คำถากถาง การดูถูก การแขวะด่า และวิธีการรับมือกับเหล่าผู้คนแปลกหน้าในโลกอินเทอร์เน็ต (How to Get Rid With Pest)

 

ความโกรธที่ปะทุขึ้นในจิตใจ

ไม่อาจเทียบได้เมื่อมันแปรเปลี่ยนกลายเป็น ‘ความเกลียดชัง’

และในหลายครั้ง

ความเงียบ’ ก็ดูเป็นวิธีที่ดีในการรับมือ

ผมคงไม่ปฏิเสธว่าแม้ในด้านหนึ่งของการแสดงออกอย่างเป็นผู้มีวิสัยทัศน์ ในบางครั้งเองแล้ว การได้มองเห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่มันดู ‘ขัดหูขัดตา’ ตัวผมเองมากเกินไป ผมมักที่จะเลือกโต้ตอบด้วยความเงียบและไม่พยายามแสร้งทำเหมือนเป็นใส่ใจหรือสนใจในเสียงเหล่านั้น

อย่างไรเอง ผมอาจต้องขออนุญาตพูดสิ่ง ๆ นี้เพื่อให้ทำความเข้าใจกันอย่างชัดเจน

และไม่ให้มีการ ‘หลุด’ ออกไปในเรื่องของการใช้คำพูดจาเชิงลบเพื่อที่จะโจมตีใครหรือผู้ใด ไม่มีเจตนาอะไรทั้งสิ้นในการส่งเสริมต่อการกระทำในสิ่งที่ขัดต่อกฎหมายและจริยธรรม ทว่ามันเป็นเพียง การแสดงออกอย่างเชิงก้าวร้าว โดยที่ยังคงหลักการในการยึดถือเรื่องของ ‘ความคิดสร้างสรรค์’ อันเป็นที่หนึ่งในใจของตัวเอง

เพื่อให้เป็นการลดอารมณ์เดือดดาลน้อยลง ผมจะเปรียบเทียบมันให้เหมือนกับ ‘รถ’ ‘ถนน’ และ ‘การจราจร’ เสียแล้วกัน


พวกเราต่างมีรถกันคนละหนึ่งคัน รถเหล่านั้นมีหลายรุ่น หลายยี่ห้อ แสดงออกถึงวิถีชีวิตและแนวความคิดของแต่ละคนที่มันล้วนคือ ‘เชื้อเพลิง’ ในการขับเคลื่อนให้รถนั้นวิ่งไปข้างหน้าได้อย่างที่ใจต้องการ

ยุคสมัยช่วงหนึ่ง การมีรถนั้นถือเป็น ‘สิทธิพิเศษ’ ที่ไม่ใช่ใครจะครอบครองได้โดยง่าย อย่างไรก็ตามในยุคสมัยปัจจุบันนั้นสิ่งเหล่านี้กลับเป็นสิ่งที่หาได้โดยง่าย (หากแต่คุณภาพจะดีหรือไม่ นั่นขึ้นอยู่กับ ‘ประสบการณ์’ และ ‘การสังเกต’) และแน่นอนว่าราคาของรถแต่ละคันก็ล้วนขึ้นอยู่กับสมรรถภาพของเครื่องยนต์ ซึ่งเปรียบได้กับคือ ‘ร่างกาย’ และ ‘จิตใจ’ ของคนแต่ละคนที่ล้วนมีระดับในการรับรู้ความเจ็บปวดและความทุกข์ยากที่ไม่เหมือนกัน

อย่างไรเอง แม้ทุกคนจะมีรถที่มีสมรรถภาพแตกต่างกัน หากแต่ ‘ทางถนน’ นั้นกลับมีเพียงแค่เส้นเดียว ซึ่งนั่นเปรียบได้กับคือ ‘สังคม’

พวกเราต่างอยู่ในสังคม สังคมก่อเกิดขึ้นจากชุมชนของผู้อยู่อาศัย และผู้อยู่อาศัยคือตัวกำหนดคุณค่า (หรือค่านิยม) ของสังคมนั้น ๆ และแน่นอนว่าการวางเส้นถนนหนทางที่ดีและเหมาะสมต่อการเดินทาง ไม่เพียงแต่ช่วยทำให้การไหลเวียนของการจราจรมันราบรื่นมากขึ้น แต่ยังทำให้พวกเราไม่มีความจำเป็นต้องเสียเวลาในการเดินทางนานมากเกินความจำเป็น (นอกเสียจากว่างานของคุณนั้นต้องใช้รถเป็นประจำอยู่แล้ว)

ประเด็นที่ผมต้องการจะสื่อคืออะไร?

