[บอกเล่าประสบการณ์] แสงที่มอดดับลง และความหวังที่รอการฟื้นฟู (Dying Light, Dying Light 2 Stay Human)

 


"Good Night, Good Luck."

ในบรรดาเกมมากมายที่มีอยู่ในคลังสตีม อีกหนึ่งเกมที่ผมชื่นชอบมากที่สุด และยกให้เป็นหนึ่งในเกมในดวงใจที่ขึ้นชื่อในเรื่องของการนำเสนอธีมเกี่ยวกับ 'โลกซอมบี้' และ 'โลกหลังล่มสลาย' ที่แม้เซ็ตติ้งของมันจะดูค่อนข้างซ้ำซากและจำเจไป ณ ช่วงเวลาหนึ่งของการที่มีเกมแนวนี้ออกมาตีตลาดกันเป็นจำนวนมากจนแทบเรียกได้ว่าแทบจะเป็น 'เนื้อพิมพ์' เดียวกัน ต่างกันตรงที่เรื่องของการนำเสนอและ 'ระบบการเล่น' ที่ขึ้นอยู่กับความคิดสร้างสรรค์ของแต่ละคน

หนึ่งในเกมแนวซอมบี้ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงมากที่สุด ก็คงหนีไม่พ้นเกมดังอย่าง Dead Island, The Walking Dead หรือแม้แต่กับหนึ่งในเกมที่ทุกคนรู้จักกันอย่างหนาหูว่า 'Resident Evil'

สารภาพตามตรงว่าผมไม่เคยได้แตะเกมแนวชื่อโด่งดังที่ทุกคนรู้จักหรือเคยเล่นกันมากสักเท่าไหร่ เนื่องด้วยความที่สมัยตอนยังเป็นเด็กแบเบาะ สิ่งที่เรียกว่า 'เกมสยองขวัญ (Horror Games)' นั้นค่อนข้างเป็นสิ่ง 'แสลง' สำหรับผมที่มักจะพยายามหลีกเลี่ยงเท่าที่เป็นไปได้ เหตุผลง่าย ๆ คือผมไม่ชอบในการที่หนังหรือสื่อบันเทิงแนวสยองขวัญ มักชอบที่จะใส่สิ่งที่เรียกว่า 'จั๊มสแกร์ (Jumpscares)' เข้ามา ซึ่งมันหนึ่งในเทคนิคที่ผมยอมรับว่าเกลียดและไม่ถูกอะไรกับแนวนี้แบบจริง ๆ จัง ๆ

น่าแปลกที่ทำไมเกมผีบางเกม ถึงมักใช้ Scare Tactics แบบเบสิคอย่างงี้อยู่เรื่อย ๆ แม้ในสายตาของคนที่ไม่เคยผ่านเกมสยองขวัญมาเยอะเช่นผมมันอาจจะทำให้ผมรู้สึกใจเต้น ๆ ตุบ ๆ ไปบ้าง แต่เชื่อว่าถ้าใครที่เป็นสายชอบเสพแนวสยองขวัญมาเยอะพอสมควร สิ่ง ๆ นี้แทบเป็นอะไรที่เหมือนกับถูก 'เมินเฉย' หรือไม่ก็ 'น่ารำคาญ' ไปเลยระดับหนึ่ง

อย่างไรเอง ผมคงไม่ได้มีความคิดอยากจะฝอยเกี่ยวกับสื่อบันเทิงประเภทนี้มากนัก และด้วยเหตุนั้นแล้ว ผมอยากมาพูดถึงว่าด้วยเรื่องราวของประสบการณ์ที่มีต่อเกมสยองขวัญเกมหนึ่ง ที่แม้ในด้านของการนำเสนอหรือฉากหลังของมันจะไม่ได้เป็นอะไรที่คาดเดากันได้ยากนัก ทว่าเหตุผลที่มันทำให้ผมรู้สึก 'ติดพัน' จนรู้สึกว่ามันเป็นสิ่ง ๆ หนึ่งที่ผมอดไม่ได้ที่อยากจะพูดถึง

