[ตกผลึกทางความคิดผ่านโลกวิดีโอเกม Ep.5] สงคราม ความขัดแย้ง การต่อสู้กันผ่าน 'ตัวแทน' ของผู้อยู่กึ่งกลางระหว่างความเป็นและความตาย (Warframe, Destiny 2, Warhammer 40K)
Didn't expect it, huh?
เนื่องด้วยที่ช่วงนี้ถือเป็นช่วงเว้นว่างจากการวางในส่วนของการ Grinding ของหนึ่งในเกมที่มันทำให้ผมกลับมาเริ่มให้ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องราวของ 'อวกาศ' และ 'วิทยาศาสตร์' อีกครั้ง ซึ่งก็ประจบเหมาะพอดีที่มันมีเรื่องราวก่อนหน้านี้ที่เกิดขึ้นมามากมาย (และผมจะไม่ขอพูดถึงส่วนนั้นไปเสียเท่าไหร่นัก)
อย่างไรเองก็ตามแต่ในระยะอีกสิบวันถัดไป ถือเป็นช่วงเวลาอัน 'พิเศษ' สำหรับผม อาจเรียกได้ว่าตลอดทั้งเดือนพฤษภาคมนี้ ค่อนข้างเป็นเดือนที่ผมมีความตั้งใจอย่างมากในการหันกลับมาเพื่อ 'ตกผลึกทางความคิดตัวเอง' ไปอีกครั้ง และต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่งที่ผมไม่ค่อยได้เขียนบล็อคบ่อยนัก อันมีเหตุผลเนื่องจากการพาตัวเองไปอยู่ในสถานที่ ๆ เรียกว่า 'ดิสคอร์ด' มากเกินไป
แพลตฟอร์มอันเป็นที่นิยมในปัจจุบัน
แปรเปลี่ยนไม่ต่างจาก 'โซเชียลมีเดีย' แห่งที่สี่ไปแล้ว
รองลงมาจาก Youtube
การออกมาจากที่แห่งนั้นเป็นครั้งคราว เป็นหนึ่งในวิธีการที่ผมใช้เพื่อ 'เซฟสภาพจิตใจตัวเอง' ในระดับหนึ่ง
ขออภัยถ้าหากว่าจะเป็นการเกริ่นถึงชีวิตและมุมมองความคิดของตัวเองไปนาน คิดว่าผมควรน่าจะมาเข้าถึงหัวข้อของโพสต์นี้ไปเสียหน่อย แน่นอนว่าในครั้งนี้อาจจะมีความแตกต่างตรงที่มันมีส่วนของการพูดถึง 'เนื้อเรื่อง' ในช่วงของตัวเกมไปในระดับที่มีความสำคัญ (!!! SPOILER ALERT !!!)
จำไม่ได้ว่าก่อนหน้านี้ผมเคยได้พูดถึงเรื่องของมันไปบ้างแล้วหรือยัง หากแต่สำหรับในครั้งนี้สำหรับตัวของ Warframe ผมอาจจะมีการนำเอา 'การตีความ' และ 'จินตนาการของตัวเอง' เข้าไปผสมโรงอยู่ส่วนหนึ่ง ฉะนั้นมันอาจไม่ใช่อะไรก็ตามที่ตรงกับ 'ช่วงเวลาสำคัญ (Canon Event)' สำหรับการที่เควสของเกมมันได้นำเสนอออกมา
เป็นเพียงแต่เรื่องราวและ ความเป็นไปได้ ที่มันอาจมีอะไรซ่อนไว้มากกว่าการต่อสู้ การแย่งชิง หรือแม้แต่การช่วยเหลือที่ตัวเราได้รับบทบาทเสมือนเป็น 'ผู้แก้ปัญหา (Problem Solver)' ณ ตรงนั้น
Let's start with the 'origin' one
ณ จุดเริ่มต้นของ 'จุดจบ' ที่ไม่อาจจินตนาการถึง
