผู้เล่น') ได้มีปฏิสัมพันธ์ร่วมกันกับมัน

หลายครั้งนั้น มันเปิดโอกาสให้เราทำในสิ่งที่ในชีวิตจริง ๆ เราไม่สามารถทำได้
และในแต่ละครั้ง สิ่งที่เรากระทำลงไปในโลกวิดีโอเกมส่วนใหญ่ ก็มักจะเป็นสิ่งที่มันเปิดโอกาสตามอิสระให้เราได้กระทำ โดยมีสิ่งล่อตาล่อใจนามว่า 'ของรางวัล (Rewards)' มาเพื่อให้ผู้เล่นได้ไขว่คว้าเพื่อมัน

เป็นที่รู้กันดีตามสัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิตทั่วไป อะไรก็ตามที่เมื่อเราลงมือและลงแรงทำมันลงไป สิ่งที่พวกเราคาดหวังมากที่สุดคงหนีไม่พ้น 'รางวัลความสำเร็จ' โดยเฉพาะถ้าหากยิ่งเป็นในโลกของวิดีโอเกมแล้วด้วย เจ้าสิ่ง ๆ นี้มันล้วนมีผลเอาเป็นอย่างมากในการที่จะทำให้คน ๆ หนึ่งรู้สึกผูกพันจนอยากกลับมาเล่นมันซ้ำเป็นครั้งต่อ ๆ ไป

อย่างไรเองเสีย สิ่งหนึ่งที่ผมอยากขอเตือนไว้ล่วงหน้าเสียหน่อย นั่นคือแม้มันจะฟังดูเหมือนเป็น 'น้ำหวาน' ที่ชวนอยากให้ลิ้มลองมากเพียงใด แต่เมื่อใดเองที่การลงมือเพื่อหวังผลเพียงรางวัลความสำเร็จเพียงอย่างเดียว เมื่อนั้นเองที่เราจะค่อย ๆ หลงลืมถึง 'จุดเริ่มต้น' หรือ 'จุดประสงค์' ของตัวเราเองไป

และสิ่งที่ผมไม่อยากให้เกิดขึ้นมากที่สุด นั่นคือ 'การแข่งขัน (Competition)' ที่ผมไม่ได้หมายถึงเรื่องราวของวงการ 'อีสปอร์ต (E-Sports)' แต่ผมกำลังพูดถึงการที่พวกเราต่างเล่นเกมกันเพื่อแข่งขันกันว่า 'ใครไปถึงจุดสูงสุด' ของมันได้อย่างรวดเร็วมากที่สุดต่างหาก


Insert your Love/Hate video games here

vvv

[Name of your video game]

^^^

อาจไม่ใช่สำหรับทุกเกมที่ต้องมีการแข่งขัน หากแต่มันอาจหมายถึงเกมที่คุณมีความรู้สึกที่จะต้อง 'ตะบี้ตะบัน' เล่นมันเป็นประจำทุก ๆ วัน โดยที่ไม่รู้ถึงจุดประสงค์ว่าแท้จริงแล้วตัวคุณต้องการอะไรจากมันไปจริง ๆ

ในเวลาช่วงหนึ่งของการที่ผมได้รู้จักกับสิ่งที่เรียกว่า 'เกมกาชา (Gacha Games)' เป็นครั้งแรก ตอนนั้นมันเป็นช่วงเวลาที่ผมค่อนข้างให้โอกาสและความสำคัญกับมันมากพอสมควร อย่างไรก็อาจไม่ถึงขั้นเรียกว่า 'เสพติด' จนต้องยอมสูญเสียทุกอย่างเพื่อมัน หากแต่อย่างไรก็ดี ผลพวงจากการที่ผมได้สัมผัสกับสิ่งเหล่านั้น แม้ว่ามันจะเป็นเพียงผ่านหน้าจอสมาร์ทโฟนรุ่นเก่า ๆ ไปก็ตาม หากแต่ว่าสิ่งหนึ่งที่มันส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงจนผมเริ่มตระหนักรู้และสังเกตเห็นได้ชัด นั่นคือความรู้สึกที่เรียกมันได้สั้น ๆ ว่า 'FOMO (Fear of Missing Out)'

