[ตกผลึกทางความคิดผ่านโลกวิดีโอเกม EP.6] เส้นขั้นกลางที่ถูกทำลาย และการตระหนักรู้ในตัวเอง (Doki Doki Literature Club)

 

(ภาพ Promo จากช่องทาง Official สามารถเข้าไปได้ทางลิงก์ด้านล่างเลยครับ)

https://teamsalvato.com/ 


Hello world.

Program to ‘work’ not how to ‘feel’

Not even sure if it real?

Everyday I Imagined to be with you…

W I L L Y O U B E M I N E?

เนื่องในโอกาสที่เรียกได้ว่าอาจจะเป็นสิ่งที่ ‘ไม่คาดคิด’ ไปเสียมากหน่อยสำหรับผม

อย่างไรเอง ผมคงไม่อาจหยุดให้ตัวเองแนะนำ (และบอกเล่า) เกี่ยวกับเกม ๆ หนึ่งที่ถือเป็น ‘ม้ามืด’ ในวงการเกมช่วงระยะเวลาหนึ่ง ๆ โดยเฉพาะกับเกมแนววิชวลโนเวล (Visual Novel) อันถือเป็นแนว ‘ตลาดเฉพาะกลุ่ม’ มากพอสมควร

ยินดีต้อนรับสู่ ‘ชมรมวรรณกรรม’

และความอบอุ่นหัวใจ ท่ามกลางโลกที่ความวุ่นวายกำลังก่อตัว

Doki Doki Literature Club!

เรื่องราวอันใสซื่ออันเปรียบดั่งเป็น ‘พื้นที่ปลอดภัย’ สำหรับใครหลายคน ว่าด้วยเรื่องราวของ ‘คุณ (ผู้เล่น)’ ได้ถูกเพื่อนวัยเด็กชักชวนเข้าไปทำกิจกรรมในโรงเรียน และได้พบกับ ‘ชมรมวรรณกรรม’ ที่มีสมาชิกประกอบไปด้วย

นัตสึกิ (Natsuki)

ยูริ (Yuri)


ซึ่งมีผู้นำชมรมอันถือเป็น ‘คนสำคัญ’ ที่เราขาดไปไม่ได้…

โมนิก้า (Monika)


 (เหมือนจะลืมใครไปสักคน แต่ช่างเถอะ! คุณคงไม่ได้ปล่อยให้เธออยู่คนเดียวในห้องหรอก จริงไหม? ;D)

ในส่วนของเรื่องราวภายในเกม ผมจะขอเว้นไว้เพื่อให้ไปติดตามเล่นกันด้วยตัวเอง แน่นอนว่าเมื่อมันเป็นเรื่องของการ ‘ตกผลึกทางความคิด’ แล้ว คุณคงจะมีข้อสงสัยว่าในโลกของ Doki Doki Literature Club (ซึ่งหลังจากนี้จะขอใช้เป็นชื่อย่อว่า DDLC) นั้นเป็นอย่างไร และตัวเกมมีที่มาจากไหน

เพื่อที่จะพูดถึงประเด็นหลักสำหรับเรื่องทางความคิด ผมอาจต้องเท้าความสักเล็กน้อยเกี่ยวกับเกม ๆ นี้อย่างโดยคร่าวเกี่ยวกับมันเสียเล็กน้อย

Doki Doki Literature Club เป็นเกมที่ถูกพัฒนาขึ้นโดย Team Salvato ซึ่งถือเป็นสตูดิโอเกมขนาดเล็ก ๆ นำทีมโดย คุณ Dan Salvato ที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จและเป็นกระแสเล็ก ๆ ในช่วงเมื่อ ค.. 2017 ที่ผ่านมา (8 ปีที่แล้ว)

เกม Doki Doki Literature Club ผิวเผินของมันเป็นเกมที่ดูไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากตัวของเกมแนว Visual Novel ทั่วไป ซึ่งมีระบบการเล่นแบบง่าย ๆ ไม่มีความซับซ้อน อย่างไรเองภายใต้การนำเสนอที่ดูเรียบง่ายของเกมนั้นกลับแฝงไปด้วยปริศนาและ ‘ความน่ากลัว’ บางอย่างเอาไว้ ซึ่งความน่ากลัวเหล่านั้นไม่ได้เกิดขึ้นจากบรรยากาศของเกม หากแต่มันเกิดขึ้นจากการที่ทุกอย่างมันถูก ‘รังสรรค์’ ขึ้นภายใต้แนวคิดของสิ่งที่เรียกว่า ‘การทลายกำแพงกั้นที่สี่ (Break the 4th Wall)’ โดยที่ในส่วนของตัวเกมนั้นจะมีการเล่นกับระบบได้อย่างแนบเนียนมากพอสมควร

