ว่าด้วยเรื่องของ ‘ซึมเศร้า’ และ ‘ปรัชญา’ & คำคมคายที่แสนกลวงเปล่า (Depression in a nutshell)


You look ‘sussy’ to me.

หัวข้อสำหรับเรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องที่ ‘ละเอียดอ่อน’ ไปเสียสักหน่อย เนื่องจากว่ามันเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรียกว่าอยู่กับโลกของเรามาในระยะเวลาหนึ่งพอสมควร

และก็ดูจะเป็นสิ่งที่ ‘ใกล้ตัว’ ต่อใครหลาย ๆ คน (แม้แต่กระทั่งกับผมเองเช่นเดียวกัน)

เพื่อที่จะให้เข้าใจกันตรงกัน ผมไม่ได้มีเจตนาใด ๆ ก็ตามในการด้อยค่า ดูถูก ดูแคลน หรือแม้แต่กระทั่งการลดทอนคุณค่าของใครก็ตามที่กำลังประสบพบเจอกับสภาวะเช่นนี้ กลับกัน ผมยิ่งเข้าใจได้เป็นอย่างดีว่ามันเป็นเรื่องที่ยากลำบากสำหรับการผ่านพ้นเรื่องราวอันหนักอึ้งไปในแต่ละวัน

อย่างไรก็ตาม… แม้ผู้คนในปัจจุบันจะมีความตระหนักอยู่อย่างมากเกี่ยวกับ ‘สุขภาพจิต’ ในจำนวนที่มากขึ้น หากแต่การด่วนสรุปตัวเองโดยปราศจากซึ่งคำวินิจฉัยจากผู้เชี่ยวชาญ ย่อมอาจนำพามาซึ่ง ‘ปัญหา’ ที่อาจนำพาความยากลำบากในชีวิตมามากกว่าเดิม

 

IT’S ALL START WITH SOMETHING IN MY WORKPLACE

ห ากจะให้กล่าวถึงสาเหตุถึงที่มาว่าทำไมผมถึงเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา พวกคุณคงอาจมีคำถามอยู่ในหัวเป็นจำนวนมากเกี่ยวกับเรื่องนี้

ยิ่งโดยไม่ต้องพูดถึงสถานการณ์ที่ผ่าน ๆ มาในช่วงสองถึงสามปีที่ผ่านมา แน่นอนว่าหากจะให้ย้อนกลับไปยัง ณ ช่วงนั้นก็คงเป็นช่วงหนึ่งที่ผมเองประสบกับปัญหาเรื่องนี้อยู่ในระดับที่อาจเรียกได้ว่าการลุกขึ้นมาใช้ชีวิตในแต่ละวันค่อนข้างเป็นอะไรที่อาศัย ‘แรงใจ’ มากพอสมควร อย่างไรก็ตามในมุมหนึ่งสำหรับเรื่องของความเจ็บป่วยทางจิตใจนั้น ย่อมต้องใช้เวลาและต้องอาศัยในเรื่องของการพยายามทำความเข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้นภายในหัวของตัวเอง ควบคู่ไปพร้อมกับวิธีการที่เรียกว่า ‘การบำบัดทางความคิดและพฤติกรรม (Cognitive Behavioral Therapy)

โดยที่จะขออนุญาตข้ามในส่วนของเนื้อหาเชิงเทคนิคเบื้องลึกที่เกี่ยวข้องกับทางจิตวิทยาไป อาจเรียกโดยรวม ๆ ว่ามันคือการทำ ‘จิตบำบัด’ ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับเรื่องของการปรับเปลี่ยนความคิดให้ตรงกับ ‘ความเป็นจริง’ ที่มันเกิดขึ้น ความคิดในเชิงรูปแบบอื่น หรืออาจเป็นการพาตัวเองหลุดออกจากวังวนความคิดซ้ำซากที่มันเสมือนฉุดเราให้จมลงสู่ห้วงความคิดแง่ลบของเราไปอย่างที่ไม่สามารถกลับขึ้นมาได้

