สังคมของการมองโลกในแง่ร้าย (Pessimist in Society)

  

(Credit - Megu)

You know, the world isn’t always like this.

เป็นเรื่องราวอันช้านาน หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะว่าด้วยสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมากมายในสังคมโลกปัจจุบัน แน่นอนว่าการพยายาม ‘มองโลกในแง่บวก’ นั้นเป็นสิ่งที่ทำได้โดยยากลำบาก เมื่อทุกอย่างรอบตัวเรามันเต็มไปด้วย ความเลวร้าย ที่มันไม่เพียงแต่บั่นทอนจิตใจ แต่ยังเปลี่ยน ‘มุมมอง’ ที่มีต่อสิ่งต่าง ๆ ออกไปในทางที่มัน ‘เลวร้าย’ มากเกินกว่าความเป็นจริงที่เกิดขึ้น

ใช่ ผมรู้ ๆ ผมไม่ได้บอกให้ต้อง ‘ปฏิเสธ’ ถึงมัน

ข่าวคราวอันเลวร้ายมากมายที่เกิดขึ้น ณ ภายในสถานการณ์ที่มันเต็มไปด้วยความวุ่นวายและคอยบิดเบือนเราในทุกเมื่อเชื่อวัน การใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางมวลรวมของความเศร้าโศก สิ้นหวัง และเต็มไปด้วยความรู้สึกแง่ลบมากมายเกี่ยวกับเรื่องราวของโลกใบนี้ ว่ากันตามความรู้สึกตรง ๆ มันเป็นสิ่งที่รบกวนจิตใจของผมมากไปพอสมควร

ยิ่งด้วยเรื่องราวของความเสียหายจากภัยพิบัติ ปัญหาทางสังคมที่พวกเรา *ต่าง* รู้กันดีว่ามันมีที่มาจากไหน หากแต่เรากลับปฏิเสธต่อความจริงที่อยู่ตรงหน้า และเลือกที่จะจมอยู่กับความหวังเพียงลม ๆ แล้ง ๆ ที่หลอกล่อเพื่อให้เราตายใจ ทำให้เราหลงคิดไปว่า ทุกการเปลี่ยนแปลงที่เราต้องการ มันจะไม่มีวันเกิดขึ้น

เราต่างชื่นชอบในการเสพสิ่งเลวร้าย

เพื่อมองข้ามถึง ‘ความเลวร้ายที่เราพบเจอในชีวิตประจำวัน

และใช้ ‘ความเลวร้าย’ ของสิ่งที่อยู่นอกเหนือปัญหาของเรา

ในการกลบเกลื่อน ‘ปัญหา’ ที่เรากำลังเผชิญ

แน่นอนว่าการที่ผมพูดออกมาแบบนี้ หาใช่มีเจตนาเพื่อแสดงถึงความรู้สึกเหนือกว่าใคร

ในความเป็นจริงคือ… ผมกลับรู้ว่า ‘ปัญหา’ ที่ผมเผชิญอยู่คือสิ่งที่มัน ‘รบกวน’ จิตใจผมมากพอสมควร

ผมได้กลับไปเพื่อนั่งอ่านสิ่งที่ตัวเองได้เขียนไว้เมื่อปีที่แล้ว ช่วงเวลาแห่งความเลวร้ายที่ดูเหมือนว่าผมจะไม่ได้คิดไปเสียเอง อาจเป็นช่วงเวลาหนึ่งที่ผมได้ตระหนักถึงการ ‘ปลีกวิเวก (Isolation)’ แยกตัวออกจากสังคมอย่างสิ้นเชิง การทำเช่นนั้นมันมีผลเสียที่ตามมาคือทำให้ผมหลงลืมถึงการเข้าร่วมกลุ่มสังคมกับผู้อื่นไปโดยปริยาย และแน่นอนว่ามันคือ ‘ข้อเสีย’ อย่างหนึ่งที่ผมรู้ตัวเองเป็นอย่างดี

ทว่าแม้มันจะเป็น ‘ข้อเสีย’ แต่เมื่อลองถอยออกมาและลองพิจารณาอีกครั้ง จู่ ๆ เจ้าสิ่งที่เรียกว่า ‘ความเคลือบแคลงใจ’ มันก็ดันเข้ามาแทนที่เสียเอง

