[บอกเล่าประสบการณ์ EP.2] ความกลัว ความหวัง และปีศาจที่รอการถูกปลดปล่อย (Dying Light 2 Stay Human)

 

U N L E A S H

T H E

B E A S T

การเริ่มต้นจาก ‘ศูนย์’ มักเป็นอะไรที่ยากและเหนื่อยล้าแสนสาหัสพอสมควร

ทว่านั่นอาจยังไม่เท่ากับในที่สุด ผมก็ได้กลับมาเพื่อบอกเล่าถึงประสบการณ์ที่เปลี่ยนไปสำหรับเกม ๆ หนึ่งที่ตัวผมเองเฝ้ารอมาอย่างเนิ่นนานเสียที (แม้ว่า ณ ตอนนี้มันจะติดเข้ากับโรคเลื่อนไปก็ตาม TwT)

หากแต่ในมุมกลับกัน เพื่อไม่ให้เป็นการกินระยะเวลามากเกินไป ผมขออนุญาตในการเข้าถึงการเล่าถึงประสบการณ์ในส่วนของเกม Dying Light 2 Stay Human ในระยะเวลาการเล่นมากกว่าหลักร้อยชั่วโมง ประกอบเข้ากับส่วนของเกมเพลย์ รวมไปถึงระบบต่าง ๆ ที่มีความแตกต่างกับตัวของ Dying Light ภาคแรกไปในระดับหนึ่ง

(ไม่สิ ต้องเรียกว่าต่างกัน ‘มาก’ เสียจนภาคแรกกลายเป็นภาคที่ GOTY ไปเลย)

อาจต้องยอมรับว่าในช่วงแรกเริ่มสำหรับประสบการณ์ช่วงแรกเริ่มสำหรับเกมนี้ ผมคงพูดได้ว่าแม้จะมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ทำให้ผมรู้สึกขัดใจอยู่บ้าง หากแต่สิ่งหนึ่งที่อาจพอพูดได้ว่าในความไม่น่าอภิรมย์ตลอดในทุกการเล่น ทุกการ ติดตั้งใหม่ & ลบการติดตั้ง (Install & Uninstall) สำหรับส่วนของภาคสองนั้น มันกลับมีกลิ่นอายบางอย่างที่มันเป็นเหตุผลของการที่ผมมักจะกลับไปเล่นใหม่ในทุกครั้ง บางอย่างที่แม้จะแตกต่างไปจากตัวของภาคแรกอย่างชัดเจน แต่กลับให้ความรู้สึกที่เหมือนได้เปิดมุมมองใหม่ ๆ ที่เกี่ยวกับมัน

ความเป็นมนุษย์ และ ความหวัง (Humanity & Hope)

 


สองสิ่งอย่างของการนำเสนอที่อาจไม่ได้แสดงออกมาผ่านตัวของเนื้อเรื่อง ระบบเกม หากแต่เป็นในส่วนของธีมและเพลงประกอบเบื้องหลัง

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ในทุกย่างก้าวของการได้ออกวิ่งและสำรวจไปในที่ต่าง ๆ สิ่งที่หลงเหลือไว้ไม่ใช่เพียงแต่ซากปรักหักพัง หรือกับตัวของศัตรูภายในเกมที่ถูกออกแบบมาเพื่อท้าทายขีดความสามารถของผู้เล่น หากแต่มันกลับเป็นฉากหลังและบทบรรเลงของเพลงที่ช่วยมีส่วนเสริมในการปลุกเร้าอารมณ์ในระหว่างการเล่น การส่งสัญญาณถึง แสงแห่งความหวัง ถือเป็นอะไรที่ค่อนข้างไม่ค่อยทำให้ผมรู้สึกถึงความพยายามในการตั้งใจเพื่อที่จะผลักดันตัวเองให้กลายเป็น ‘คนที่ดีกว่าเดิม’ และ ‘เป็นมนุษย์’ อย่างที่มันควรจะเป็น

ฝีเท้านั้นสับลงไปอย่างว่องไว

ก่อนทะยานขึ้นสู่พื้นดิน ปลดปล่อยความรู้สึกที่แสนหนักอึ้งทั้งหมด

ชั่วแวบหนึ่งของการสลัดความกังวลจากเหตุการณ์อันแสนตึงเครียด

ก่อนจะจบลงด้วยการม้วนตัวลงพื้นอย่างปลอดภัย

และออกวิ่ง

วิ่ง กระโดด ต่อสู้ (Run, Jump, Fight)

 