ฉากของการเปิดตัวในสงครามที่เสมือนเป็น 'จุดเริ่มต้น' หากย้อนกลับไปยังช่วงเวลาเมื่อ ณ ตอนที่มันยังไม่ได้เป็นกระแสมากนัก มันยังถือเป็นหนึ่งในเกมที่จำนวนของผู้เล่นไม่ได้เยอะเท่ากับในปัจจุบัน แน่นอนว่าถ้าใครที่ตามอ่านบล็อกถึงเรื่องนี้ที่ผมเคยเล่าเอาไว้ในช่วงแรก ๆ ก็คงเข้าใจได้ไม่ยากว่าเกมมันมีระบบ Learning Curve ที่คุณต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจมันมากในระดับหนึ่ง
เฉกเช่นกับ เกมกาชา ในยุคปัจจุบัน และแม้ว่าสำหรับ Warframe จะไม่ได้เข้าข่ายในการเป็น 'เกมกาชา' หากแต่ระบบในส่วนของการหาของเพื่อการ Grinding ก็ยังหนีไม่พ้นในเรื่องของการ 'สุ่ม' อยู่ดี ;P
ทว่าขออนุญาตข้ามไปส่วนของ Game Mechanic ที่ผมคิดว่าส่วนนี้อาจต้องมีการหาข้อมูลและการ 'ลองผิดลองถูก' ที่ใช้เวลานานสักหน่อย เรามาพูดถึงในส่วนของ Lore หรือเนื้อเรื่องกันน่าจะดีกว่า
*HAPPY JOHN WARFRAME NOISE*
ในส่วนของเนื้อหาและเรื่องราวของเกมนั้นจะดำเนินไปในรูปแบบของ Quest ตามแต่ที่เราทำไปไม่ต่างอะไรจากเกมแนว MMORPG ที่เราเคยคุ้นตากัน ต่างกันตรงที่ในทุก ๆ การปลดล็อค Quest ใหม่ เกมจะมีการแนะนำและทำให้เราได้รู้จักกับ 'ระบบใหม่' ที่มันไม่เพียงแต่เปิดมุมมองที่ผู้เล่นมีต่อ Warframe เปลี่ยนไปเท่านั้น ทว่ามันยังทำให้เราได้เรียนรู้ถึงเนื้อหาที่มันมีมากกว่าเรื่องของ 'สงคราม' ที่มันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ประมาณไม่กี่วันก่อนหน้าที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสในการนั่งฟังไลฟ์สตรีมหนึ่ง ๆ จากช่องทางในยูทูปของทางต่างประเทศที่มันมีการสรุปออกมาผ่านตัวของคนไทยอีกทีหนึ่ง หัวข้อของไลฟ์สตรีมนั้นส่วนใหญ่มันเกี่ยวข้องกับ 'การเมือง' ในช่วงแรก (และมีการเปลี่ยนในภายหลัง)
ที่จริงเรื่องนี้อาจจะไม่ได้มีส่วนสำคัญมากไปเท่าไหร่นัก ประเด็นของเรื่องทางการเมืองในเกม Warframe นั้นไม่ใช่อะไรที่มันมีการเน้นเล่าออกมาให้เห็นภาพ ทว่ากลับเสมือนเป็นเพียง 'ช่องว่าง (Plot hole)' อย่างหนึ่งที่ไม่ว่าผู้แต่งจะมีจุดมุ่งหมายอะไร หากแต่สิ่งที่มันน่าครุ่นคิดและสงสัยมากสำหรับผู้เล่น Warframe ที่ใช้เวลาไปกับการ Grinding อย่างหนักหน่วง (และ Burnout กับมัน เหมือนที่ผมเป็นในตอนนี้ xD)
การได้หันหลังไปมองดูถึงเนื้อเรื่องและเรื่องเล่าส่วนนั้น ผมอดคิดและจินตนาการไม่ได้ถึงคำถามที่ว่า ต้นกำเนิดของ Warframes นั้นมาจากไหน? หรืออาจให้พูดอีกอย่างหนึ่งคือ
พวกมัน 'เคย' เป็นมนุษย์มาก่อนหรือเปล่า?
