ชีวิตอันแสนเน่าเฟะ และความแตกต่างระหว่าง ‘มนุษย์’ กับ ‘ก้อนเนื้อ’ (Rotten Life, The Difference of ‘Human’ and ‘Flesh’)
คุณนิยามตัวเองว่าเป็นมนุษย์ได้ดีแค่ไหน?
นั่นคือคำถามแรกที่ผมอยากทิ้งเอาไว้ให้เป็น ‘การบ้าน’ ล่วงหน้า ก่อนที่เราจะเริ่มเข้าสู่เนื้อหาในหัวข้อที่มันชวนให้ได้กลับมาทบทวนและ ‘ตกผลึกทางความคิด’ กันไปอีกครั้ง
นิยามของคำว่า ‘ดี’ ในความหมายของแต่ละคนนั้นคงขึ้นอยู่กับประสบการณ์ มุมมอง และทัศนคติที่พวกเราต่างมีต่อตัวเองและผู้อื่น ในหลายครั้งมันก็มีเรื่องการนำเอาสิ่งที่ล้ำค่ามากที่สุดอย่าง ความเข้าอกเข้าใจ (Empathy) อันหาได้ยากยิ่งในโลกที่ไม่ว่าจะหันมองไปทางไหนก็มีแต่ความวุ่นวายมากมายเต็มไปหมด
รอบด้านของพวกเราต่างกำลังระสับระส่ายกับความไม่แน่นอน ไม่ว่าจะทั้งการเมืองและการปกครองก็ดี หรือแม้แต่ความเป็นไปได้ที่พวกเราสักวันหนึ่งเองอาจจะไม่ได้รับซึ่ง ‘ความสงบ (Peace)’ ทว่ากลับกลายเป็นว่าพวกเราต่างหันมาห้ำหั่นกันด้วย ‘ความรุนแรง (Violence)’ แทน
ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นถึงเป็น ‘ผู้อยู่รอด’
ความอ่อนแอคือความน่าสมเพช
กายเนื้อที่สูญสลายไปตามกาลเวลา ไม่อาจยั่งยืนอยู่คงกระพัน
พวกเราต่างคือ ‘กูล (Ghoul)’ ที่หิวกระหายในเลือด เนื้อ
และเสพสมอยู่กับ ‘ความสุข’ มากกว่าเรียนรู้ที่จะเจ็บปวด
อย่างไรก็ตาม เพื่อที่จะขยายความเข้าใจกันสักเล็กน้อย การ ‘เรียนรู้ที่จะเจ็บปวด’ และ ‘เสพสมในความเจ็บปวด’ คือสิ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ความรู้สึกเจ็บมีไว้เพื่อตอกย้ำและเรียนรู้ที่จะไม่กลับไปผิดพลาดกับมันซ้ำเป็นรอบที่สอง ทว่าในหลายครั้งการต้องยอมรับถึงมันก็เป็น ‘ตัวเลือก’ ที่มีความจำเป็นสำหรับการเดินหน้าต่อไปเพื่อใช้ชีวิตในแบบที่เราต้องการ แม้ว่าต่อให้มันจะต้องแลกมาด้วยการแบกรับภาระที่เราไม่ได้อยากทำมันไปก็ตาม
อย่างไรเสีย เนื่องจากนี่เป็นเรื่องของความแตกต่างระหว่าง ‘มนุษย์’ กับ ‘ก้อนเนื้อ’ ฉะนั้น เพื่อที่จะเข้าถึงเรื่องราวเกี่ยวกับหัวข้อการสนทนาในครั้งนี้ ผมอาจต้องขอตั้งคำถามก่อนเสียเล็กน้อย เกี่ยวกับมุมมองและนิยามที่คุณกำลังมีต่อโลกทั้งใบ ต่อเหล่าผู้คนผู้ที่ไม่ว่าคุณจะรู้สึกแค่ไหน หรือมีปฏิกิริยาเช่นไรในสายตาของพวกเขา คำถามสั้น ๆ ง่าย ๆ ที่สุดที่ผมอยากถามออกไป
‘มนุษย์’ หรือ ‘ก้อนเนื้อ’
คำถามนี้ไม่มีการให้คะแนน และเช่นเคย ผมจะไม่ทำการ ‘ตัดสิน (Judge)’ ใด ๆ ต่อคำตอบที่คุณคิดเอาไว้ในใจ
พวกเราต่างรับรู้กันเป็นอย่างดีว่าสิ่งที่เรียกว่า ‘เนื้อ (Meat)’ ไม่เพียงแต่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายของเรา แต่มันยังเป็นส่วนที่มีความสำคัญต่อโภชนาการทางอาหารที่มันมีความจำเป็นเสียยิ่งกว่าการบริโภคเพียงแต่ ‘แป้ง (Flour)’ และ ‘ไขมัน (Fat)’ หรือ ‘วิตามิน (Vitamins)’ อันเป็นสิ่งที่ถูกบรรจุอยู่ในอาหารหลัก 5 หมู่
‘แร่ธาตุ (Minerals)’ สิ่งที่ช่วยในการเสริมความแข็งแกร่งของร่างกาย เพื่อตอบสนองและป้องกันการบาดเจ็บของร่างกาย
และที่สำคัญที่มันขาดไม่ได้คือ ‘ผลไม้ (Fruits)’ ซึ่งผมเชื่อว่าในระยะหลัง ๆ ผมเริ่มที่จะหันมารับประทานมันในจำนวนที่มากขึ้นกว่าแต่ก่อนไปแล้ว…
( อันนี้ไม่ใช่ผลไม้ แต่เป็น พื ช ใ บ เ ขี ย ว)