นั่นคือเกมที่มีชื่อว่า 'Dying Light' และ 'Dying Light 2 Stay Human' ครับ



จากสตูดิโอผู้ให้กำเนิดตำนาน Dead Island เกมซอมบี้ที่ว่าด้วยเรื่องราวของกลุ่มผู้รอดชีวิตที่ต้องติดอยู่ในเกาะ ๆ หนึ่งที่ถูกตัดขาดการติดต่อสื่อสารจากโลกภายนอกอย่างถาวร สู่การเป็นเกมวิ่งหนีตายเพื่อเอาชีวิตรอดจากบรรดา 'ผู้ติดเชื้อ (Infected)' ที่นอกจากจะอันตรายยิ่งกว่าเดิมแล้ว เมื่อถึงคราวที่พระอาทิตย์ตกดิน ความอันตรายนั้นก็ได้ทวีคูณขึ้นไปมากกว่าเดิมกว่าหลายเท่า

ผมจำได้ว่าเมื่อช่วงครั้งแรกที่รู้จักกับเกม ๆ นี้ มันเริ่มต้นมาจากการที่มีนักเล่นเกมชาวไทยท่านหนึ่ง (ซึ่งไม่ขอเปิดเผยชื่อ) โดยเรื่องราวของมันเริ่มต้นขึ้นมาจาก 'เรา' รับบทเป็นตัวละครที่มีชื่อว่า 'ไคล์ เครน (Kyle Crane)' หน้าที่ของเราถูกส่งมายังในเมืองฮาร์ราน เมืองสมมุติที่ออกแบบมาให้ดูคล้ายคลึงกับพื้นที่แทบผู้ยากไร้ในทวีปแอฟริกาใต้ โดยหน้าที่ของเราหลัก ๆ คือการตามหาของสิ่ง ๆ หนึ่งที่เชื้อว่ามันคือสูตรในการทำวัคซีนในการแก้อาการติดเชื้อ ภายหลังจากที่ตัวของมันถูกเผยแพร่เข้าสู่ในเมือง จนเป็นเหตุทำให้ทางรัฐบาลจำต้องปิดกั้นเขตทั้งทางเข้า - ออกของเมืองเพื่อไม่ให้เชื้อไวรัสนั้นเล็ดลอดเข้าไปสู่โลกภายนอกได้ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความสูญเสียและอันตรายในระดับมหาศาลถึงขั้นทำให้โลกถึงคราวล่มสลาย

Backstory เรื่องราวของเกม Dying Light นับว่ามันดูทั่ว ๆ ไป อาจเรียกได้ว่ามันไม่ใช่อะไรใหม่และพิเศษ เมื่อเทียบกับเกมแนวซอมบี้ที่มีอยู่ตามตลาดทั่วไป 'ฉากหลัง (Backstory)' ของเกมนับว่ามันดูพอที่จะสามารถทำให้คนสามารถอินไปกับการถ่ายทอดและการนำเสนอของมันได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้สำหรับผมถือว่ามัน 'น่าพึงพอใจ' มากในระดับหนึ่ง



ความทรงจำครั้งแรก ณ ตอนที่ผมได้เริ่มจับเกมนี้แบบจริง ๆ จัง ๆ เรียกได้ว่ามันค่อนข้างนานพอสมควร เนื่องด้วยความที่ภาคแรกถูกปล่อยออกมาในปี 2015 ที่ผ่านมาถึงในปี 2024 ก็ปาเข้าไปเป็น 9 ปีเข้าไปแล้วแบบไม่ต้องสืบ ซึ่งถือว่ามันยาวนานพอสมควร เชื่อว่าคนที่เติบโตอยู่ในยุคของ Generation Z (Gen Z) คงน่าจะเคยได้ยินหรือเคยจับเกมนี้มาเล่นแบบผ่านหูผ่านตามาบ้างแล้ว แต่สำหรับคนในยุคของ Gen Alpha ที่ไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับเกม Dying Light ก่อนอื่นผมเลยอาจต้องขอใช้พื้นที่นี้ในการตั้ง Disclaimer ไว้ก่อนอยู่หลัก ๆ ไม่กี่ข้อ

อย่างแรก นี่ไม่ใช่เกมเดินหน้ายิงซอมบี้แบบทั่วไปที่คุณสามารถหาปืนหรืออาวุธมาฟาดฟันซอมบี้ได้อย่างอิสระ