ยังไม่นับรวมไปถึงเรื่องของวัฒนธรรมการ Grinding ที่มันค่อนข้างเป็นตัวฉุดรั้งและทำให้ผมเผลอตัวเผลอใจไปกับการ 'เผาผลาญชีวิต' ไปโดยใช่เหตุ

เจ้าวิดีโอเกมตัวร้ายนั่นมาในคราบของการขายตัวละครสวย ๆ หรือการหยิบเอาสิ่งที่มันเป็น 'เกมเพลย์' ที่ทำให้มันมีความโดดเด่นกว่ารูปแบบเกมปกติทั่วไป แน่นอนว่าผมเคยหยิบยกหรือพูดถึงเรื่องนี้ไป ณ ช่วงเมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา ซึ่งสำหรับในหัวข้อส่วนของ 'เกมกาชา' ผมได้พูดถึงไปแล้วตั้งแต่ต้น

ว่าด้วยกระแสของเกมกาชา และแนวโน้มการเติบโตของวงการเกมในปี 2025

หากแต่สำหรับในต้นปี 2025 ผมอยากจะขอกล่าวถึงการพูดเกี่ยวกับหัวข้อของการเล่นเกมในเชิงที่มันมีความเป็นมิตรและเพื่อที่จะย้อนมองกลับไปตระหนักถึงช่วงก่อนหน้าที่เจ้าสิ่งที่เรียกว่า 'วิดีโอเกม' มันเป็นเพียงแค่ 'สื่อบันเทิง' ที่มันควรออกแบบมาเพื่อให้ผู้เล่นได้ใช้เวลาดื่มด่ำไปกับมัน มากเสียกว่าการทำให้ผู้เล่นเกิดความหวั่นวิตกจนเกิดอาการ FOMO ขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ

ซึ่งจากเท่าที่ผมสังเกต วิดีโอเกมประเภทแบบนั้นมักจะเกิดขึ้นกับแนวเกมจำพวก Live Service หรือแนวที่ต้องมีการเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตไปตลอดเวลา

มัน 'แตกต่างอย่างชัดเจน' จากยุคสมัยเมื่อครั้งที่เราได้จับวิดีโอเกมเป็นครั้งแรก ผมไม่รู้ว่าหัวข้อส่วนนี้มันจะเป็นที่พูดถึงกันมากแค่ไหน ทว่าถ้าเป็นไปได้ ผมเอง ณ เวลานี้กำลังใฝ่หาเกมแนวเหล่านั้น วิดีโอเกมที่ตัวของมันไม่ได้มีการบังคับใด ๆ เพื่อ 'ปลุก' หรือ 'กระตุ้น' ทำให้ผู้เล่นมีความจำเป็นต้องใช้เวลาจดจ่อไปกับมันในทุก ๆ วัน หากแต่เปรียบเสมือนเป็นเพียงแค่ 'พื้นที่เล็ก ๆ' ที่คุณสามารถกลับมาหามันได้เสมอ ยามที่โลกแห่งความจริงมันได้พัดพาสารพัดปัญหาต่าง ๆ นานาจนสภาพจิตใจของคุณไม่อาจทนรับต่อความกดดันได้ไหว

คุณไม่ชอบการต้องแข่งขันกับใคร คุณไม่ชอบในการต้องเอาตัวเองเพื่อไป 'เปรียบเทียบ' กับคนที่มีในสิ่งที่ดีกว่า คนที่มีโอกาสและได้รับโอกาสเหล่านั้น คนที่สามารถเป็นในสิ่งที่ตัวเองอยากจะเป็น

