สงครามแห่งความเกลียดชัง และการตระหนักรู้ถึง ‘ความเป็นมนุษย์’ (War of Hatred & Humanity Restore)
สงครามแห่งความเกลียดชัง และการตระหนักรู้ถึง ‘ความเป็นมนุษย์’
(War of Hatred & Humanity Restore)
Do you feel like a hero yet?
“สงคราม” หนึ่งในการกระทำของสิ่งมีชีวิตที่จุดมุ่งหมายของมันมีไว้เพื่อให้ได้กลายเป็น ‘ผู้นำ’ ของทุกสิ่ง
ประวัติศาสตร์ของสงครามมีมาตั้งแต่ช้านาน และแน่นอนว่าหากจะให้พูดถึงกันจริง ๆ แล้ว ชีวิตของพวกเราต่างล้วนเป็นส่วนหนึ่งของสงคราม ไม่ว่าจะทั้งในทางตรง และทางอ้อมอยู่เสมอ
สงครามไม่เพียงแต่นำมาซึ่งความสูญเสีย แต่ยังพ่วงมาด้วยความเปลี่ยนแปลงที่เราอาจจะไม่ได้สังเกตกัน ทุกอณูและรูขุมขนของโลกทั้งใบล้วนมีสิ่งเหล่านี้วนเวียนอยู่เต็มทั่วไปหมด หากแต่อย่างไรเอง รูปแบบของการทำสงครามนั้นขึ้นอยู่กับวิธีการรวมไปถึงการแสดงออกในเชิงสัญลักษณ์ หรือแม้แต่ในเชิงของการก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ในสังคม
แม้ในตลอดทั้งชีวิต (จนถึงปัจจุบัน) ของผม อาจไม่ได้มีโอกาสในการสัมผัสกับสิ่งเหล่านั้นกับตัวเอง หากแต่จากในมุมมองของการตกผลึกความรู้ผ่านทั้งการอ่าน การเขียน หรือแม้แต่สื่อบันเทิงที่นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับ ‘สงคราม’ ในหลายแง่มุม มันทำให้ผมรู้ว่าการที่คน ๆ หนึ่งจะสามารถใช้ชีวิตผ่านช่วงเวลาของความยากลำบากอันแร้นแค้นนั้นได้ ไม่เพียงแต่ต้องมีความกล้าหาญ หากแต่ยังต้องมีความอดทนอดกลั้นมากพอ รวมไปถึงการทำความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ พร้อมกับปรับเปลี่ยนเพื่อให้เข้ากับ ‘สภาวะในสงคราม’ นั้น โดยที่พวกเขาจะไม่สติแตกหรือหากโชคร้ายสุด นั่นคือพวกเขากลายเป็นหนึ่งใน ‘ผู้ประสบภัย’ ที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น
Not all the war people can be a ‘fighter’
instead, we were just ‘unlucky’
หนึ่งในเรื่องนึงที่ผมอยากเพื่อให้เข้าใจตรงกัน ต้นกำเนิดของการเกิดสิ่งที่เรียกว่า ‘สงคราม’ โดยมากมักมาจากตัวของผู้นำที่ถือครองอำนาจและการ อ้าง สิทธิอย่างชอบธรรมในการที่พวกเขาต้องการกระทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อเหตุผลส่วนตัวของตัวเอง (และโดยมากมักหนีไม่พ้น ‘ผลประโยชน์’ อันเป็นที่ตั้ง)
อย่างไรก็ดี รูปแบบของสงครามในช่วงแรก ๆ ถือเป็นการต่อสู้เพื่อการแย่งชิง ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องของการเอาชีวิตรอดและความพยายามในการที่ผู้คนนั้นต้องการที่จะประกาศถึง ‘ความเป็นเจ้าของ’ ในพื้นที่ของพวกเขาเอง