อย่างที่สอง การกระทำใด ๆ ก็ตามที่ทำให้เกิดเสียงดัง ย่อมหมายถึงการเอาภัยอันตรายเข้ามาหาตัวเอง (ต่อเนื่องมาจากอย่างแรก)

และอย่างที่สาม กลางคืนอันตรายมากกว่ากลางวัน

3 อย่างข้างบนที่กล่าวมาทั้งหมด คือสิ่งที่คุณต้องจำให้ขึ้นใจเสมอเกี่ยวกับเกมนี้ โดยเฉพาะถ้าหากว่าคุณเป็นผู้เล่นสายบู๊แอคชั่นที่ชอบในการไล่กำจัดสิ่งกีดขวางทั้งหมดไป หรือแม้แต่กับผู้ที่คิดว่าตัวเองมี Reflex รวดเร็วฉับไวมากเพียงพอที่จะใช้อาวุธยิงระยะไกลไล่เก็บศัตรูแบบเรียงตัวอย่างแม่นยำ แน่นอนว่าถ้าคุณเป็นคนสองประเภทข้างต้นที่ผมได้กล่าวมา ผมอาจต้องแสดงความเสียใจที่ต้องบอกว่า 'Dying Light ไม่ใช่เกมที่คุณต้องสนุกสนานในการไล่ฆ่าพวกซอมบี้ แต่มันเป็นเกมการเอาชีวิตรอดจากภัยอันตรายทั้งจากเหล่าผู้ติดเชื้อ นักล่าในยามวิกาล และเหล่ามนุษย์ผู้ที่เลวร้ายยิ่งกว่าศัตรูหลักในเกม'

Dying Light ภาคแรก นำเสนอในมุมมองของผู้ที่ถูกทางการส่งไปเพื่อแฝงตัวนำเอาข้อมูลกลับมาสู่ทางกลุ่มทางการด้วยเหตุผลเกี่ยวกับเรื่องของ 'ผลประโยชน์' และ 'การทดลองทางวิทยาศาสตร์' ที่ต้องการนำเชื้อไวรัสที่แพร่กระจายอยู่นั้นนำไปใช้กับกองทัพ หากแต่ว่าเมื่อเกมมันได้ดำเนินเนื้อเรื่องไปสักช่วงเวลาหนึ่ง คุณจะพบว่าการกระทำของกลุ่มทางการนั้นกลับเป็นสิ่งที่ขัดต่อหลักจริยธรรม รวมถึงมันไม่ได้ส่งผลดีให้กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเลย ทว่ามันเป็นเพียง 'ความโง่เง่า' และ 'ความอยากเอาชนะ' ในการนำเชื้อไวรัสไปเป็น 'อาวุธชีวภาพ' โดยหวังใช้มันเป็นตัวจบสงคราม หากแต่ดูเหมือนว่าสิ่งเหล่านี้มันกลับเกิดขึ้นจากความ 'ประมาทเลินเล่อ' และ 'การไม่แยแส' ของผลลัพท์ในอนาคตที่ไม่ได้มีการคาดการณ์ไว้ล่วงหน้า จนในท้ายที่สุดผลพวงของการกระทำอันไร้สตินั้น จึงก่อให้เกิดกลายเป็นมหันตภัยครั้งใหญ่ที่แทบจะทำให้อารยธรรมมนุษย์ล่มสลายไปอย่างรวดเร็วในระยะเวลาเพียงไม่กี่สิบปี


"Goddamn STUPID f**king kid!"

เหมือนอย่างเช่นเดิมในทุกครั้ง ส่วนที่เรียกว่า 'เนื้อเรื่อง' ผมจะไม่ขอสปอยอะไรใด ๆ แม้ว่าต่อให้มันจะเป็นเกมที่ออกมาเมื่อ 9 ปีที่แล้วไปเองก็ตาม

ความโดดเด่นของเกม Dying Light นอกเหนือไปจากตัวของฉากหลัง เนื้อเรื่อง และระบบการเล่นที่มีการนำเอา 'องค์ประกอบ (Element)' ของเกม RPG ใส่เข้ามาแบบผิวเผิน อีกหนึ่งเรื่องที่ผมค่อนข้างรู้สึกตื่นตาและตื่นใจเป็นอย่างมากนั่นคือ 'ระบบการเคลื่อนไหว' ของตัวละครที่มันนำเอาหนึ่งในกีฬาสุดโปรดอย่าง 'ปากัวร์ (Parkour)' เข้ามาใส่ในตัวเกม