ในส่วนของอัปเดต 1999 ที่ผ่านมา แม้ว่าผมจะยังไม่ได้เข้าถึงคอนเทนต์ส่วนนั้นเพื่อไขข้อสงสัยในหัวของตัวเองไป หากแต่กระนั้นในมุมกลับกัน มันก็ชวนให้ผมรู้สึกนึกคิดถึงเรื่องราวในมุมของการที่มันน่าจะมีความเป็นไปได้ว่า Warframes จากในส่วนที่เหล่าผู้เล่นช่วง 'ก่อน' จะถึงอัปเดตล่าสุดนั้น ทั้งหมดมันคือสิ่งที่เรา ในฐานะของ Operator หรือ Drifter เป็น 'ผู้ควบคุม' หรือว่าแท้จริงแล้วเราอาจเป็นเพียงแค่ 'ผู้ชี้นำ' ในการทำให้เหล่า Warframes พวกนั้นได้เป็นในสิ่งที่มันอยากจะเป็น
นี่อาจเป็นเพียง จินตนาการอันไร้สาระที่สุด แต่ในความไร้สาระส่วนนั้น หากย้อนกลับไปมามองในมุมมองของโลกความเป็นจริง Warframes เหล่านี้อาจเปรียบได้กับ 'ตัวตนเปลือกนอก' ที่พวกเราแสดงออกมาในแต่ละวัน
ความแตกต่างที่หลากหลาย
นำพามาซึ่ง 'เอกลักษณ์เฉพาะตัว' ที่ไม่อาจเลียนแบบกันได้
ในทุกช่วงชีวิตของเรา ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใด ๆ ก็ตาม 'เอกลักษณ์' นั้นอาจฟังดูเหมือนสิ่งที่ไกลตัวและยากจะสังเกตเห็นการสร้างเอกลักษณ์ ในยุคสมัยก่อนที่คำว่า 'ผู้สร้างคอนเทนต์ (Content Creator)' จะกลายเป็นหนึ่งในคำ Buzzword ที่ใช้กันอย่างเกลื่อนกลาดในสังคมยุคใหม่ ที่มาของสิ่งเหล่านี้โดยมากมีจุดกำเนิดที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากการมีอยู่ของสังคม หลายสิ่งหลายอย่างล้วนมาจากเรื่องเล่าในวรรณกรรม ตำนาน ความเชื่อทางศาสนา หรือบ้างก็มาจากการนำเสนอจากสื่อบันเทิง หรือมาจากเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นในชีวิตของมนุษย์ ยุคสมัยของการที่ทุกอย่างมันยังกลายเป็น บ้านป่าเมืองเถื่อน ก่อนที่มันจะถูกเปลี่ยนแปลงไปในภายหลัง
ตลอดเวลา การเล่น Warframe ในรูปแบบของผมมักจะอดใช้เวลาครู่หนึ่งในการเสพสมบรรยากาศและฉากของเรื่องราวในภารกิจที่ดำเนินไป นึกคิดและคาดเดา ประกอบรวมเข้ากับการอดจินตนาการไม่ได้ว่าเบื้องหลังของความยิ่งใหญ่อันตระการตาตรงนั้น มันอาจไม่ใช่แค่เรื่องที่เกี่ยวกับ 'สงคราม' แต่บางครั้งมันอาจเป็นเรื่องของอุดมการณ์บางอย่างที่แต่ละฝักฝ่ายนั้นต้องการที่จะครอบครองหมู่ดาวทั่วทั้งจักรวาล โดยที่มีส่วนเล็ก ๆ อย่าง ดาราจักรทางช้างเผือก (Milky Way) อันเป็นหนึ่งใน 'จุดเริ่มต้น' ก่อนที่มันจะลุกลามจนกลายเป็นสงครามระดับใหญ่ในอนาคต
เรื่องเล่าการนำเสนอของเกม Warframe มีความใกล้เคียงได้กับเรื่องราวของจักรวาล Warhammer 40K และถึงแม้ว่าผมจะไม่ใช่หนึ่งใน 'แฟนตัวยง' ของเรื่องราวในฝั่งของ WH40K มากนัก อาจเรียกได้ว่ามันเป็นเพียงแค่ในระดับเสี้ยวเล็ก ๆ ทว่าการนำเอามาเปรียบเทียบกัน ดูจะไม่ใช่อะไรที่ในมุมของผมจะรู้สึก 'โปรดปราน' มันไปเสียเท่าไหร่
และเอาเข้าจริง หากมองในมุมของคนทั่วไป Warhammer 40K เป็นสิ่งที่มัน 'ยากจะเข้าถึงได้' แตกต่างจากตัวของ Warframe ที่มันเป็นสิ่งที่กำเนิดขึ้นในระยะเวลาไม่กี่หลักทศวรรษที่ผ่านมา
Difference World, Difference Setting.
Same Purpose.
(I think?)