'ความอยากเอาชนะ (Desire to Win)' คือสิ่งที่น่าหวาดหวั่น หากแต่การนำเอาสิ่ง ๆ นั้นเข้ามาใช้ในโลกวิดีโอเกมกลับดูเหมือนว่ามันเป็นความรู้สึกที่ชวนโหว่งอยู่ภายในจิตใจลึก ๆ หากว่าคุณไม่ได้ตั้งเป้าหมายในการเล่นมันเพื่อไปถึง 'จุดนั้น' เสียตั้งแต่แรก

ทุกการได้รับชัยชนะ 

มักนำพามาซึ่ง 'ชุดคำถาม' อยู่เสมอ

เช่นเดียวกับ 'ความพ่ายแพ้'

ที่มันอาจเป็น 'ดาบสองคม' 

ให้กับผู้ที่ไม่ได้คาดหวังมันไปเสียตั้งแต่ทีแรก


คำถามสำคัญอีกสองข้อ ก่อนที่ผมจะเริ่มสรุปถึงประเด็นของประโยคที่ว่า Play At Your Own Pace ไปทั้งหมด

คุณยังรู้สึก 'สนุก' กับวิดีโอเกมอยู่หรือไม่?

ณ ตอนนี้ คุณมี 'วิดีโอเกม' ในดวงใจที่คุณสามารถ 'เล่นตามจังหวะของตัวเอง' ได้แล้วหรือยัง?

เราทุกคนต่างมีช่วงเวลาและชีวิตที่มันถูกเรียกว่าเป็น 'สิ่งที่ดีที่สุด' สำหรับตัวเราเองเสมอ

และผมเองก็เชื่อว่า 'สิ่งที่ดีที่สุด' มักมาเยือนหา ณ เวลาตอนที่ผมไม่ได้คาดหวังอะไรใด ๆ จากมัน อาจแต่เป็นเพียงการกระทำที่เป็นไปตามสัญชาตญาณของตัวเอง + ลักษณะนิสัยการใช้ชีวิตที่มัน 'อาจ' ต้องใช้ระยะเวลาในการปรับเปลี่ยนแปลงมันไปสักพักหนึ่ง

ผมมี 'วิดีโอเกม' ที่สามารถ 'เล่นตามจังหวะของตัวเอง' ได้อยู่หลากหลายเกม และโดยมากการที่พวกมันสามารถเข้าข่ายเกมประเภทนี้ได้ มันต้องไม่ใช่แบบเดียวกับที่ทำให้ผมรู้สึก FOMO มากเกินจนเกิดอาการหวั่นวิตกไปจากมัน ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าการไม่ได้เล่นมันแค่เพียง 'หนึ่งวัน' หรือ 'หนึ่งปี' มันจะทำให้ผมพลาดหลาย ๆ สิ่ง หลาย ๆ อย่างไปจนยากเกินกว่าจะไล่ตามถึงจุดปัจจุบันตรงนั้นได้ทัน

ทั้งนี้ผมเข้าใจว่าการกระทำเช่นนั้น อาจเป็นปกติทั่วไปในสังคมของผู้ที่ชื่นชอบในการเล่นเกม ๆ นั้น

อย่างไรก็ดี ถ้าการไหลเวียนไปตามกระแสของสิ่งที่สังคมต้องการนั้นคือเรื่องที่ดีแล้วจริง ๆ ไฉนแล้วใยจึงถึงได้มีเหตุการณ์จำนวนมากมายที่มันดันกลายเป็น 'ประเด็นในสังคม' ที่มันถึงได้มีการถกเถียงมากมาย จนนำมาสู่ซึ่งเรื่องราวชวนน่าปวดหัว ที่เอาเข้าจริงมันไม่ควรเกิดขึ้น ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ๆ ก็ตาม





ขอบคุณที่อ่านจนจบ

ขอให้สนุกกับการเล่นเกมครับ :)

ความคิดเห็น