ถ้าหากไม่นับกับเกมแรก ๆ ที่มีการนำเอาระบบปากัวร์มาใช้อย่าง Mirror Edge (ที่มันมาจากค่ายบริษัท ๆ เกมหนึ่งที่เคยโดนเกลียดมาอย่าง Electronic Arts) โดยนำเสนอมาในมุมมองแบบเกม FPS อีกหนึ่งเกมที่ทำระบบปากัวร์ได้ดีพอ ๆ กัน (และอาจจะทำได้เหนือกว่านั้น) คือ Dying Light ที่ตัวมันถือว่าเป็น 'หัวใจหลัก' ทั้งหมดของเกมการเล่นที่มันจะติดตัวคุณไปอยู่ตลอดทั้งเกม (และอาจจะไปตลอดกาลเลยก็ว่าได้)

ว่ากันอย่างไม่อวยเกมนี้มากนัก ผมชอบในการที่เกมมันได้เปิดโอกาสในการสามารถทำให้ผู้เล่นใช้ระบบและความสามารถนี้ได้อย่างเต็มที่แบบไม่กั๊ก นอกเสียจากว่าจะติดในเรื่องของการเก็บเลเวลที่ต้องใช้เวลาไปสักพักใหญ่ ๆ หากแต่อย่างน้อยที่สุดแล้ว เมื่อคุณสามารถเล่นจนปลดล็อคสกิลได้ทุกสายภายในเกม คุณจะค้นพบว่า 'ความสนุก' ของเกมนี้มันคือการที่คุณได้ลุ้นระทึกไปกับการวิ่งหนีตายเหล่าผู้ติดเชื้อที่พร้อมจะเข้ามา 'ขย้ำ' คุณได้ทุกเมื่อ ไม่เว้นแม้แต่กับตัวกีกี้ที่เดินไปมา ถึงกระนั้นแล้วแม้จะมีความสามารถมากแค่ไหน หากแต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคุณนั้นจะ 'ไร้เทียมทาน' ไปเสียซะทีเดียว

'ผู้ติดเชื้อ' ตัวปกติอาจจะทำอะไรคุณไม่ได้มากมายนัก แต่มันคงไม่ใช่สำหรับกรณีของผู้ติดเชื้ออีกสองประเภทที่มันนับได้ว่าเป็นหนึ่งในตัวที่ 'น่ารำคาญ' 'อันตราย' และ 'น่าหวาดหวั่น' อย่างสิ่งที่เรียกว่า 'ไวรัล (Virals)' และ 'โวลาไทต์ (Volatiles)'



ปล. โปรดจดจำศัตรูสองตัวนี้เอาไว้ให้ดี

ในเกมแนวซอมบี้หลาย ๆ เกม ศัตรูส่วนใหญ่นั้นมักจะค่อย ๆ ดาหน้าเข้ามาหาตัวผู้เล่นพอให้ได้มีจังหวะในการพักหายใจหากคอ และได้มีเวลาสำหรับการตั้งตัวให้ได้ทันก่อนที่จะเหนี่ยวไกหรือกระทำการบางอย่างใส่มัน แม้แต่กับเกมเลื่องชื่ออย่าง Left 4 Dead เองก็เช่นกัน

Left 4 Dead ถือเป็นเกมยิงซอมบี้ที่ความสนุกของมันคือการผจญภัยไปกับกลุ่มเพื่อนของคุณทั้งสามคน (หรือจะเล่นกับบอทหรือคนเดียวก็ได้ ถ้าต้องการความท้าทายนะ ;) ) โดยสำหรับตัวของ Left 4 Dead มันอาจไม่ได้เป็นอะไรที่น่ากลัวหรืออันตรายสักเท่าไหร่ อย่างไรเสียเอง สำหรับเกมอย่าง Dying Light ศัตรูที่สามารถ 'วิ่งได้ = อันตราย' นั่นถือว่าไม่หลุดไปจากความเป็นจริงของมันไปเสียเท่าไหร่

และจะเกิดอะไรขึ้นล่ะ? ถ้าหากว่าความสามารถของพวกมันทัดเทียมได้พอ ๆ กับผู้เล่น หรือเก่งกว่า เร็วกว่า รวมไปถึงยังจู่โจมได้อย่างรุนแรง ชนิดที่ว่าแทบจะสามารถล้มคนเล่นอย่างเรา ๆ ไปด้วยการโจมตีแค่ไม่กี่ครั้ง?