เพื่อจะสร้างถึงความเป็นธรรมถึงแฟนเกมทั้งสองฝั่ง (และ Destiny เช่นเดียวกัน)
ทั้งสามเกมนั้นล้วนมีความน่าสนใจมากในระดับที่ผมอาจใช้เวลาทั้งปีในการวนเวียนอยู่กับมันได้แบบไม่ต้องหันเหไปพูดถึงหัวข้ออะไรที่นอกเหนือจากนั้น ทว่าอย่างไรเอง เวลาของการเล่นและชีวิตของมนุษย์นั้นมีจำกัด และการที่ผมบอกว่า อะไรดีกว่า อะไรเก่งสุด มันเป็นหนึ่งในคำถามเชิงปัจเจกบุคคลที่เป็นไปไม่ได้เลยว่าจะมีคำตอบอะไรถูกต้องที่สุด
หลักการทั้งสามของโลกในวิดีโอเกมที่นำเสนอมา ล้วนขึ้นตรงต่อกับตัว 'ผู้สร้าง' หรือก็คือผู้เขียนเรื่องราวออกมาให้เราได้เล่นกัน ทว่าถ้าหากพูดถึงในส่วนของการดำดิ่งไปกับบรรยากาศของเรื่องราวแล้ว สิ่ง ๆ นี้อาจยังถือว่าเป็นสิ่งที่พอให้คำตอบกันได้ (ขึ้นกับว่าคุณเริ่มติดตาม 'หนึ่ง' ในสามเกมไหนเป็นเกมแรก ;D) และถ้าหากจะให้ผมเท้าความว่าก่อนหน้าที่จะให้ความสนใจเรื่องของ Warframe ในปัจจุบัน ผมใช้เวลาไปกับส่วนของ Desnity ก่อนเป็นอย่างแรก รองลงมาคือ WH40K และ Warframe เป็นอันดับท้าย ๆ
Little 'Fresh' Memory from the past.
;)
ส่วนของการเล่าเกี่ยวกับ Destiny เป็นอะไรที่ค่อนข้างจะรางเลือนมากจนผมแทบจดจำอะไรไม่ได้เกี่ยวกับมัน
หากแต่การเปิดตัว ณ ช่วงเวลาตอนนั้นถือเป็นอะไรที่ค่อนข้าง 'ตราตรึงใจ' ได้พอสมควร ต่อให้จะกลับมาดูในช่วงปีปัจจุบันนี้ สิ่งที่ Destiny หลงเหลือไว้ก็ถือเป็นสิ่งที่ย้อนทำให้นึกถึงเรื่องราวสมัยก่อนที่ผมยังไม่ได้สันทัดหรือยัง เด็กเกินไป ที่จะเข้าใจถึงคอนเซปต์เกี่ยวกับ 'ความเป็น' และ 'ความตาย'
ในส่วนของกรณีนี้อาจเทียบกันไม่ได้กับโลกในจักรวาลของ Warhammer ที่มันเป็น 'สิ่งเล็กน้อย' นั่นเพราะมันถูกนำเสนอมาในรูปแบบที่มีความรุนแรงสูงมากกว่าตัวของ Destiny และ Warframe เป็นไหน ๆ อาจเพราะเนื่องด้วยเรตติ้งของตัวเกมก็ดี หรือไม่ก็เป็นผลมาจากแนวคิดของผู้สร้างที่มีการตีความในมุมมองที่แตกต่างกัน หากแต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอย่างไร เราเองคงปฏิเสธไม่ได้ว่าในทุก ๆ เรื่องราวของสิ่งที่พวกมันได้นำเสนอออกมา มันทำให้เราได้นึกย้อนคิดถึงสิ่งต่าง ๆ ในโลกยุคปัจจุบัน
อาจไม่ใช่ในทุก ๆ เรื่องที่มันเกี่ยวข้องกันโดยตรง แต่นั่นกลับทำให้ในบางครั้งมันก็มีส่วนสำคัญในการ 'เปลี่ยนแปลง' ตัวของเรา บางจังหวะของช่วงชีวิตที่อุปสรรคจากโลกในชีวิตมันทำร้ายเราอย่างเจ็บปวดสาหัส การได้หลบเลี่ยงเข้ามายังใน โลกของวิดีโอเกม คือหนึ่งในประสบการณ์ที่มันมีความแตกต่างอย่างมากในช่วงยุคปัจจุบัน
ยิ่งหากว่ามันเริ่มมีในสิ่งที่เรียกว่า 'ชุมชนผู้เล่นเกม (Videogames Communities)' แล้วด้วย ยิ่งเป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงและแสดงให้เห็นถึง 'มุมมอง' ที่มันเสมือนเป็นตัวสะท้อนไปยังการนำเสนอของวิดีโอเกมแต่ละเกม
การกระทำของผู้คนในสังคม
สะท้อนถึงสิ่งที่ถูกเก็บเอาไว้อยู่ลึก ๆ ในสัญชาตญาณของเรา
บ้างมาในรูปแบบของการอวดโฉม
บ้างมาในรูปแบบของการให้คำแนะนำ
บ้างมาในรูปแบบของการตั้งคำถาม
ในทุก ๆ ของรูปแบบนั้นล้วนแสดงถึงสิ่งเดียวกัน
