[Morning Thoughts] ความปกติของสังคมท่ามกลางความไม่แน่นอนของธรรมชาติ (The Normality of Society and Unexpected Natural)
ยังคงเป็นอีกหนึ่งวันเช่นเคยที่ผมยังพยายามตื่นขึ้นมาเพื่อพูดกับ 'เสียงในหัว' ตัวเอง และค้นพบว่ามันได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องของนิยามที่เรียกว่า 'ความปกติ' ที่มันเกิดขึ้นในสังคม
ความปกติ คืออะไร?
ผมคงต้องขออภัยถ้าหากว่าเช้านี้มันจะไม่ใช่ 'เช้า' อย่างที่คุณเข้าใจ ณ ขณะที่ผมกำลังเขียนบล็อกเพื่อเปิดประเด็นเรื่องนี้ขึ้นมาอยู่ ก็เป็นช่วงเวลาไปแล้วราว 12:16 น. หรือไกลไปมากกว่านั้น หากแต่นั่นมันไม่สำคัญเท่ากับว่าความที่ผมยังคงสติและรับรู้ถึงเรื่องราวของสิ่งรอบ ๆ ตัวได้อยู่ตลอดเวลา ไม่เว้นแม้แต่การได้เงี่ยหูเพื่อฟังเสียงต่าง ๆ ที่มันเล็ดลอดออกมาจากที่สมองของผมกำลังไหลไปตามตัวอักษรที่ตัวเองกำลังพิมพ์ลงไปอยู่
ความกังวลเกี่ยวกับเรื่องของงานเขียน กลายเป็นสิ่งสำคัญน้อยลงไปมากกว่าการทำยังไงให้ตัวเองอิ่มท้อง
และรองลงมาคือการเจียดช่วงระยะเวลาสำหรับการนอนหลับพักผ่อน ประกอบไปกับใช้เวลาเพื่อยืดเส้นยืดสายของตัวเอง ภายหลังจากที่นั่งหลังคดหลังแข็งไปเป็นระยะเวลานาน
"ความปกติ (Normality)" เปรียบได้ดั่งเป็นสิ่งที่เราทุกคนต่างได้ประสบพบเจอมามากมาย โดยมากความหมายของมัน หมายถึงการที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือในทุก ๆ กิจกรรมที่ดำเนินไปล้วนเป็นไปตามสัญชาตญาณหรือตามค่านิยมของผู้คนในสังคม โดยที่สิ่งเหล่านี้มันถูกกำหนดขึ้นเพื่อให้เราได้รับรู้และเข้าใจว่าสิ่ง ๆ นี้มันคือ 'เรื่องทั่วไป (Common)' ที่ไม่ว่าใครก็ทำกัน
ทว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่ใน 'เรื่องทั่วไป' ที่ว่านั้น มันกลับเต็มไปด้วยชุดคำถามมากมายที่ดันกระตุ้นต่อมความสงสัยของตัวผมเองอยู่นิดหน่อย และแม้ว่าต่อให้ผมจะรับทราบและเข้าใจความหมายของมันไปแล้วก็ตาม หากแต่เรื่อง ๆ หนึ่งที่มันเสมือนเป็น 'คำถาม' ค้างคาอยู่ในใจผมมานานพอสมควร
'มนุษย์' คือสิ่งปกติหรือไม่ หากมองในสายตาของสัตว์ป่า?
เรากำลังคิดว่าตัวเองเป็น 'คนปกติ' ไปจริง ๆ แล้วหรือเปล่า?
อะไรคือนิยามของคำว่า 'ปกติ' ในรูปแบบสากลที่ทุกคนยอมรับ?