ไม่ว่าจะเป็นการยึดคืนมาก็ดี หรือตราบไปจนถึงการใช้กำลังก็ดี หากแต่ถึงอย่างไรในช่วงท้ายที่สุด ทุกการกระทำนั้นล้วนต่างมีผลกระทบที่ตามมาเสมอ และในกรณีนี้ผมไม่ได้หมายถึงการที่มันจะส่งผลต่อ ‘ภาพลักษณ์’ ของตัวผู้ก่อสงครามเพียงคนเดียว แต่อาจเป็นสายตาต่อประชาชาติที่ผลพวงของมันอาจลุกลามบานปลายใหญ่โตไปถึงการมี ‘คู่ขัดแย้ง’ ในเชิงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ตราบไปจนถึงการประสบกับปัญหาที่อาจนำไปสู่ ‘สงคราม’ อีกครั้งหนึ่ง
แน่นอนว่าผมอาจจะพูดมันได้ไม่หมดนัก หากแต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ความขัดแย้งที่นำมาสู่ ‘สงคราม’ ไม่เคยส่งผลดี ผลเสียของมันมีมากกว่าที่เราหลายคนจินตนาการกันไว้ และโดยมากสิ่งที่มันน่ากลัวกว่าคือการที่ผู้คนเริ่มทำให้ ‘ความรุนแรง’ กลายเป็นเรื่องปกติในสังคมแทน
นั่น...ไม่ควรที่จะเกิดขึ้น
The last moments before sh*t happens
นอกเหนือไปจากเรื่องสงคราม อีกหนึ่งเรื่องที่ผมจะไม่พูดถึงเลยคงไม่ได้นั่นคือเรื่องของ ‘ความเกลียดชัง (Hatred)’
ความเกลียดชัง คือสิ่งที่สามารถส่งผ่านต่อกันได้ เฉกเช่นเดียวกับความรุนแรงที่มันเองก็ทำหน้าที่ไม่แตกต่างอะไรไปจากเชื้อเพลิงในการสุมไฟทำให้ผู้คนเกิดอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ ที่มีต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เหมือนอย่างเช่นที่ผมเคยเขียนพูดถึงไปในเรื่องนี้ แน่นอนว่าในความเห็นของผมเกี่ยวกับเรื่องของ ‘ความเกลียดชัง’ นั่นเป็นสิ่งที่หาเสพได้ง่ายมากพอ ๆ กับ ‘ความสุขทางกาย’ ที่เกิดจากการได้รับในสิ่งที่ร่างกายต้องการ ความปรารถนาเบื้องลึกในจิตใจของมนุษย์อาจเป็นได้ทั้ง ‘แสงสว่าง’ และ ‘ความมืด’ และในคราวเดียวกัน มันก็ทำหน้าที่ประหนึ่งกับเป็นกิเลสในใจของเราที่ หลอกล่อ และ ชักชวน ให้เราได้หลงระเริงไปกับมันอย่างไม่จบสิ้น
เราต่างกลายเป็นผู้ที่ขาดสติสัมปชัญญะไปในทันที
เมื่อวันที่เราได้รับรู้ถึง ‘การรุกราน’ อันไม่ชอบธรรมของพวกทรราช
เราต่างกลายเป็นผู้มีอคติไปในทันที
เมื่อวันที่เราได้เรียนรู้ถึง ‘ธาตุแท้’ ที่ซุกไว้อยู่ใต้พรมของความเป็น ‘ประชาธิปไตย’ ครึ่งใบ
ทั้งหมดนี่แค่เริ่มต้น
ขออนุญาตอัพเดทชีวิตสักเล็กน้อย สำหรับในช่วงระหว่างที่โพสต์บล็อกนี้กำลังดำเนินไปอยู่
ช่วงเวลาของเดือนกันยายนที่สัปดาห์แรกของเดือนกันยายนกำลังจะผ่านพ้นไป มันคือช่วงเวลาของการที่ผมได้กลับไปในการเยี่ยมเยือน (หรือในที่นี่คือ ‘วิดีโอเกม’) กับสิ่งบันเทิงในช่วงสมัยเก่า ๆ ที่แม้ว่ามันจะมีอายุอานามไปเกือบเป็นสิบปีแล้วก็ตาม หากแต่สิ่งหนึ่งที่มันกลับทำให้ผมกลับย้อนมานึกคิดถึงเกี่ยวกับมัน ประกอบเข้ากับการหันมามอง ณ สมัยปัจจุบันที่มันเป็นอยู่ ผมได้เริ่มจะ ‘ตกผลึก’ ทางความคิดบางอย่างที่ว่าด้วยเรื่องราวของสงคราม
ใช่ อาจไม่ได้ถูกต้องไป 100% ทว่าสิ่งที่มันทำให้ผมรู้สึกแอบย้อนนึกคิด + จินตนาการเรื่องราวภายหลังจากที่เกม ๆ นั้นได้จบไป แน่นอนว่ามันก็ทำให้มุมมองที่ผมมีต่อมันเปลี่ยนแปลงไปในทันที
และใช่ ผมกำลังพูดถึง Call of Duty : Modern Warfare 3
Sleep well.