อย่างไรก็ตาม นั่นก็เป็นเพียงส่วนของการนำเสนอในด้านของเพลงประกอบ หรือแม้แต่ธีมเรื่องราวของมันไปเพียงเท่านั้น

ส่วนเล็ก ๆ ที่อาจดูไม่ได้ทำให้มันเป็นหนึ่งในภาคต่อที่ดีมากพอสมควร แต่ในมุมหนึ่งเองมันก็มอบความรู้สึกอันแปลกประหลาด แม้จะอยู่ท่ามกลางช่วงเวลาอันล่มสลายของมวลมนุษย์ชาติไปแล้วก็ตาม

พวกเราคือประชาชน

พวกเราคือผู้รอดชีวิต

พลังแห่งการสร้างเสริมซึ่งความเชื่อมั่นในความหวัง

นำพาให้เหล่ามนุษยชาติกลับมาสู่รากฐานของวัฒนธรรมความเป็นประเพณีอีกครั้ง

เตร็ดเตร่ภายในโลกอันรกร้างว่างเปล่า

แด่ “การเริ่มต้นใหม่ (New Beginnings)” อีกครั้ง

 

ทว่าอย่างไรเอง สิ่งหนึ่งที่ผมอาจเสียดายมากที่สุดสำหรับในส่วนของเกม Dying Light 2 กลับเป็นในเรื่องของการใช้เวลาหมดไปกับการ Grinding เลเวลภายในเกม เพื่อที่จะปลดล็อคสกิลต่าง ๆ รวมไปถึง ‘เกรด’ ของอาวุธที่จะเพิ่มขึ้นตามระดับแรงค์ (Rank) ที่เราไต่ไปได้

แน่นอนว่าส่วนนั้นสำหรับเกมในภาคสองมันอาจจะไม่ได้สมบูรณ์แบบ เฉกเช่นเดียวกับในภาคแรก (หรืออาจเป็นธรรมดาทั่วไปสำหรับเกมแนว RPG ตามที่เราเข้าใจกัน) การไต่ระดับหรือเพิ่มความสามารถใหม่ ๆ ตามระยะเวลาที่เล่นเกมไป ไม่ว่าจะในแง่ของเนื้อเรื่องก็ดี หรือว่าระบบการเล่นของมันก็ดี สิ่งต่าง ๆ ที่ Dying Light 2 เป็น มันอาจดูมีข้อถกเถียงกันอยู่เยอะพอสมควรสำหรับผู้ที่ผ่านการเล่นเกมภาคแรกมาก่อน (ผมก็หนึ่งในนั้น)

ผมคงไม่ปฏิเสธว่าในช่วงแรกของ Dying Light 2 มันทำให้ผมหงุดหงิดกับในบางช่วงหนึ่งของเกม

นับไปตั้งแต่เนื้อเรื่องที่ชวนขมวดคิ้ว ตัวเลือกถาม – ตอบ ที่ดูแล้วมันไม่ได้มีผลกระทบอะไรต่อการเล่น หรือไล่ไปจนถึงการที่ในบางจังหวะของเกมที่มันกำลังดำเนินไปอยู่ กลับถูกขัดด้วย บัค (Bug) บางอย่างที่มันเป็นเหตุผลทำให้ผมต้องเล่นใหม่อีกรอบ

ข้อเสียต่าง ๆ ที่มันมี แม้จะเป็นอะไรที่ไม่ส่งผลกระทบต่อการเล่นมาก หากแต่ในมุมหนึ่งของการดื่มด่ำไปในบรรยากาศในเกม กลับทำให้ผมรู้สึกว่ามันมีบางสิ่งบางอย่างขาดหายไป อาจไม่เชิงว่ามัน ไม่ใช่ เกม Dying Light ที่ผมรู้จัก แต่กลับเป็นเกม Dying Light ที่มันมีความพยายามในการ ‘ฉีก’ แนวทางการนำเสนอจากเดิมไป โดยใส่กลิ่นอายความเป็นเกมยุคสมัยใหม่เพื่อรองรับผู้ที่ไม่เคยรู้จักซีรี่ส์เกมนี้มาก่อน


ความสนุกของปากัวร์ (The Joy of Parkour)

ไม่ใช่การแข่งขันว่าใครทำเวลาได้ดีที่สุด

หรือการแสดงท่าทางอันโลดโผนที่แหวกแนวและหวาดเสียวมากที่สุด

หากแต่มันคือการทำลายกรอบข้อจำกัดของการเคลื่อนไหว

ก้าวข้ามขีดจำกัดเดิมที่เคยมี เพื่อนำพาตัวเองไปสู่ ‘ความเป็นไปได้ใหม่ ๆ’ ที่เรายังไม่ได้ค้นพบ