ตลอดระยะเวลาช่วงชีวิตของผมที่ผ่านมาล้วนแล้วแต่มันทำให้ผมกลายเป็น 'คนแปลกแยก' ออกไปจากสังคมที่พวกเขาเรียกว่าตัวเองเป็น 'คนปกติ (Normal Person)'
พวกเขามีงานการทำมากมาย มีหน้ามีตาในสังคม มีชื่อเสียง ได้รับซึ่งการเคารพและการยอมรับ ได้ถูกมองว่ากลายเป็น 'คนสำคัญ' ในงานต่าง ๆ หรือแม้แต่ไปจนถึงการได้มาซึ่งเพื่อนฝูงมากหน้าหลายตา หรือกระทั่งการได้รู้จักกับสิ่งที่เรียกว่า 'ความรัก' ที่มันพัฒนาไปจนถึงเรียกได้ว่าเป็น 'ความสัมพันธ์อันแนบแน่น' ที่ผมกลับไม่เคยรู้สึกถึงมันเลยแม้แต่ครั้งเดียว
อาจไม่ใช่ผมคนเดียว ทว่ายังมีใครหลายคนผู้ที่เขาเองไม่ได้เป็นไปตามที่ 'ค่านิยม' ของคนในสังคมมันถูกกำหนดขึ้น หลายครั้งเรามักถูกสอนเพื่อให้เชื่อฟังผู้ที่มีประสบการณ์มากกว่าที่จะตั้งคำถามถึงสิ่งต่าง ๆ รอบตัว เพียงเพราะว่าเมื่อใดที่เราเริ่มเกิด 'ความตระหนักรู้ (Awareness)' ขึ้นมา เมื่อนั้นเองที่กรอบของสังคมจะบีบอัดเราให้กลายเป็นเสมือนเนื้อเดียวกันโดยไม่อาจแยกจากกันได้
ซึ่งมันเป็นเรื่องน่าขบขันดี หากลองมองย้อนไปถึง ณ ช่วงเวลาที่พวกเราต่างยังคงพยายามอย่างยิ่งยวดเพื่อค้นหาตัวของเราเองว่า 'เราเป็นใคร?' และ 'เราคือใคร?'
เฉกเช่นกับสิ่งที่ผมได้พูดไปถึงเรื่องราวของ 'อัตลักษณ์ทางเพศ' หรือ 'รสนิยมทางเพศ' ที่ทั้งสองอย่างนี้มันแตกต่างไปจากสิ่งที่เรียกว่า 'เพศตามกำเนิด' ของตัวเราเองไปมาก หากแต่เมื่อโลกและยุคสมัยมันได้ถูกพัฒนาขึ้นมามากขึ้น เทคโนโลยีและความทันสมัยเองก็กลับกลายมาเป็นหนึ่งในกระแสหลักที่พวกเรากำลังอยู่ ณ ช่วงเวลาปัจจุบัน
ตึกระฟ้าตั้งตระหง่านสูงเฉียดหนึ่งกิโลเมตร
ความสูงของมันสะกดสายตาของเราให้จ้องมองมัน
จนตระหนักได้ถึง 'ความกระจ้อยร่อย' ที่เรากำลังเป็น
ณ ช่วงสองเดือนที่แล้วผมได้เขียนบล็อก 'บอกเล่าประสบการณ์' เกี่ยวกับเกม Action Horror ตัวหนึ่งที่มันถูกเรียกว่า Dying Light ไป ซึ่งแน่นอนว่าส่วนของเรื่องราวและการบอกเล่าต่าง ๆ เพื่อให้เข้าใจถึงเซ็ตติ้งของเกมทั้งหมด รวมไปถึงระบบการเล่นแบบพื้นฐานเพื่อให้คนที่เคยเล่นเกมมาก่อนหรือไม่แม้แต่จะรู้จักเกมนี้ ซึ่งคุณสามารถไปหาอ่านได้ตามลิงก์ด้านล่างตรงนี้ที่ผมจะทิ้งให้ไป
Dying Light & Dying Light 2 Stay Human
หากไม่นับเรื่องของภาพกราฟฟิก เกมเพลย์ หรืออะไรทั้งหลายแหล่ที่มันเกี่ยวเนื่องกับความเป็นวิดีโอเกม การมาพูดถึงเรื่องราวและตั้งคำถามถึง 'ความปกติ' เองก็ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่ต่างอะไรไปจากการสร้างความตระหนักรู้เพื่อให้เราได้เข้าใจถึงสิ่งต่าง ๆ รอบตัว ธรรมชาติของสรรพสิ่งที่เราไม่สามารถควบคุม หรือแม้แต่การพยายามเพื่อที่จะควบคุมมัน แม้ว่าในท้ายที่สุดแล้ว ผลลัพท์มันจะออกมาไม่เป็นไปตามที่เราต้องการเลยก็ตาม...