มันคือสองศัตรูหลัก ๆ ในเกมที่ผมสารภาพว่าถ้าเป็นไปได้ก็คงไม่อยากเจอ ลำพังการเอาตัวรอดจากบนถนนและกับคนก็อันตรายพอกันอยู่แล้ว ทว่ายิ่งมีศัตรูสองประเภทนี้ด้วยอีก เรียกว่านอกจากจะทำให้โอกาสในการรอดชีวิตต่ำแล้ว ก็ยิ่งจะต่ำลงไปมากกว่าเดิมหลายเท่า

อาจเรียกได้ว่า ณ ช่วงแรกของเกมเมื่อคุณได้เจอกับศัตรูสองประเภทนี้ มันแทบจะพลิก Tactics การเล่นไปอย่างถาวร ลืมไปได้เลยว่าการใช้อาวุธบนมือเข้าห้ำหั่นกับมันจะเป็นทางเลือกที่ดี ลืมไปได้เลยว่าการใช้ปืนจะเป็นสิ่งที่สำคัญ หนทางอย่างเดียวของคุณคือการ 'หนี' มากกว่าที่จะ 'สู้'

ยิ่งถ้าปรับระดับความยากของเกมเป็น 'ฝันร้าย (Nightmare)' เรียกว่าหนทางในการสู้และรอดชีวิตได้แทบจะเป็นไปได้น้อยเอามาก ๆ เลยภายในเกมนี้

ผมยังคงกลับไปเล่นเกมในภาคแรกอยู่เป็นบางช่วง แม้ว่า ณ ปัจจุบันที่ผมกำลังเขียนโพสต์นี้อยู่ สารภาพว่าใจหนึ่งของผมกลับไปอยู่กับเกมภาคสองอย่าง Dying Light 2 Stay Human ไปแล้วก็ตามที

และถ้าให้ผมต้องเปรียบเทียบว่าระหว่าง 1 กับ 2 อันไหนดีกว่ากัน คำตอบอย่างเดียวที่ผมสามารถให้ได้คือมัน 'สนุกกันไปคนละแบบ' แม้ว่าเกมการเล่นจะนำเสนอเหมือนกันไปก็ตาม


คนที่เล่นภาคแรกมาก่อน เมื่อได้มาจับภาคสอง คุณอาจจะรู้สึกไม่ชอบมันในช่วงแรกของการเล่นเกมนี้ (ใช่ แน่นอน ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น) อย่างไรเสียเอง นั่นไม่ได้แปลว่ามันจะแย่ไปเสียทั้งหมด หากแต่เรียกได้ว่ามันมีการเปลี่ยนแปลง ยกระดับของเกมการเล่นทำให้คุณต้องเรียนรู้ Tactics ในการใช้รับมือกับศัตรูหลากหลายประเภทมากขึ้น ระวังตัวเยอะมากขึ้น และที่สำคัญมากที่สุดคือการบริหารทรัพยากรภายในเกม

ใน Dying Light 2 นั้น การหาทรัพยากรภายในเกมจะมีความแตกต่างจากภาคแรกไปพอสมควร ณ ตอนนี้ที่ผมกำลังเล่นในโหมด Normal ของเกมภาคนี้ ทรัพยากรที่ผมหาได้มันอาจดรอปมาในปริมาณเพียงพอสำหรับการใช้เพื่อเอาตัวรอดไปในแต่ละคืนได้อย่างหวุดหวิด ทว่านั่นเป็นเพียงส่วนของโหมดความยากแบบปกติที่ตัวมันแค่พอทำให้ผมสามารถเล่นเกมนี้ได้อย่างไม่ต้องกังวลหรือเคร่งเครียดกับมันไปมากนัก หากแต่ในส่วนของความยากที่มันอาจเพิ่มไปอีกหนึ่งหรือสองระดับ อาจเป็นไปได้ว่าความคิดของผมคงจะเปลี่ยนไปอีกครา