แน่นอนว่าสำหรับผู้ที่มีอาการทางจิตเวช วิธีการเช่นนี้อาจไม่ใช่วิธีการที่ช่วยให้หายขาดได้ 100%

ผมอาจไม่ใช่ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญอะไรในด้านเรื่องนี้ ทว่าสิ่งหนึ่งที่ผมพอสามารถพูดได้เกี่ยวกับสิ่งนี้คือ ผลพวงจากการที่ผมใช้ระยะเวลากว่าช้านาน นับตั้งแต่การใช้ยาก็ดี มาจนถึงช่วงที่ผมเริ่มใช้สิ่งที่เรียกว่า ‘การบำบัดจิตด้วยตัวเอง’ โดยไม่พึ่งพายา แน่นอนว่ามุมหนึ่งหากให้สารภาพตามตรงแล้ว การที่ผู้ป่วยคนหนึ่งเลือกที่จะ ‘เลิกยาด้วยตัวเอง’ ไม่ใช่หนทางที่ดี (และมันก็ไม่ควรจะทำตาม ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด ๆ ก็ตาม)

Don’t try
I’m not here
Don’t try
I’m not living
Don’t try
I’m just waiting around 

 


ความเจ็บป่วยทางจิตใจ คือสิ่งที่ต้องใช้ระยะเวลาสำหรับการเยียวยาและการรักษาอยู่ตลอดเวลา

มีความเป็นไปได้ที่มันอาจสามารถกลับมาเป็นซ้ำได้ หรือไม่ก็อย่างโชคดีที่สุดมันก็หายไปเอง อย่างไรทั้งนี้ความแตกต่างในด้านของวิธีการเยียวยานั้นแตกต่างกันไปตามแต่ละคน หากแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแล้ว วิธีการรักษาให้หายได้นั้นไม่อาจมีวิธีการที่ตายตัว ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของแต่ละคน ประกอบเข้ากับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตโดยให้สอดคล้องกับการกำหนด ‘เป้าหมายในชีวิต’ ในแบบที่ตัวเองต้องการจะเป็น

 

They were right all along.

อย่างไรเองก็ตาม การแปะป้ายเพื่อตัดสินตัวเองโดยปราศจากซึ่งคำวินิจฉัยทางการแพทย์แบบจริงจัง แน่นอนว่าเรื่องนี้ถือว่าค่อนข้างส่งผลที่ร้ายแรงพอ ๆ กับการพยายามนำคำถามเกี่ยวกับความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกายถามกับ ‘ปัญญาประดิษฐ์’ โดยขาดซึ่งการค้นหาข้อมูลหรือสำรวจตัวเองอย่างถี่ถ้วน

ในแง่ของความเจ็บปวดทางด้านร่างกายและจิตใจ ล้วนเป็นสิ่งที่ขึ้นอยู่กับปัจเจกเป็นบุคคลไป อัตราในการหายขาดได้จากอาการเจ็บป่วยทางจิตใจนั้นมีจำนวนที่ไม่แน่นอนนัก เว้นแต่สำหรับจำนวนของผู้ป่วยทางจิตที่มันเริ่มเพิ่มตัวสูงขึ้นทุกวัน อันมีจุดกำเนิดมาจากสภาพสังคมที่มันเกิดขึ้น ณ ช่วงเวลาในตอนนี้

ณ ช่วงเวลาวันที่ 10 กันยายน ปี ค..2025 ที่ผ่านมาถือเป็นช่วงวันที่สำคัญอีกหนึ่งวัน ซึ่งมันถูกเรียกว่า World Suicide Prevention หรือแปลเป็นไทยคือ วันป้องกันการฆ่าตัวตาย ซึ่งถือกำเนิดเกิดขึ้นในทุกปีมาตั้งแต่ช่วงปี 2003