"ความปกติ" โดยแก่นของมันคืออะไร? หรือว่าตัวมันเองนั้นคือ 'สัญชาตญาณ (Instinct)' ของสิ่งมีชีวิตที่ไหลไปเพื่อหล่อเลี้ยงให้เรามีชีวิตอยู่ต่อไปข้างหน้าอย่างมีความหวัง?
นานเกือบหลายหลักพันปีที่มนุษย์ได้ผลัดเปลี่ยนและมีพัฒนาการไปมากขึ้น โดยมากเรานั้นคือสัตว์ที่สามารถปรับตัวได้ในหลากหลายสถานการณ์ และในขณะเดียวกันเราเองก็กลับเลือกที่จะ 'ชะล่าใจ' ถึงบางสิ่งบางอย่างที่มันอาจค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและความคิดของเราไปโดยอย่างไม่รู้ตัว
อาจเป็นเพราะสภาพแวดล้อมที่บีบคั้นไปก็ดี หรือเพียงเพราะการมีต้นทุนจำกัด ความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่ไม่อาจเอื้อมมือในการเข้าถึงโอกาส ๆ หนึ่งอันที่คน ๆ หนึ่งสมควรได้รับไปก็ดี หรืออาจหมายถึงความรู้สึกของการเป็น FOMO (Fear of Mission Out) ที่เรากำลังรู้สึกหวาดกลัวเมื่อได้รับรู้ว่าตัวเองกำลังพลาดโอกาสอะไรหลายอย่างไปมากมายในชีวิตทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว
คนสองคน เติบโตมาแบบเดียวกับ อยู่ในสภาพสังคมในแบบเดียวกัน กระทำทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกันหมดเสียจนเปรียบได้ว่าเป็น 'คู่แฝด' กันเลยก็ว่าได้ แน่นอนว่าหากมองในมุมมองของ 'ความปกติ' เราอาจคิดว่าการที่คนสองคนเป็น 'คู่แฝด' ร่วมกัน นั่นหมายความว่ามันมีความเป็นไปได้ที่พวกเขาอาจย่อมมีความชื่นชอบและความคิดในรูปแบบเดียวกัน ต่างจากผู้ที่เติบโตมาจากเชื้อยีนส์คนละคนกัน แน่นอนว่าไม่ว่าต่อให้พวกเขาจะอยู่ในบ้านเดียวกัน หากแต่ในท้ายที่สุดมันก็จะลงเอยมาซึ่งการที่คนทั้งคู่ต่างใช้ชีวิตกันไปคนละแบบ
แม้แต่กระทั่งกับ 'คู่แฝด' ที่ไม่ว่าต่อให้จะเป็นเพศกำเนิดแบบไหน ก็ล้วนไม่มีวันเข้าใจถึงความรู้สึกหรือความยากลำบากของสิ่งที่ตัวเองได้เจอ
คำถามคือ ถ้าความปกติ คือสิ่งที่สังคมกำหนดขึ้นมา เช่นนั้นแล้วอะไรกันที่ถูกเรียกว่า 'ความไม่ปกติ'