**คลิปประกอบสำหรับการพักสายตา**

อันที่จริง ระบบของเกม Dying Light 2 ยังมีอีกเยอะมากที่ตัวมันมีดีเทลมากพอให้ผมสามารถนำมาเปรียบเทียบกับภาคแรกได้ อย่างไรก็ตาม ผมคงต้องขอกั๊กเอาไว้เพื่อไม่ให้เป็นการได้ 'สปอยตัวเอง' หรือใครก็ตามที่ผ่านมาและอยากจะลองหามันมาเล่นดูในสักครั้ง

Dying Light ถือได้ว่าเป็นหนึ่งใน Iconic ของเกมจากฝั่งค่ายผู้พัฒนา Techland ซึ่งเป็นเกมจากฝั่งทวีปยุโรปตอนกลาง ประเทศโปแลนด์ และก็เปรียบได้ดั่ง 'หมุดหมายใหม่' ที่ตัวมันนอกจากจะทำให้ค่ายพัฒนาเกมดังกล่าวเป็นที่รู้จักกันทั่วโลกแล้วนั้น ยังได้เปิดโอกาสทำให้ผมรู้สึกว่าเกมที่มาจากฝั่งของทางยุโรปนั้นค่อนข้างทำได้ถึงใจและรับรู้ความต้องการของผู้เล่นได้ดีเกินผิดคาดมาก อาจเรียกได้ว่าคุณภาพของมันดูเป็นอะไรที่พวกบรรดาค่ายบริษัทยักษ์ใหญ่จากฝั่ง Ubisoft และ Sony เทียบกันไม่ติด (ซึ่งส่วนของ Sony ผมไม่ขอวิจารณ์ถึง เว้นกับแต่ Ubisoft ที่มันเป็น 'ไม้เบื่อไม้เมา' สำหรับทางผู้เขียนมานานพอสมควร xD)

แน่นอนว่าถ้าไม่ติดในเรื่องของการที่เกมเหล่านี้มันใช้เวลาในการพัฒนานานพอสมควร หากแต่ราคามันสมควรแก่คุณภาพของตัวเกมที่แทบจะไม่กั๊กอะไรให้กับผู้เล่นเลยซะทีเดียว อาจมีบ้างที่มันต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปในบางจุด ทว่าอย่างน้อยแล้วสิ่งเหล่านี้เอง ก็ล้วนเป็น 'ประสบการณ์' ในการที่ทำให้คุณภาพของผลงานที่ออกมามันดูมีความแตกต่าง และความหลากหลาย (แบบไม่ยัดเยียดให้คนเล่น) เข้ามาชนิดที่ว่าเห็นกันแบบโต้ง ๆ กลับกัน ผมกลับรู้สึกว่าพวกเขาดูมีความเข้าใจอัตลักษณ์และเกมของตัวเองในรูปแบบที่เรียกได้ว่า 'ถ้าไม่รักในการสร้างสรรค์มันขึ้นมาจริง ๆ ก็คงจะลงเอยไม่ต่างอะไรจากเกมบนท้องตลาดที่ขายเกลื่อนกันให้เห็นทั่ว ๆ ไปแล้ว'

ผมเคยพูดถึงเรื่องว่าด้วยหัวข้อการพัฒนาเกมไปในช่วงของ 'บอกเล่าประสบการณ์ Ep.2 ของบลู อาร์ไคฟ์' ซึ่งคุณสามารถแวะเข้าไปอ่านกันได้ แม้จะไม่ใช่ทั้งหมด แต่มันถือเป็นเพียงส่วนผิวเผินเพื่อให้ได้เข้าใจเรื่องราวของ 'อุปสรรค' หรือสิ่งที่เหล่า Video Game Developer ต้องเจอ ทั้งนี้ในแง่มุมเบื้องลึกของมันอาจมีมากกว่าที่เรา เหล่าชาวเกมเมอร์มองไม่เห็น และในบางเรื่องที่ถูกเปิดเผยต่อทางสาธารณะ รวมไปถึงเหตุผลของการมีอยู่เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่า 'เด็กหวาน (Sweet Baby Inc.)' ที่ผมคงอาจจัดให้อยู่ในประเภทของ 'บ่อนทำลาย' วงการวิดีโอเกมไปแบบไม่ต้องสืบ