และมาจนถึงปี 2025 ปีนี้เองก็เช่นกัน…

อัตราการฆ่าตัวตายที่เกิดขึ้นมีจำนวนสูงขึ้นต่อเนื่องในทุก ๆ ปี สวนทางกับในระยะเวลาเดียวกับที่อัตราเกิดนั้นมีจำนวนลดน้อยลง แน่นอนว่าผมเองคงไม่ปฏิเสธว่าความคิดในเรื่องของการ ‘จบชีวิตตัวเอง’ มันมีความสัมพันธ์กับเรื่องของอาการซึมเศร้า ถึงอย่างนั้นความซึมเศร้าในตัวมันเองก็มีหลากหลายระดับ ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และการยอมรับถึงมุมด้านความอ่อนแอของตัวเอง อันเป็นส่วนประกอบสำคัญที่บ่งบอกถึง ‘ความเป็นมนุษย์’ ในตัวของเรา

ผมคงไม่ต้องพูดซ้ำในเรื่องหรือหัวข้อแบบเดิม ๆ ที่ผมจำต้องย้ำมันอย่างต่อเนื่อง หากว่าคุณหรือใครก็ตามที่กำลังอ่านมาถึงตรงจุดนี้อยู่ คุณเองคงเข้าใจในสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อได้เป็นอย่างดี

อย่างไรเอง ขอให้จดจำไว้เสมอว่า

ทุกอย่างที่คุณได้อ่าน

ทุกตัวอักษรที่ถ่ายทอดออกมา

ล้วนแล้วแต่เป็นเพียง ‘ประสบการณ์’ จากเพียงแค่คน ๆ เดียวเท่านั้น

มันเป็นไปไม่ได้ที่มันจะเป็นตัวตัดสินในทุกสิ่งที่ถูกเล่าออกมา เฉกเช่นเดียวกับคำถามที่ว่า ความจริงคืออะไร?

ราคาและมูลค่าของความจริง ขึ้นตรงอยู่กับสิ่งที่เราเชื่อมั่น หรือมันขึ้นอยู่กับ ‘ค่านิยม’ ที่สังคมยอมเพิ่มมูลค่าของมัน โดยปฏิเสธซึ่งการหลบเข้าไปอยู่ในความสวยงามที่ฉาบด้วยหน้าของน้ำตาลที่มันอาจส่งผลก่อให้เกิดอาการเจ็บป่วยอันไม่พึงประสงค์ จนถึงขั้นต้องตัดอวัยวะในร่างกายของตัวเองออกไปแทน

 

(Shike, sorry… too violent xD)

หากแต่คุณไม่ต้องเป็นห่วงในเรื่องที่ผมได้กล่าวถึงไป ความกังวลในเรื่องของอนาคตเป็นสิ่งที่เสียเวลาโดยเปล่า ทว่าการเตรียมตัวเพื่อรับมือกับ ‘ความเปลี่ยนแปลง’ ต่างหากที่มันสำคัญ

แม้จะมีหัวข้อนับมากมายในหัวที่มันผุดขึ้นมาเป็นจำนวนมาก กระนั้นแล้วผมอาจต้องใช้เวลาสำหรับการเตรียมตัวและพิมพ์ถึงเรื่องราวส่วนนี้สักพักใหญ่ สารภาพหนึ่งอย่างว่าสาเหตุที่ผมต้องการพูดถึงเรื่องนี้อันเนื่องมาจากว่ามีเจตนาในการสร้างความเข้าใจ พร้อมทั้งแยกความแตกต่างระหว่าง ‘อาการซึมเศร้า’ กับ ‘โรคซึมเศร้า’ ออกมาเพื่อให้เห็นถึงความแตกต่างที่หลายครั้งอาจมักถูกเข้าใจผิดว่ามันคือสิ่งเดียวกัน

ความเศร้าหมอง’ หลายครั้งมันย้ำเตือนเราให้รับรู้ถึงการให้ความสำคัญกับสิ่งที่เหลืออยู่

ทว่าการจะรับรู้ได้ว่าอะไรคือ ‘ความเศร้า’ และอะไรคือ ‘ความเซื่องซึม’

นั่นอาจต้องใช้วิธีการสังเกตตัวเองให้ดี และพยายามหลีกเลี่ยงในการจะนำมันไปใช้ในทางที่ไม่ดี และทางที่ก่อเกิดการสร้างความเข้าใจผิดให้กับคนในสังคม