อย่างที่พวกคุณพอทราบกันดี โดยเฉพาะสำหรับใครก็ตามที่เติบโตมาในช่วงปี ค.ศ. 2000 ขึ้นไป หนึ่งในวิดีโอเกมแนวแอคชั่น – สงคราม ที่ผมชอบมากเป็นอันดับต้น ๆ และอาจถือได้ว่ามันคือหนึ่งในเกมประจำปีที่ไม่ว่าจะออกภาคใหม่มาในทุกปี ก็มักจะหนีไม่พ้นเหตุการณ์และข้อวิจารณ์มากมาย จนอาจเรียกได้ว่าแทบจะกลายเป็นสิ่งที่ทำให้ตัวของมันเริ่มสลาย ‘ความเป็นตัวเอง’ ออกไป และนำเอาความเป็น ‘กระแสนิยม’ เข้ามาแทน
Call of Duty Modern Warfare ถือเป็นหนึ่งในไตรภาคแห่งยุคที่ชาวคอเกมแนวสงครามต่างคุ้นเคยกันอย่างดี โดยเฉพาะในแง่ของการที่มันนำเสนอธีมว่าด้วยการทำ ‘สงครามยุคใหม่ (Modern War)’ โดยใช้ฉากหลังเป็นการพูดถึงเรื่องราวของผู้ก่อการร้าย หน่วยรบพิเศษ และหน่วยทหารกล้าเป็นจำนวนมากมาย มุ่งเน้นการนำเสนอเรื่องราวของการได้เป็น ‘ส่วนหนึ่ง’ ของสงครามที่ให้เรารับบทบาทเป็น ‘ฮีโร่’ ที่ช่วยชี้ชะตากรรมของเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในเกม
แน่นอนว่าในแง่ของเกมเพลย์หรือเนื้อเรื่อง หากถามถึงความสมจริงนั้นอาจเรียกได้ว่ามันดูห่างไกล เกินไปจากความเป็นจริงไปมากโข อย่างไรก็ดี การที่ผมได้กลับไปเล่นเกมนั้นอีกครั้ง ความรู้สึกที่ผมมีต่อมันกลับเปลี่ยนแปลงไปในแง่ของการตั้งคำถามเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น สงสัย และมากมายไปด้วยสิ่งที่ยังไม่ได้รับการค้นหาคำตอบ
มีหลายรายละเอียดมากมายที่เกมไม่ได้พูดถึง อย่างไรเอง ผมขอวกกลับมาในเรื่องของหัวข้อและประเด็นเรื่องราวชวนขบคิดไปอีกครั้ง
อย่างที่ผมได้บอกไว้ตั้งแต่ช่วงข้างต้น ใจความหลักของ สงคราม และ ความเกลียดชัง คือการที่มันนำพามาซึ่งหายนะที่ไม่มีใครต่างคาดคิดมาอยู่เสมอ อาจฟังดูน่าเบื่อเสียไปหน่อย หากแต่มันก็มีความจำเป็นในการที่เราจะตระหนักรู้ และเป็นเรื่องที่ควรพึงระวังไว้เสมอ โดยเฉพาะหากว่าคุณเป็นหนึ่งใน ‘นักท่องเที่ยวโลกอินเตอร์’ ในยุคที่คลังมหาสมุทรของข้อมูลนั้นมีจำนวนอยู่มากมายนานับคณา
คุณอาจไม่มีทางรู้ได้เลยว่าสิ่งที่เห็นนั้นเป็นเรื่องจริง หรือเป็นเพียงแต่งเติมขึ้นมา
บางครั้งนั้น คุณอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณได้เป็นส่วนหนึ่งของ ‘ความเกลียดชัง’ โดยไม่รู้ตัว
ความสิ้นหวังที่กัดกินโลกทั้งใบ อย่างไรเอง นั่นไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างมันจะ ‘สูญสลาย’ หรือถึงจุดกาลอวสานไปทั้งหมด
ท่ามกลางความเลวร้ายทั้งหมด มันยังคงมีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นอยู่เสมอ หากเพียงแต่การที่เราจะเอาใจใส่เรื่องเหล่านั้นได้ อย่างแรกที่มันจำเป็นมากที่สุดคือการหันกลับมามองถึง ‘ความต้องการของตัวเอง’ ก่อนเป็นที่ตั้งสำคัญ
ผมมักจะย้ำถึงเรื่องของ ‘การมีจุดยืน’ ในตัวเองอยู่เสมอ และคำว่า ‘จุดยืน’ ในที่นี้ไม่ได้แปลว่ามันหมายถึงการยึดติดอยู่ในอดีต หากแต่มันคือการนึกหันกลับไปมองช่วงเวลาเก่า ๆ ทั้งหมดที่คุณเคยมีร่วมกัน โดยสิ่งเหล่านั้นอาจไม่ได้หมายถึงเหล่าผู้คนที่คุณเคยพบเจอ หากแต่อาจเป็นเสี้ยวเล็ก ๆ ของสื่อบันเทิงในช่วงเวลาก่อนที่ความวุ่นวายจะปกคลุมไป และทำให้ผู้คนตกอยู่ภายใต้สิ่งที่เรียกว่า Doomscrolling (อาการไถหน้าจอเสพข่าวร้าย)
หากจะให้สันนิษฐานของปรากฏการณ์เกี่ยวกับสิ่งนี้ เกรงว่ามันคงอาจยาวเกินไป ประกอบเข้ากับการที่ผมอาจมีความจำเป็นต้องลงลึกในการศึกษาข้อมูลเรื่องนี้ให้ลึกซึ้งอยู่สักระยะหนึ่ง ก่อนที่ผมเองจะนำมาเป็น ‘ส่วนหนึ่ง’ ในการพูดถึงมันในหัวข้อการสนทนาครั้งถัดไป
หากแต่ก่อนจะถึงช่วงเวลานั้น…
ขอบคุณที่อ่านจนจบ
ขอให้สนุกกับการใช้ชีวิตครับ
:D
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น