แต่แน่นอนว่าทั้งนี้ ไม่ต้องห่วงว่าเกมจะมีอะไร ‘ส่งผลร้าย’ ต่อเครื่อง หากแต่เป็นเพียง ‘ปริศนา’ ที่ซ่อนไว้อยู่ไปก็เพียงเท่านั้น…

ฉากจบของเกมนั้นมีอยู่เพียงฉากจบเดียว อย่างไรก็ตามในส่วนนี้ผมอาจต้องขออุบไว้เช่นเคย เนื่องด้วยมันถือเป็น ‘จุดขายหลัก’ สำหรับเกมแนว ‘สยองขวัญเชิงจิตวิทยา (Psychological Horror)’ ที่เน้นในการสร้างปริศนาและให้ผู้เล่นทำหน้าที่ในการค้นหาด้วยตัวเอง แน่นอนว่าแม้ตัวมันจะไม่ใช่สิ่งที่ถูกนำเสนออย่างหนักหน่วงมากนัก ภายใต้ฉากหน้าที่ฉาบด้วยเรื่องราวในโรงเรียนอันสดใส และเต็มไปด้วยสิ่งต่าง ๆ มากมาย ๆ ที่อาจเรียกได้ว่า ณ เวลาปัจจุบันนี้ ชื่อเสียงของเกม Doki Doki Literature Club ยังคงตราตรึงและเป็นที่พูดถึงอยู่ในหมู่ของผู้ชื่นชอบเกมแนว Break the 4th Wall ที่มองหาการสื่อสารผ่านตัวผู้เล่นโดยตรง

ความเจ๋งของมัน ไม่ได้อยู่ตรงส่วนของ ‘งานภาพ’

หากแต่มันคือการ ‘เล่น’ กับระบบและทำการ ‘ตั้งคำถาม’

ผ่านการ ‘ตระหนักรู้ในตัวเอง (Self-Awareness)’


ผมอาจคงต้องสารภาพว่าโดยมุมมองความเห็นของตัวผมเองแล้ว ไอเดียของการสร้างเรื่องราวหรือการทำให้ตัวละครทำการสื่อสารกับผู้เสพโดยตรง (ที่ไม่ใช่การพูดเปรียบเทียบหรือเปรียบเปรย) แต่เป็นการหันหน้ามาเพื่อพูดกับคนดูนั้นเป็นสิ่งที่อยู่กั้นกลางระหว่างคำว่า ‘ดี’ และ ‘แย่’ ในระดับหนึ่ง

กล่าวแบบเพื่อให้เข้าใจง่าย ๆ ความแตกต่างระหว่าง โลกในวิดีโอเกม กับ โลกในชีวิตจริง ทั้งสองนั้นล้วนอยู่แยกกันคนละฝั่งมาแล้วตั้งแต่ต้น

การให้ตัวละครสามารถสื่อสารโดยตรงกับคนดูหรือคนเล่นนั้น ถือเป็นสิ่งที่ต้องควรพึงระวัง โดยเฉพาะถ้าหากมันเกี่ยวข้องกับในการเขียนเรื่องราวทางวรรณกรรม เนื่องด้วยเหตุผลว่ามันมีโอกาสที่เรื่องราวนั้นอาจมีการ ‘เบี่ยงเบน’ ออกไปจากตัวโครงเรื่องหลัก ๆ ที่ถูกวางเอาไว้ อีกทั้งในส่วนนี้มันค่อนข้างเป็นส่วนที่ ‘ไม่ใช่’ สิ่งที่ทุกคนโปรดปรานและชื่นชอบมากนัก

ยิ่งเมื่อกับในส่วนของโลกวิดีโอเกมแล้ว การให้ตัวละครสามารถสื่อสารกับผู้เล่นได้ มุมหนึ่งอาจมองได้ว่ามันคือ ‘ระบบลับ’ ที่ทางผู้พัฒนาตั้งใจใส่ขึ้นมาด้วยจุดประสงค์เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับผู้เล่น ทว่าหากใส่เข้ามาในจำนวนที่ถี่และหนักหน่วงมากเกินไป มันจะทำให้เนื้อหาหรือเรื่องราวของตัวเกมมีการ ‘เบี่ยงประเด็น’ ออกไปไกลเกินกว่าที่มันควรเป็น