การแขวะ

การแซะ

หรือแม้แต่การพูดจาถากถาง ดูถูก หรือแม้แต่การถูกนินทา

จากเหล่าผู้คนมากหน้าหลายตาที่เราไม่แม้แต่จะรู้จักชื่อหรือเคยเห็นหน้า

พวกเขาเปรียบดั่งเป็นเพียง ‘สิ่งรบกวน’ ที่ผ่านมาและผ่านไป


การจราจร’ เปรียบเป็นวิถีชีวิตและความเป็นไปของผู้ใช้รถและผู้ใช้ถนน ผู้คนบางส่วนเลือกที่จะขายรถ (ตัวตน) เพื่อหันเหไปใช้สิ่งที่มันสร้างความสะดวกสบายใจให้กับตัวเอง บ้างก็เพื่อยกระดับฐานะทางสังคมเพื่อแสดงออกถึงจุดยืนบางอย่างในตัวเอง ตราบไปจนถึงเป็นเรื่องของ ‘รสนิยม’ ในสิ่งที่มันทั้งชวนน่าตั้งคำถาม แต่ในทางกลับกันก็ควรที่จะถอยห่างและออกมามองดูรอบกว้างของมันให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

เพื่อให้เข้าใจ ไม่ใช่ เพื่อให้เราเดินเข้าไปหามัน…

ในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต แน่นอนว่าคงไม่เคยมีใครที่จะไม่เคยถูกนินทา ในหลาย ๆ ครั้งคำพูดจากผู้คนรอบข้างมักจะเป็นสิ่งที่ ‘บั่นทอนจิตใจ’ ตัวเรา มากเสียกว่าตัวตนของเราเองที่ยังรู้สึก ‘ไม่เก่งมากพอ’ หากแต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ความเก่งกาจ นั้นไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนให้ความสนใจ หากแต่เป็นการมองเห็นคน ๆ นั้นถูกทำลายลงอย่างย่อยยับเพื่อตอบสนอง ‘ความสะใจเล็ก ๆ’ ในโลกที่ล่มสลายของพวกเขาไปต่างหาก

อาจเรียกได้ว่าคนที่พยายามเป็นบ่อนทำลายคนอื่น หรือแม้แต่การ พยายาม ที่จะมุ่งเป้าเพื่อทำร้ายมากกว่าที่จะทำความเข้าใจ หรือแม้แต่กับคนที่มีเจตนาในความหวังดี บางครั้งแล้วมันก็ยืนอยู่ในเส้นคาบเกี่ยวระหว่าง ‘หวังทำลายให้ย่อยยับ’ หรือ ‘เปิดโปงความโสมม’ ของคนเหล่านั้น

 

เหมือนอย่างที่ผมเคยบอก เหมือนอย่างที่ผมเคยพูดอยู่เสมอ และตลอดเวลาคำพูดที่ผมเคยพูดไว้ มันก็ย้อนกลับมาเพื่อย้ำเตือน ผลักดันของผมให้กลับมาตั้งหลักใหม่อีกครั้ง

หากแต่ไม่ใช่ ‘ทุกคน’ ที่จะทำแบบนั้นได้

แม้แต่กับคนที่เราเคยเชื่อว่าเป็น ‘ต้นแบบ’ ของเรา

ทุกคนต่างล้วนเป็น ‘มนุษย์’

และ ‘มนุษย์’ เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตสปีชีส์เดียวที่เข้าใจในเรื่องนี้

ครั้งหนึ่งผมเคยพยายามทำความเข้าใจมัน การพยายามมองหาเหตุผลลึก ๆ ของคนที่แสดงความอิจฉาต่อคนอื่น คนที่กำลังรู้สึกถึงการถูก คุกคาม แม้ว่าในความเป็นจริงพวกเขาจะไม่ได้ทำอะไรลงไปเลยก็ตาม ผู้คนในโลกของโซเชียลมีเดีย ล้วนใช้เวลาอย่างสูญเปล่าเพื่อที่จะสร้าง ‘เปลือกนอก’ ของตัวเอง ในขณะเดียวกันเอง เหล่ามนุษย์ผู้อาศัยอยู่ในโลกของความเป็นจริง พวกเขาต่างกำลังดิ้นรนอย่างเอาเป็นเอาตาย เพื่อที่จะหลุดจาก ‘เปลือกนอก’ ที่สังคมสร้างพวกเขาขึ้นมา แสดงออกถึง ‘เปลือกใน’ ที่แท้จริงของพวกเขาออกมา

และแน่นอนว่าผลจากการกระทำนั้น มันก็ทำให้ผมเรียนรู้ว่าคนเหล่านี้ล้วนไม่ต่างจาก วัชพืช  