สังคม (Society)’ ณ ในโลกปัจจุบันของเรามันค่อนข้างเต็มไปด้วยความวุ่นวายมากมายเกินนับคณา หนำซ้ำอาจยังเรียกได้ว่าการมองหาใครสักคนที่มีความเป็นมนุษย์มากพอในการ ‘แยกแยะ’ ถึงสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างแตกฉานโดยไม่จำเป็นต้องอธิบายออกมาอย่างยาวยืดคือสิ่งที่หาได้ยากเสียกว่าเพชรในมหาสมุทร หนึ่งในสิ่งหนึ่งที่ผมได้สังเกตเห็นสักระยะใหญ่ ๆ เมื่อยามที่สื่อจากโซเชียลมีเดียมันเริ่มมีบทบาทสู่ชีวิตประจำวันของเรามากขึ้น สิ่งต่อไปที่มันเกิดขึ้นการที่ผู้คนหันเหไปให้ความสนใจกับ ‘สื่อ’ เหล่านั้นในจำนวนที่มากเกินไป บ่อยเกินไป หรือมีอารมณ์ส่วนร่วมกับมันมากเกินความจำเป็น

แน่นอน เรื่องเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับใครคนใดคนหนึ่ง แต่มันเกิดขึ้นกับพวกเราทุกคน

อินเทอร์เน็ต ทำให้ผู้คนเป็นบ้าได้เสมอ

เรื่องราวของความเป็นจริงมันเกิดขึ้นมานานมากแล้ว และไม่ใช่สิ่งใหม่ อาจพูดได้ว่ามันมีปัญหามาอย่างเนิ่นนานเมื่อสิ่งนี้มันเริ่มเข้าถึงผู้คนได้มากขึ้น ครั้งหนึ่งผมอาจจะเคยพูดถึงเรื่องราวในโลกโซเชียลไปมากแล้วก็จริง ทว่าก่อนการมาถึงของโซเชียลมีเดีย สิ่งหนึ่งที่ผมอยากให้ทำความเข้าใจก่อนเป็นอย่างสำคัญ นั่นคือเรื่องราวเกี่ยวกับ ‘โลกอินเทอร์เน็ต’ ซึ่งแน่นอนว่าที่แห่งนี้เปรียบได้ดั่ง โลกไร้พรมแดน ที่ไม่มีด่านอะไรขวางกั้น (ยกเว้นเสียว่ามันจะเป็น ‘ผู้ให้บริการเครือข่าย’ ที่คุณใช้อยู่ 😉)

ยุคสมัยแห่งความรุ่งเรืองที่เต็มไปด้วยเรื่องราวมากมายอันน่าค้นหา ไม่ว่าจะทั้งในแง่ดีหรือแง่ร้าย อย่างไรก็ตาม ณ โลกแห่งหนนี้มันเปรียบเสมือนเป็น ‘เมือง ๆ หนึ่ง’ ที่ผมอาศัยอยู่มาอย่างเนิ่นนาน ก่อนหน้าที่การมาของโซเชียลมีเดีย ปัญญาประดิษฐ์มันจะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งอย่างไป หมายรวมไปถึง ‘สังคม’ ที่ผมได้จากมา

การร่อนเร่ไปอย่างไร้จุดมุ่งหมาย กว่าจะรู้ตัวอีกที มันกลับกลายเป็นว่าผมดันคุ้นชินกับมันไปเสียแล้ว และอย่างที่พวกคุณทราบกันดี ความเลวร้ายต่าง ๆ ในโลกแห่งความเป็นจริง เมื่อใดที่มันถูกนำเสนอมาสู่โลกอันไร้พรมแดนนี้ มันก็หนีไม่พ้นที่มันมีโอกาสในการที่สิ่งต่าง ๆ จะถูก ‘ใส่สีตีไข่’ หรืออาจพูดให้ตรงประเด็นมากกว่านี้อีกครั้ง พวกเราเหมือนกลายเป็นคนโง่โดยชั่วคราว

มืดบอด

ปฏิเสธ

กลบเกลื่อน

แสร้งเป็นเหยื่อ

เมินเฉย

ทุกความรู้สึกนี้แล่นออกมาผ่านโสตประสาท ผ่านการคัดกรองความคิด ก่อนที่มันจะถูกถักทอออกมากลายเป็น ‘ภาษาเขียน’ ณ ที่คุณกำลังอ่านในตอนนี้