ผมอาจไม่พูดถึงเรื่องตรงนี้เท่าไหร่ เพราะเชื่อว่าถ้าใครก็ตามที่ได้เห็นกระแสต่าง ๆ หรือได้ยินชื่อของมันมาแล้ว เรียกได้ว่าคุณคงรู้วีรกรรมของพวกเขาดีว่าทำอะไรลงไป

หากแต่นั่นไม่ได้แปลว่าผมจะโกรธหรือเกลียดมันไปเสียทั้งหมด หากเพียงแต่ถ้าหากพวกเขาสามารถทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของ 'ตลาดในวิดีโอเกม' และ 'ฐานของผู้เล่นเกม' ได้ดีกว่านี้ พวกเขาคงรู้ว่าการนำเอาเนื้อหา 'ความตื่นรู้' เข้ามาในแฟรนไชส์เกมที่มันเคยมีคนรักมากมาย เป็นความคิดที่ 'โง่เขลา' ไปสิ้นดี

และนั่นอาจส่งผลกระทบร้ายแรงไปยิ่งกว่าเดิม ถ้าหากว่าพวกเขาเหล่านั้นเลือกที่จะผลาญเงินไปโดยใช่เหตุกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ซ้ำร้ายเองยังอาจทำให้มุมมองต่อสังคมที่มองเข้ามามันดู 'แย่' หนักกว่าเก่าไปเสียอีก...


------------------------------------------------

ปีนี้นับว่าเป็นปีที่ผิดคาดไปมากสำหรับผม ถ้าไม่ติดไปถึงเรื่องราวชวนน่าปวดหัวเกี่ยวกับการเมืองในประเทศ การถกเถียงอย่างไม่จบไม่สิ้นในหัวข้อประเด็นของ 'ชายแท้' และการดูถูกเพศสภาพของคนอื่นได้อย่างหน้าตาเฉย การวิจารณ์ผู้คนในโลกออนไลน์อย่างออกรส หรือแม้แต่กับการเป็นกระแสที่ถูกวิพากษ์มากมายทั้งในวงการวิดีโอเกม นักพากย์ อนิเมชั่น หนัง และอื่น ๆ อีกมากมายที่เรียกได้ว่าผมเหนื่อยที่จะตามติดกระแสเหล่านั้นไปทั้งหมด

นั่นยังไม่นับรวมไปถึงเรื่องของการพยายามลากสังขารตัวเองในการปั่นงานเขียนนิยายของตัวเองไปด้วยอีกต่างหาก ที่เรียกได้ว่าอาจต้องจัดตารางเวลาชีวิตใหม่กันไปเลยทีเดียว (ใช่ รวมถึงตอนนี้เองเช่นเดียวกัน) หากแต่อย่างไรเสีย เรื่องของการจัดตารางเวลาชีวิตนั้นก็เป็นเพียงแค่ 'ปัจเจก' ของสิ่งที่ผมต้องเจอ หากเทียบกันกับเหล่าผู้คนที่ยังคงเล่นโซเชียลกันอยู่ พวกเขาอาจคงมีเวลาและความยุ่งเหยิงมากกว่าผมเกือบหลายเท่า ซึ่งกรณีนี้สำหรับผมแล้วคงไม่มีปัญหาอะไรมากนัก

ผมยังคงสามารถสนุกกับเกมที่ตัวเองเล่น หนังที่ตัวเองอยากดู รวมไปถึงเพลิดเพลินไปกับการเขียนงานสร้างสรรค์ของตัวเองโดยไม่มีอะไรมาติดขัด นอกจากปัญหาบางอย่างที่ผมกำลังพูดถึงมันอยู่ (และเรื่องจุกจิกบางอย่างที่ผมได้เจอ แต่คุณไม่ต้องรู้มันมากนักหรอกนะ ;P )

ใด ๆ เองก็ตามแต่ ผมหวังว่าคุณคงจะยังคงสนุกกับการใช้ชีวิต หรือแม้แต่การได้เล่นเกมกันอยู่ ไม่มากก็น้อย

และสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่ขาดไปไม่ได้...


Good Night, Good Luck

ความคิดเห็น