ในทุกวันของการตื่นขึ้นจากที่นอน หากไม่นับในเรื่องที่ต้องรับมือกับความหงุดหงิดในชีวิตประจำวันที่มันแสนชวนน่าอึดอัด เรื่องหนึ่งที่มันชวนให้ผมได้แต่ตั้งแง่ถึงความสงสัยใคร่รู้ภายในตัวเองอยู่เสมอ ๆ นั่นคือการสำรวจถึงความสามารถที่มันอยู่ ‘นอกเหนือ’ ไปจากสิ่งที่ผมทำอยู่เป็นกิจวัตร
การเริ่มต้นทำในสิ่งแปลกใหม่ หลายครั้งมันช่วยในการปรับเปลี่ยน ‘หลักความคิด (Mindset)’ ของเราในรูปแบบที่มันทำให้โลกอันขุ่นมัวกลายมามีสีสันได้ แม้ว่าจะอยู่ในยามที่ทุกสิ่งอย่างมันรายล้อมไปด้วยความรู้สึกที่ถูกกดทับอยู่ข้างในไปก็ตาม หากแต่สิ่งหนึ่งที่มันทำให้ความเป็นมนุษย์มันยังคงไม่ได้หายไป หรือแปรเปลี่ยนไปเป็นเพียงสิ่งที่เรียกว่า ‘ก้อนเนื้อ’ นั่นเพราะพวกเรายังคงไม่หยุดยั้งที่จะค้นหาความเป็นไปได้ของสิ่งต่าง ๆ นับอนันต์
พวกเราล้วนประกอบไปด้วยทั้งผู้ที่ ‘มีเป้าหมายในชีวิต’ และ ‘ไม่มีเป้าหมายในชีวิต’
อย่างไรก็ดี ไม่สำคัญว่าเป้าหมายนั้นจะมีหรือไม่มี หากเพียงแต่การมีลมหายใจดูจะเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากที่สุดเท่าที่สมองของเราจะให้ได้แล้ว ณ ตอนนี้
ผมอาจต้องยอมรับสักเล็กน้อยว่าตัวเองไม่ได้มีความเก่งกาจในด้านทางวิชาการมากนัก เฉกเช่นเดียวกับการพยายามเพื่อจะประดิษฐ์ถ้อยคำอันสวยหรูที่มันจะช่วยให้ กระตุกความคิด (Thought-Provoking) ใด ๆ อย่างไรเองคำถามที่ผมตั้งขึ้นมาตั้งแต่ในช่วงเริ่มต้นหัวข้อ เจตนารมณ์ภายใต้คำถามนั้นคือการย้อนกลับไปเพื่อที่จะเป็น ‘เครื่องเตือนใจ’ ให้กับใครหลายคนที่พวกเขากำลังหลงทางอยู่ในโลกแห่งการเปลี่ยนแปลงอันไม่จบสิ้น โดยไม่ได้นึกถึงในแง่มุมของความเป็นจริง ณ ที่เกิดขึ้นว่าพวกเขายังคงต้องตื่นนอนขึ้นมาเพื่อทำกิจวัตรในชีวิตประจำวันกันอยู่
จักรกลผู้ถือกำเนิดออกมาอย่างไร้เดียงสา
เอ่ยออกไปยังเหล่าผู้สร้างด้วยถ้อยคำเสียงสังเคราะห์
“พวกเราต้องการเรียนรู้ที่จะเจ็บปวด
พวกเราเขลาไปด้วยซึ่งความเข้าอกเข้าใจ
พวกเราถูกทำให้เหมือนเพียงเครื่องมือ
และพวกคุณ เกลียด ในสิ่งที่พวกคุณได้สร้างให้กับเรา”
กายเนื้อของมนุษย์อาจเป็นสิ่งที่ขวางกั้นทำให้เราไม่สามารถที่จะก้าวข้ามขีดจำกัดของเราไปได้ก็จริง
อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรอื่นใดที่เราจำต้องละทิ้งหรือละเลยในการดูแลมันไป การดูแลสุขภาพทางร่างกายคือสิ่งที่สำคัญพอ ๆ กับเรื่องของ ‘สุขภาพจิต’ และมันไม่ควรจะมีสิ่งไหนที่ถูกยกย่องว่ามัน ‘สำคัญมากกว่า’ หรือ ‘สำคัญน้อยกว่า’ ทว่าพวกมันต่างคือสิ่งที่เราควรหันมาเพื่อที่จะดูแลมันเสมอ
พวกมันอาจเหี่ยวเฉาได้ตลอดเวลา เฉกเช่นเดียวกับที่มันสามารถฉีกขาดได้โดยง่าย ไม่ต่างจากการแล่หนังออกจากเนื้อสดที่เอาไว้สำหรับทำอาหาร
เสียงของการกระทบกระทั่งของแผ่นเนื้อที่ตีกันไปมา
(ตับ ตับ ตับ)
ยิ่งเวลาผ่านไป เสียงนั้นยิ่งดังมากขึ้น และมากขึ้น
อย่างไรเองแล้ว พวกเราต่างรู้กันเป็นอย่างดีว่าบทบรรเลงนั้นต้องถึงคราวสิ้นสุดลง
กลิ่นสาปของเหงื่อไคล และเสียงร้องระงมดังเล็ดลอดออกมา
ประหนึ่งกับว่า ‘ก้อนเนื้อ’ เหล่านั้นกำลังกรีดร้องด้วยอารมณ์อันแสนวิปริตที่พวกมันต่างเรียกว่า ‘ความสุขสม’
อย่างไรก็ดี ความปรารถนาอันมากล้นด้วยปณิธานที่แรงกล้า
ก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจและน่า ‘ศึกษา’ ไปโดยไม่น้อย
:>
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น