คุณค่าของมันล้วนมีน้อยมากหรือแทบเป็นสิ่งที่ไร้ความจำเป็นในการเกษตรกรรม สิ่งที่เรียกว่า วัชพืช ส่วนใหญ่มักจะอยู่ในทั่วทุกหนแห่ง อย่างไรก็ตามเพื่อที่จะไม่ให้เป็นการสร้างความเข้าใจผิดเกี่ยวกับมัน สิ่งที่เรียกว่า ‘วัชพืช’ ในบางครั้งหากมันไปอยู่ในสถานที่และสภาพแวดล้อมอันเหมาะสม มันก็ล้วนสามารถเป็น ‘ประโยชน์’ ได้เสมอ และที่สำคัญหากว่าประโยชน์ของมันไม่เพียงแต่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของมนุษย์ได้อย่างเดียว แต่มันอาจกลายเป็นเหมือน ‘เศรษฐกิจชั้นดี’ ที่ช่วยทำให้พวกเราได้มีวัตถุดิบทำอาหาร ทำสิ่งใหม่ในอนาคตไปได้อีกนาน ๆ

อย่างไรเอง สิ่งอันไม่พึงประสงค์เหล่านี้มันเริ่มมีจำนวนเพิ่มพูนมากขึ้น น่าแปลกประหลาดที่ผู้คนในโลกอินเทอร์เน็ตยุคปัจจุบันกลับไม่ได้ให้ความสนใจในเรื่องของการ ให้เกียรติผู้อื่น และ ให้ความเคารพ ต่อตัวตนของผู้ที่พยายามขับเคลื่อนแนวคิดบางอย่างที่มันทำให้พวกเขาต้องหันหลังกลับมามอง ‘ระบบสังคม’ ที่กำลังดำเนินอยู่นี้ว่าเหตุอันใดพวกเขาถึงได้ปฏิเสธในการเข้ามาพูดคุยเพื่อประชันหน้าร่วมกัน แต่กลับเลือกที่จะใช้วิธีการ พูดจาลับหลัง ประหนึ่งว่าตัวพวกเขาหลงลืมไปแล้วว่าสิ่งที่ตัวพวกเขาได้พิมพ์ลงไป มันจะกลายเป็น ‘ลายเท้า (Footprint)’ ที่คงอยู่แบบนั้นไปตลอดกาล

ครั้งหนึ่ง พวกเราต่างเคยทำเรื่องผิดพลาด


ระดับของความผิดพลาด ขึ้นอยู่กับ ‘ความเสียหาย’ ที่ส่งผลกระทบต่อการคงอยู่ของสังคม

อย่างไรเอง จงรับรู้ไว้เสมอว่าในบางครั้ง ‘ความผิดพลาด’ ก็สามารถเกิดขึ้นได้กับคน ทุกเพศ ทุกวัย

มันไม่เคยเลือกปฏิบัติ

มันไม่เคยปราณี

และมัน… ไม่สนใจอะไรนอกจากทำให้คุณรู้สึกอับอาย

 

(Credit : Silence Girl)

ผมเคยทำเรื่องผิดพลาดมาก่อนหน้านั้น หลากหลายเรื่องราวมากมายที่ไม่เคยบอกให้ใครฟัง

ความผิดพลาด ส่งผลทำให้ผมจำเป็นต้องผลักดันตัวเองและพัฒนาเพื่อที่จะไม่ให้ตัวเองกลับไปจมอยู่กับมันอีกครั้ง แน่นอนว่าในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตของการเป็นเด็กวัยรุ่น ความผิดพลาดของผมคือความหุนหันพลันแล่นในตัวเอง และในหลายครั้งมันก็เปรียบเสมือนเป็น ‘ดาบสองคม’ เมื่อผมได้เรียนรู้ว่าตัวผมเองก็ไม่ต่างอะไรจาก ‘มนุษย์’ คนหนึ่ง ไม่ใช่ผู้วิเศษที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ด้วยตัวเอง และก็ไม่ใช่คน ๆ หนึ่งที่จะสามารถจมปลักอยู่กับความรู้สึกของการเป็น ‘ผู้อยู่เหนือกว่า’ ได้ตลอดเวลา

ในบางครั้ง เราต้องถอยออกจากพื้นที่แห่งนั้น การถอยหลังไม่ได้แปลว่ามันคือ การยอมแพ้ แต่มันเป็นการทำเพื่อให้ย้อนกลับมาเพื่อ ‘ตระหนักรู้’ ถึงจุดตั้งต้นของตัวเอง กลับมาเพื่อทบทวนอีกครั้งว่าในทุกการกระทำที่เราทำไป สิ่งเหล่านั้นมันทำให้เรา พึงพอใจกับผลลัพธ์ แล้วหรือยัง?