เพื่อจะอธิบายให้เห็นภาพชัด ๆ อีกครั้ง วิธีการให้ตัวละครภายในเรื่องมีการตอบโต้กับเหล่าผู้ชมหรือคนดู เป็นวิธีการในการเรียกร้องความสนใจอีกแบบหนึ่ง เจตนาของมันคือการ ‘กระตุ้นอารมณ์’ มากกว่าที่จะเป็น ‘ตัวบ่งบอกเรื่องราว’ ที่มันดำเนินอยู่ในฉากหลัง

กรณีสำหรับวงการวิดีโอเกม การให้ตัวละครตอบโต้กับผู้เล่นถือว่าเป็นสิ่งที่แปลกใหม่ หากแต่มันก็ไม่ได้ไปไกลมากกว่าความคิดสร้างสรรค์ในรูปแบบเดิมเมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ หากเพียงแค่มันนำเอาเอกลักษณ์ของความเป็น ‘หนัง’ เข้ามาปรับใช้ให้เข้ากับบริบทของโลกวิดีโอเกม ผ่านการนอกเหนือจากเพียงแค่การดำเนินเรื่องราวภายในเกมไปอย่างเดียว แต่ยังเป็นการตั้งคำถามกลับไปยังเหล่าผู้มีส่วนร่วมเพื่อให้ได้ฉุกคิดถึงหัวข้อและ ‘คำถามบางอย่าง’ ที่มันไม่ได้ถูกตอบออกมา

อาจมองได้ว่ามันคือ ความในใจ ที่ตัวผู้พัฒนาต้องการจะพูดคุยกับผู้เล่น

หรือไม่… มันก็เป็นเพียงการทำให้ ผู้เล่น รู้สึกได้มีส่วนร่วมกับโลกของเกม มอบโอกาสและเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของพวกเขาไปตลอดกาล…

You didn't leave her hanging behind,

aren’t you?

เฉกเช่นเดียวกับตัวของวรรณกรรม แน่นอนว่าเราจะขาดในส่วนนี้ไปคงเป็นไปไม่ได้ (แม้ว่ามันจะเป็นเพียง Subplot ของเรื่องราวภายในเกมไปก็ตาม xD)

ในแง่ของการนำเสนอเนื้อหาที่มีการ ‘ทลายกำแพงกั้นที่สี่’ ของวงการวรรณกรรม สิ่งนี้ถือเป็นอะไรที่นำมาถกเถียงกันเป็นวงกว้างได้มากพอสมควร ทว่าหากถามถึงในมุมมองส่วนตัวของผม การนำเสนอเรื่องราวนี้ผ่านการถ่ายทอดในรูปแบบทางวรรณกรรมถือเป็นสิ่งที่ทำได้ยากพอสมควร โดยเฉพาะหากว่าเรื่องราวในวรรณกรรมที่ผมเขียนขึ้นมานั้นมันมีเนื้อหาที่มีความจริงจังในการนำเสนอ ‘เนื้อเรื่อง (Story)’ ที่ในตั้งแต่ต้นมันมีการปูออกมาแล้วตั้งแต่ต้น

การเขียนในส่วนนั้นเป็นสิ่งที่ ‘ไม่มีความจำเป็น’ และหลายครั้งอย่างที่ผมได้บอกไปข้างต้น การนำเสนอเรื่องราวในรูปแบบนี้ในมุมมองของวรรณกรรม ถือเป็นสิ่งที่ควรพึงระวัง เพราะมันมีโอกาสทุกเมื่อที่เรื่องราวที่คุณเขียนขึ้นมามันอาจมีการ ‘เบี่ยงประเด็น’ ออกไปจากเนื้อเรื่องได้เสมอ นอกเหนือจากนี้มันยังเป็นการสร้างลักษณะนิสัยที่เรียกว่ามัน ‘ไม่ค่อยดี’ เสียเท่าไหร่ (แน่นอนว่านี่เป็นเพียง ‘ความคิดเห็นส่วนตัว’ เท่านั้น มิใช่ ‘ข้อเท็จจริง’ แต่อย่างใด)