ครั้งหนึ่ง สิ่งที่เรียกว่า ‘ความเจ็บป่วยทางจิต’ มักถือเป็นอาการที่ถูกมองข้ามไปอยู่เสมอ เฉกเช่นเดียวกับค่านิยมในสังคมเกี่ยวกับเรื่องของ ความเข้มแข็ง และ ความอ่อนแอ อันถือเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับมนุษย์และสิ่งมีชีวิตบนโลกมาอย่างเนิ่นนาน

จริงอยู่ว่ามันเคยมีประโยคคำพูดที่แสดงออกถึงการบังคับให้คน ๆ หนึ่งจำเป็นต้องเข้มแข็ง หรือหากพูดให้ถูกอีกคือการฝืนธรรมชาติและข้อจำกัดของมนุษย์ ทำให้เราสามารถก้าวข้ามพ้นผ่านอุปสรรคต่าง ๆ ไปได้ และแน่นอนในกรณีเช่นนี้ ผมกำลังหมายถึง ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่อยู่รอด และ ผู้อ่อนแอย่อมตกกลายเป็นเหยื่อเสมอ

อาจปฏิเสธไม่ได้ถึงความเป็นจริงและธรรมชาติที่มันเป็น ทว่าสิ่งหนึ่งที่ผมอยากให้คำนึงไว้เสมอ นั่นคือตราบใดที่ในสังคมเราคงต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคนจำนวนมาก ผู้คนที่ล้วนมีพื้นเพและแตกต่างจากเรา ใครใคร่ก็ตามแต่ที่พวกเขาเหล่านั้นยังมีผู้ที่ต้องดิ้นรนเพื่อให้ตัวเองเอาตัวรอดได้จากสถานการณ์ที่บีบบังคับให้พวกเขาต้องเลือกระหว่าง หนีหรือต่อสู้ (Fight or Flight) นั่นหมายความว่าคำว่า ‘ความอ่อนแอ’ หรือ ‘ความเข้มแข็ง’ มันคงไม่สลักสำคัญไปมากกว่าเรื่องของการหันมองไปยังความเข้าอกเข้าใจในฐานะของมนุษย์ผู้อยู่ร่วมโลกด้วยกัน

ความเลวร้ายทั่วทั้งมวลของโลกใบนี้

เกินกว่าสิ่งที่ผมจะจินตนาการและยากเกินกว่าหยั่งถึง

กระนั้น นั่นไม่ได้แปลว่าเราจะต้อง ‘จมปลัก’ อยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

นานเสียเกินกว่าจะกลับมาตระหนักรู้ว่า ‘อะไร’ คือสิ่งสำคัญสำหรับเรา

 

/ / REISA IN PROGRESS // // REISA IN PROGRESS // // REISA IN PROGRESS //

ข้อความที่ผมสื่อออกไปอยู่ตลอดในทุกครั้ง ผมยังคงยืนกรานอยู่ในจุดเรื่องของการกลับมาเพื่อตระหนักรู้ รวมถึงการ ‘ตกผลึกทางความคิด’ ของตัวเองอยู่เช่นเดิม โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อช่วงปี 2024 ที่ผ่านมา

ผมคงบอกไม่ได้ว่าความคิดเช่นนี้ของผมมันจะเปลี่ยนแปลงไปเมื่อไหร่ อย่างไรเสีย ตราบเท่าที่ผมยังคงเขียนเพื่อเล่าเรื่องถึงสิ่งต่าง ๆ ในมุมมองของผมเอง มันจะยังคงเป็น ‘เครื่องย้ำเตือน’ สำหรับในอนาคตที่ผมอาจกลับมาอ่านถึงมันในช่วงที่ชีวิตกำลังสับสนวุ่นวาย ช่วงเวลาของการย้อนกลับไปหวนรำลึกถึงความสำคัญอย่างยิ่งยวดอันเป็นเหตุผลที่ผมไม่ควรละทิ้งมัน

ความเป็นมนุษย์ (Humanity)

😭😭💦💦
(Credit : 鯉魚)

ขอบคุณที่อ่านจนจบ

ขอให้สนุกกับการใช้ชีวิตครับ

:D


ความคิดเห็น