นับจากระยะเวลาเมื่อครั้งก่อนที่ Covid-19 จะเริ่มแพร่ระบาดไปทั่วโลก วิถีชีวิตของผู้คนเองก็ได้เปลี่ยนไปจนเป็นสาเหตุทำให้เกิดปรากฎการณ์ที่มันถูกเรียกว่า 'นิว นอร์มัล' อันเป็นการเข้าสู่การดำเนินชีวิตในรูปแบบที่เปลี่ยนไปทางออนไลน์มากขึ้น เราเริ่มให้ความสำคัญกับการแสดงความเห็นผ่านทางโซเชียลมีเดีย พร้อม ๆ กับที่มันได้มีการรงณรงค์มากมายที่เกี่ยวเนื่องกันของการกระตุ้นไม่ให้ผู้คนได้สร้างความเกลียดชังที่มีต่อกัน หากแต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ 'จุดเริ่มต้นสำหรับหายนะ' ก่อนที่ภายในช่วงให้หลังเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นต้นไป มันจะกลับกลายเป็นว่าพวกเราต่างเริ่มหันเหใช้ เทคโนโลยี ในการจู่โจมใส่ผู้คนกันแทน
วัตถุที่เคลื่อนออกไปด้วยความเร็วสูง
เมื่อใดที่แรงส่งลดลง เมื่อนั้นมันจะค่อย ๆ ร่วงลงสู่พื้น
"ความปกติ" ณ ตอนนี้ล้วนเคลื่อนที่ไปไม่ต่างจากสิ่งที่เรียกว่า 'โปรเจคไทล์ (Projectile)' ทะลุ ทำลายล้าง หรือไม่แยแสต่อ 'ความไม่ปกติ' ที่มันปรากฎขึ้นมา ณ ระหว่างที่มันพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่อาจรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าสิ่ง ๆ นั้นมันจะหยุดลงเมื่อไหร่ หรืออาจไปพบเจอเข้ากับ 'ทางตัน (Dead End)' ของอะไรเข้า
ทว่าทั้งนี้แล้ว ผมคิดว่าสิ่งที่เราควรจะตระหนักและตั้งคำถามไว้อยู่เสมอ นั่นคือเรื่องของนิยาม 'ความปกติ' ที่มันเกิดขึ้น มองโลกและสิ่งรอบตัว เข้าใจวิถีทางธรรมชาติเพื่อหาทางในการปรับตัวและอยู่รอดไปให้ได้ท่ามกลางความโหดร้ายทั้งหลายแหล่ที่มันอาจทำให้เรากลายเป็น 'มนุษย์วิกลจริต' เข้าเพียงเพราะโลกหรือสังคมไม่เป็นไปอย่างที่เราได้จินตนาการเอาไว้
จริงอยู่ การเรียกร้องมาให้ได้ซึ่งสิทธิ์สตรีอาจเปิดโอกาสให้เข้ามามีบทบาทได้เทียบเท่ากับ 'บุรุษเพศ' แต่กระนั้นก็จงอย่าได้หลงลืมหรือเคยตัวไปเสียว่าสิ่ง ๆ นี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากปราศจากซึ่งเหล่า 'บุรุษเพศ' ผู้ล้วนมองเห็นถึงความยากลำบากที่เพศตรงข้ามต้องพบเจอ
นวัตกรรมทั้งหลาย แนวคิดทางปรัชญา หรือแม้แต่การถือกำเนิดของหลักจิตวิทยา ทุกอย่างล้วนมีบ่อเกิดเริ่มต้นมาจากคำว่า 'มนุษย์ (Human)'
และหากว่าคุณอ่านมาถึงตรงนี้ และเข้าใจในสารที่ผมสื่อออกมาทั้งหมดได้แล้ว ผมเองก็คงไม่มีอะไรจะกล่าวถึงไปอีกนอกเสียจากว่า 'ขอบคุณที่อ่านจนจบ' ครับ :)
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น