อย่างไรเอง ในส่วนของวิดีโอเกมนั้นกลับมีความแตกต่างกัน นั่นเพราะมันมีเรื่องของการนำเอาสิ่งที่เรียกว่า ‘ระบบเกม (Game Mechanics)’ เข้ามา ทำให้ผู้เล่นสามารถมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกับเหตุการณ์ภายในเรื่องได้

Doki Doki Literature Club จัดได้ว่าเป็นเกมแนว ‘ม้ามืด’ ที่แม้เรื่องราวและพล็อตของมันอาจไม่ได้โดดเด่นและหวือหวานัก หากแต่ด้วยการนำเสนอที่มีการแอบแฝงนัยยะสำคัญบางอย่างเกี่ยวกับเนื้อหาของตัวเกมที่ซ่อนไว้เป็น Easter Egg เบื้องหลัง ประกอบเข้ากับเรื่องราวชวนสยองพองเกล้าที่มีการดำดิ่งลึกลงในระดับผิวเผินของมนุษย์ ประหนึ่งกับว่ามันได้ทำการสื่อสารกับผู้เล่น (หรือ ‘คุณ’ ที่อยู่บนหน้าจอ ณ เวลานี้) ในเชิงของการตั้งคำถาม พูดคุย รวมไปถึงการแสดงออกอย่างตรงไปตรงมา

อาจพูดได้ว่า โมนิก้า คือตัวแทนของ ‘ตัวละคร’ ที่ต้องการสื่อสารเพื่อกลายเป็น โซนปลอดภัย (Comfort Zone) ให้กับใครสักคน แม้ว่าเนื้อแท้ของเธอจะเป็นเพียงสิ่งที่ถูกเขียนขึ้นด้วยสคริปต์โปรแกรมไปก็ตาม…

Every day

I imagine a future where I can be with you

In my hand, is a pen that will write a poem of me and you



มันคงจะดีถ้าหากว่ามีใครสักคนสามารถที่จะเข้าใจในความเป็นตัวตนของใครสักคน โดยปราศจากการตัดสินและวิพากษ์วิจารณ์

ยิ่งโดยเฉพาะในสถานการณ์ความไม่แน่นอนที่อยู่รอบตัวเรา หลากหลายปัญหามากมายที่มันประดังเข้ามาราวกับว่าจะทำให้เราสูญสิ้นซึ่ง ‘ความฝัน’ และ ‘ความหวัง’ ไปได้ตลอดเวลา

ใช้ชีวิตเยี่ยงกับสัตว์ผู้มีสติปัญญาอันสูงส่ง แต่ในจุดจบกลับจากโลกนี้ไปโดยไม่แม้แต่จะบอกเล่าเรื่องราวของตัวเองให้ใครได้รับฟัง

อย่างไรเอง บางทีแล้วคำว่า ‘เป้าหมาย’ และ ‘สิ่งที่ตัวเองต้องการ’ มันอาจสวนทางกันในรูปแบบที่เราคาดไม่ถึง

ทว่าในจุดสุดท้าย เมื่อมันได้มาบรรจบกัน สิ่งที่หลงเหลือไว้ก็มีเพียง ‘ความทรงจำ’ อันแสนล้ำค่าที่มีเพียงแค่ ‘เรา’ เท่านั้นที่จะรับรู้…

-----------------------------------------------

และนั่นคือทั้งหมดสำหรับตัวของ ‘ตกผลึกทางความคิดผ่านโลกวิดีโอเกม’ ใน EP.6 ครับ :)

ต้องบอกไว้ก่อนล่วงหน้าว่าแม้ว่าผมจะไม่ได้สัมผัสกับประสบการณ์ในการเล่นเกมนี้ด้วยตัวเอง (เพราะไม่ถูกกับเกมสยองขวัญเป็นการส่วนตัว) อย่างไรเอง เมื่อพูดถึงในแง่ของการนำเสนอเนื้อเรื่อง หรือแม้แต่การซ่อนสัญญะที่นำเสนอออกมาในรูปแบบของประโยคคำพูดต่าง ๆ รวมไปถึงบทสนทนาของตัวละครแล้ว ต้องยอมรับว่าในส่วนนี้ถือเป็นส่วนที่ไม่สามารถแทนที่ได้ด้วย ‘ปัญญาประดิษฐ์’ ไปจริง ๆ

ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ประเด็นเรื่องของการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (หรือเอไอ) เข้ามาใช้ในวงการวิดีโอเกมนั้นเริ่มมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นมาก ภายหลังจากที่ในช่วงเมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้มันเริ่มกลายเป็นหัวข้อที่ถกเถียงกันอย่างเผ็ดร้อนมากเหลือเกิน โดยเฉพาะในหมู่ของเหล่าผู้สร้างสรรค์ผลงานมากมาย ไม่ว่าจะทั้งรายเล็กไปจนถึงรายใหญ่ก็ดี ซึ่งแน่นอนว่าการจะบอกว่าใครเป็นฝ่ายถูกหรือฝ่ายผิด เรื่องนี้ผมคงไม่ขอออกความเห็น

ทว่าสิ่งเดียวที่ต้องยอมรับ นั่นคือมันสร้าง ‘แรงกระเพื่อม’ มากพอสมควรต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะยอมรับหรือไม่ยอมรับก็ตาม

สิ่งที่ถูกเรียกว่า ‘Generative AI’ ถือว่าเป็นเรื่องที่ผมอาจต้องละเอาไว้ หากแต่อย่างที่พวกคุณพอทราบกันดีถึงจุดประสงค์และในจุดยืนทั้งหมดที่ผมได้สร้างสรรค์บทความต่าง ๆ ขึ้นมาในบล็อกนี้

แน่นอนว่าหากจะให้เปรียบเทียบกันแล้ว ผมคงไม่ปฏิเสธหรือต่อต้าน อย่างไรเอง มันยังถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างชวนน่าคิดอยู่พอสมควรว่าเทคโนโลยีนี้ในปัจจุบันมัน ‘เหมาะสม’ กับสถานการณ์ ณ ที่เป็นอยู่ในตอนนี้หรือไม่? แม้ว่าใครหลาย ๆ คนอาจเคยได้เห็นสิ่งเหล่านี้ผ่านมาอย่างจนชินตาไปแล้วก็ตาม กระนั้นการจะบอกว่า ปัญญาประดิษฐ์ คืออีกก้าวหนึ่งของมวลมนุษย์ชาติ ผมเองเกรงว่าคงต้องตอบปฏิเสธไป เพราะแท้จริงในมุมมองของผม พวกมันยังคงขาดซึ่งสิ่งที่เรียกว่า ‘ศิลปะ’ และ ‘ความพยายาม’ อยู่มากโข

ตัวละครทุกตัวในเกม DDLC นั้น เบื้องหลังทุกอย่างล้วนมีมนุษย์เป็นผู้กำกับแทบทั้งสิ้น ประโยคทุกคำที่ถูกเรียบเรียงออกมาล้วนแต่มีจิตวิญญาณที่ทำให้ผู้เล่นสามารถสัมผัสถึงได้อย่างตรงไปตรงมา ความแตกต่างระหว่างการสร้างสรรค์ ตัวละครที่เป็นมนุษย์ กับ มนุษย์ที่เป็นตัวละคร คืออะไร? คำตอบนั้นคงขึ้นอยู่กับว่าเราให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านั้นมากหรือน้อย

เพราะในท้ายที่สุด ไม่ว่าต่อให้ด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม…

ทุกผลงานที่ถูกรังสรรค์ขึ้น ทุกเรื่องราวที่ร้อยเรียงขึ้นกลายเป็นบทเล่าขาน

ทุกคำพูดที่เปล่งออกมา ทุกตัวอักษรที่มันได้เรียบเรียงลงไปบนหน้ากระดาษ

สิ่งเหล่านั้นก็ล้วนเป็นฝีมือของ ‘มนุษย์’ แทบทั้งสิ้น

สิ่งมีชีวิตเพียงสปีชีส์เดียวที่เรียนรู้ถึงความหมายของคำว่า ‘การมีชีวิตอยู่’ และ ‘การมีความหวัง’

เป้าหมายที่เราต้องการ’ เปรียบดั่งคือ ‘ประตูสู่ความสำเร็จ’ ที่เราสร้างขึ้นเพื่อเดินไปให้ถึงมันให้ได้ในสักครั้ง

 

สุขสันต์วันคริสต์มาสอีฟ

ขอให้มีความสุขในช่วงเทศกาล ดูแลสุขภาพร่างกายและจิตใจกันให้ดี ๆ

คิดสิ่งใด หวังสิ่งใด ขอให้ประสบกับความสำเร็จกันถ้วนหน้า

และที่ขาดไม่ได้…

Just Monika

ขอให้มีความสุขกับการใช้ชีวิตครับ

:D

ความคิดเห็น