ทุกงานเขียนที่รังสรรค์ขึ้นมิได้มีเพื่อชื่อเสียง แต่มันเป็นการได้หันกลับมาเพื่อมองดูถึงเรื่องเล่าที่ตัวเองได้เรียงร้อยมันออกมา ผ่านกระบวนทางความคิด การสังเกต การหาความรู้ รวมไปถึง จินตนาการ และ ความคิดสร้างสรรค์

จริงอยู่ พวกมันอาจไม่สมบูรณ์ เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ในการเขียนงานทุกครั้ง มันจะมีจุดผิดพลาดให้เห็นอยู่ไม่มากก็น้อย สิ่งที่เรียกว่า “ความสมบูรณ์แบบ” ล้วนขึ้นอยู่กับ ‘นิยาม’ และ ‘มุมมอง’ ของแต่ละคน แม้ว่าต่อจะให้มี ทฤษฎีมากมายในการอธิบายเกี่ยวกับความสมบูรณ์แบบ ทว่าสิ่งเหล่านั้นมันกลับเป็นได้แค่เพียง ‘คำบอกเล่า’ เพราะมันไม่เคยมีอยู่จริงมาตั้งแต่แรก

หรือต่อให้มันมีอยู่จริง เราอาจคงต้องหาเรื่องมาถกกันอีกยาวนานโข…

ความโกรธเริ่มลดลง

ความใจเย็นค่อย ๆ ตามมา

ผมต้องการ...พื้นที่เพื่อทำให้ตัวเอง ‘สงบลง (Cool down)’

หรืออย่างน้อย ๆ นั่นก็เป็นสิ่งเดียวที่ดีที่สุดสำหรับตอนนี้เท่าที่ตัวเองทำได้

การเอาตัวเองเพื่อไปเกลือกกลั้วกับสิ่งที่รู้ว่ายังไงเราจะไม่มีวันเอาชนะ บางครั้งก็เป็นการกระทำที่เสียเวลาโดยเปล่า นอกเหนือไปจากนี้แล้ว มันเองยังส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตที่ทำให้ย่ำแย่ลงไปมากกว่าเดิม อย่างน้อยที่สุด เรื่องหนึ่งที่ผมได้ตกผลึกไปอีกครั้งระหว่างที่กำลังจะจบบล็อกนี้ลง ผมได้ตระหนักว่าตัวเองได้สูญเสียเวลาอันมีค่าไปจำนวนมหาศาลให้กับ ‘ความลังเลใจ’ มากเกินกว่าที่ผมไม่ควรสูญเสียมันไป

บางที… ไม่สิ ผมว่าคงอาจถึงเวลาเสียหน่อยที่ผมควรจะกลับไปย้อนมองดูตัวเองในช่วงเวลาอดีตเมื่อครั้งที่ตัวเองกำลังรู้สึกสนุกกับการได้เขียนงานชิ้นแรกของตัวเอง ช่วงเวลาของการได้กลับไปนึกถึง ‘ความบ้าบอ’ ต่าง ๆ ที่อย่างน้อยผมเองได้กลับไปเพื่อฟื้นฟูเปลวไฟในการทำงานอีกครั้ง


แม้นจะสูญสิ้นซึ่งทุกสิ่งอย่าง

หากแต่ตราบใดที่เรายังมี ‘เป้าหมาย’ ที่ต้องการทำให้สำเร็จ

ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ควรจะล้มเลิกมันกลางทาง

จริงไหม?


ช่วงเวลาหนึ่งของการทุ่มเทอย่างหนักหน่วงเพื่อทำบางสิ่งบางอย่างให้สำเร็จลุล่วง อาจใช้แรงกาย แรงใจ และนาฬิกาชีวิตที่มันเดินถอยหลักลงไปทุก ๆ วินาทีอย่างที่พวกเราไม่รู้ตัว

หากแต่กว่าที่มันจะหยุดเดินลง พร้อมกับ ‘ลมหายใจ’ ที่ถูกพลัดพรากออกไป

ผมจะยังอยู่ที่นี่

ผมจะวนเวียนเพื่อเฝ้ามอง ‘ความเป็นไป’ ของทุกสิ่ง

ไม่ว่าหนแห่งใดก็ตาม

เราจะได้เจอกันอีกครั้ง เมื่อวันที่ ‘สะพานแห่งชีวิต’ ของเราได้มาบรรจบกัน

:)

ความคิดเห็น