วิวัฒนาการ (Evolution)
ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ณ ในช่วงเวลาปัจจุบันที่มันกำลังดำเนินอยู่ หากจะให้ผมแสดงความเห็นเกี่ยวกับมันก็คงจะหนีไม่พ้นที่จะไปพูดถึงเรื่องของ 'ความตื่นตระหนก' กับ 'อนาคตที่รังมีแต่จะสร้างความกังวลใจ' เพิ่มมากขึ้นในทุก ๆ วัน
อย่างไรเองแล้ว ผมในฐานะของมนุษย์คนหนึ่ง คงไม่อาจพูดได้เต็มปากว่าโลกมันจะถึง 'กาลอวสาน' ไปจริง ๆ เว้นแต่สิ่งเดียวที่ดูเหมือนมันจะดันกลายเป็นว่าความวิตกกังวลที่มัน เกินขอบเขต กว่าที่พวกเรารับรู้มากเกินไป ทำให้หลายครั้งเหตุการณ์เหล่านั้นมันมักจบลงด้วยการที่พวกเราต่างสาดในสิ่งที่เรียกว่า 'ข่าวร้าย' หรือ 'เรื่องร้าย' เข้าใส่กัน และแม้ต่อให้ผมจะไม่ต้องกล่าวหรือพูดถึงสิ่งเหล่านี้ หรือยกเอาตัวอย่างเหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้น ผมเชื่อว่าทุกคนคงมองเห็นถึงเรื่องพวกนี้แล้วไปตั้งแต่ต้น
ทว่าเช่นเคย ผมคงจะข้ามถึงรายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งที่มันอาจก่อเกิดเป็น ประเด็นใหญ่โต เพื่อให้ผู้คนมานั่งถกเถียงกันและกัน
'สงคราม' ในโลกวิดีโอเกม อาจเป็นเพียงสิ่งสมมุติ
ถูกสร้างเพื่อสะท้อนถึง 'ความเป็นไปได้'
หากเมื่อโลก
ประเทศชาติ
หรือแม้แต่กับ 'ความขัดแย้ง' มันได้ลุกลามใหญ่โต
เหมือนเชื้อไฟที่แผดเผาทุกสิ่งจนไหม้เป็นจุล
น่าเสียดายที่ในโลกของความเป็นจริง
พวกเรากลับเป็นเพียงแค่ 'ชีวิตหนึ่ง'
ถูกทำให้กลายเป็น 'เครื่องมือ'
มากกว่า 'ตัวปัจเจกบุคคล' ที่ผู้คนทั้งหมดจะยอมรับ
---------------------------------------------------
เรื่องราวของสงครามนั้นเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย มากพอ ๆ กับการเติบโตของ โซเชียลมีเดีย ที่อาจเสมือนเป็นเพียง 'จุดเริ่มต้นเล็ก ๆ' ของความขัดแย้งที่มันอาจบานปลายไปสู่อนาคตที่นำพาสิ่งที่เราไม่อาจจินตนาการถึง
แม้ผมจะไม่ได้ยุ่งย่ามในส่วนนั้นมากเท่าเมื่อก่อน หากแต่การได้ยิน ได้เห็น หรือแม้แต่ฟังข่าวสารต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ความรุนแรงอันไร้ที่มาที่ไปอย่างชัดเจน หรือแม้แต่การได้เห็นเหล่าผู้คนต่างแสดงออกถึงความคิดอันรุนแรงที่คาดหวังเพื่อให้ทางรัฐบาลตอบโต้ด้วยวิธีการอันสุดโต่งให้ได้มากที่สุด หลายครั้งแม้มันจะเป็นเพียง 'ความคิดเห็น' จากผู้คนที่อยู่นอกพื้นที่ไปก็จริง หากแต่สิ่งเหล่านั้นกลับไม่ต่างอะไรจากการที่เรา 'เผยแพร่' ความเกลียดชังเข้าใส่กันโดยที่เราไม่รู้ตัว
ผมยังคงยืนกรานอยู่เสมอว่า สงคราม ไม่ใช่เรื่องสนุก
ประวัติศาสตร์ ของมันค่อนข้างน่าหดหู่ และชวนให้ขบคิดถึงเรื่องราวที่มันเกิดขึ้นในปัจจุบันว่า อะไรคือสาเหตุของเรื่องราวทั้งหมด และ มีอะไรบ้างที่เราสามารถทำได้ เพื่อไม่ให้มัน ซ้ำรอย เหมือนกับที่ผ่าน ๆ มา
ผมคงไม่อาจขอออกความเห็น ณ เรื่องราวตรงนี้ หากแต่สิ่งเดียวที่ผมพูดได้ คงมีแต่แค่ 'ตระหนัก' และ 'เรียนรู้' ถึง ความหลากหลาย ไม่ว่าจะด้วยเรื่องใด ๆ ก็ตามที่มันเกิดขึ้นหรือเปลี่ยนแปลงไป
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น