อาจต้องยอมรับอย่างหนึ่งถึงความผิดพลาดในสิ่งต่าง ๆ ที่ผมไม่มั่นใจนักว่ามันควรเรียกเช่นนั้นดีหรือไม่ เพราะถ้าว่ากันตามตรง ตลอดทุกครั้งเมื่อผมรู้สึกถึงการกระทำผิดพลาดในบางสิ่งบางอย่างไป สมองของผมจะเริ่มวกกลับไปเพื่อคิดทบทวนถึงการกระทำชั่ววูบตรงนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผม เกลียด ที่จะต้องทำให้สมองของตัวเองหวนย้อนไปมองช่วงเวลาตรงนั้น กล่าวกันว่าเมื่อใดที่เรา ‘รู้สึกผิด (Guilt)’ โดยเฉพาะกับการกระทำที่มาจากตัวเราเอง เมื่อนั้นจิตใจของเราจะตกอยู่ในความเป็นทุกข์

สภาวะความเป็นทุกข์ (Suffering)

กับ

ความเจ็บปวด (Pain)

 


พวกมันคล้ายคลึงกัน หากแต่ในแง่ของการสร้างบาดแผลในใจได้ยาวนานมากที่สุด คือสิ่งแรกที่ผู้คนในสังคมต่างกำลังประสบกันอยู่ในปัจจุบัน

หลักคำสอนในศาสนาเปรียบได้เป็น ‘เครื่องมือเตือนใจ’ อย่างไรเสีย ผมอาจคงต้องอธิบายและพูดอีกครั้งว่าการพูดถึงสองอย่างนี้มันไม่มีอะไรเกี่ยวข้อง ผมจะเลี่ยงถึงหลักทางศาสนาให้มากสุดเท่าที่เป็นไปได้ แต่จะมีเพียงแค่เรื่องของ ‘ความเชื่อ’ และ ‘ความศรัทธา’ เท่านั้นที่มันคือ ‘จุดกำเนิดของปัญหา’ ที่มันเป็นเหตุทำให้ผู้คนสร้างลัทธิความเชื่อแปลกประหลาดต่าง ๆ มากมายในสังคม

ครั้งหนึ่ง (หรือไม่ก็ทุกครั้ง) ผู้คนมักสอนอยู่เสมอว่า ‘เมื่อใดเป็นทุกข์ จงลองเดินเข้าโบสถ์หรือเข้าวัด’

ทว่าสำหรับผม สิ่งเหล่านั้นใช้ไม่ได้กับทุก ๆ คน

(Credit - KAREA)

ผมเองก็เช่นกัน

ความเจ็บป่วยทางอารมณ์และจิตใจ มีความจำเป็นที่ต้องได้รับการรักษาด้วยวิทยาการแพทย์ โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่อยู่ในสภาวะขั้นเลวร้ายอย่างมากจนส่งผลเสียต่อการดำเนินชีวิตตามปกติสุข อย่างไรเอง หากว่าคุณไม่ได้อยู่ในช่วงเวลาที่กำลังรู้สึกทุกข์ระทมในใจ ผมอยากให้คุณสูดหายใจเข้า – ออกช้า ๆ ละสายตาออกจากหน้าบทความนี้ไปสักพัก (และไม่ต้องห่วง ผมไม่ได้จะลากไปพูดถึงประเด็นเรื่องละเอียดอ่อน)

ผมเคยบอกถึงเจตนารมณ์ในการเขียนบล็อกนี้ไปแต่แรก บางสิ่งที่คุณไม่มีความจำเป็นใด ๆ ต้องรับรู้ หากเพียงเพื่อที่จะไม่ให้มันเป็นการขับไล่เสียมากเกินไป บางครั้งแล้วในทุกการเขียนบล็อกมักจะมีอะไรที่มันปะปนไปด้วย ความไร้สาระ และ อาหารทางความคิด อยู่เสมอ

ขึ้นอยู่เสียว่า ‘คุณ’ ต้องการโฟกัสถึงอะไร

เพราะในท้ายที่สุด ไม่ว่าคุณกำลังจะมองหาอะไรก็ตามแต่ ทุกสิ่งนั้นมันล้วนอยู่ในนั้น

ดำดิ่งลงสู่ห้วงมหาสมุทรอันไพศาล

แด่ความบ้าคลั่งของผู้คนในสังคม

ยินดีต้อนรับ

และสวัสดีเดือนธันวาคม ปี 2025

Dark Distress December

 


ความคิดเห็น