(อย่างไรมันก็ต้องใช้เวลาสำหรับการฝึกฝนร่างกายที่นานพอสมควร)

มุมหนึ่งของสิ่งที่เรียกว่า ‘ฟรีรันนิ่ง (Free Running)’ และ ‘ปากัวร์ (Parkour)’ แม้ทั้งสองอย่างจะมีรูปแบบที่คล้ายคลึงกัน ทว่าสิ่งที่แตกต่างออกไป นั่นคือมุมหนึ่งมันคือการก้าวข้ามอุปสรรคด้วยวิธีการแบบฉบับที่ใช้สภาพแวดล้อมรอบข้างให้เกิดประโยชน์สูงสุด และในขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่ง คือการวัดทักษะทางด้านร่างกายที่ต้องเน้นความชำนาญและการฝึกฝนที่ไม่เพียงแต่จะมีร่างกายที่แข็งแรงในระดับหนึ่งแล้ว ยังต้องเน้นใช้ประสาทสัมผัสรอบตัวให้เป็นประโยชน์ด้วย

น่าเสียดายที่ผมคงอาจพูดในเรื่องของกีฬาประเภทนี้ได้ไม่มากนัก อย่างไรเอง ในส่วนที่เกี่ยวกับตัวเกมของ Dying Light 2 และประสบการณ์ที่ผมมีเกี่ยวกับมัน นั่นคือ ‘ทั้งหมด’ สำหรับเท่าที่ผมได้สัมผัสมา

-----------------

Dying Light 2 อาจไม่ใช่ภาคที่ทำออกมาได้ดีเยี่ยมเมื่อเทียบเท่ากับภาคแรก หากแต่กลิ่นอายของ ‘การสร้างความหวัง’ ท่ามกลางโลกที่ล่มสลาย ถือว่าเป็นอะไรที่ค่อนข้างใหม่และไม่ได้มีให้เห็นบ่อยนัก

บันทึกคดีพยากรณ์’ หรือในอีกชื่อหนึ่งว่า Post-Apocalyptic ถือเป็นแนววรรณกรรมที่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคหรือกี่สมัย มันยังคงเป็นหนึ่งในบันเทิงคดี (Fiction) ที่ผมยังคงชื่นชอบในการเสพหรือหาอ่านมันอยู่อย่างเสมอ ยิ่งโดยเฉพาะกับเรื่องราวของมนุษย์ที่ต้องใช้ชีวิตภายหลังจากสงคราม ความขัดแย้ง ท่ามกลางทุกสิ่งอย่างที่มันล่มสลายไป ระบอบสังคม ประเพณี หรืออะไรใด ๆ ก็ตามที่เหมือนว่ามันกำลังกลายเป็นสิ่งที่เข้าใกล้ความเป็นจริงมากขึ้นไปในทุกขณะ

ใครจะรู้ว่าวันหนึ่ง เมื่อคุณตื่นขึ้นมา คุณอาจพบว่าโลกใบนี้กำลังตกอยู่ภายใต้ความโกลาหลครั้งใหญ่

ความไม่แน่นอนของสภาพแวดล้อม การผันผวนของระบบเศรษฐกิจครั้งใหญ่

ระบอบสังคมอันบิดเบี้ยว กรอบศีลธรรมความเป็นมนุษย์ที่มันพังทลายลง จนเหลือไว้แต่เพียง ‘สัญชาตญาณ’ การเอาตัวรอดที่ต่างคนต่างล้วนตะเกียกตะกายเพื่อให้ตัวเองอยู่ในจุดที่ต้องการ

บางครั้งโลกใบนี้ก็ต้องการ ‘ปีศาจ (The Beast)’

ปีศาจที่ไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อทำลายความหวัง

ปีศาจที่ไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อทำลายอนาคต

แต่มันคือ ‘ปีศาจ’ ที่ตอกย้ำให้มนุษย์รับรู้ว่า

ไม่ว่าหายนะจะเกิดขึ้นกี่ครั้ง ขอเพียงแค่ ‘คงความเป็นมนุษย์ (Stay Human)’ เอาไว้ให้ได้

นั่นก็เพียงพอต่อการที่จะมีความหวังในอนาคต


Stay Determined, Stay Humanity

ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ

:D


ความคิดเห็น