จริตธรรมในงานศิลปะ และการมาถึงสิ่งที่เรียกว่า 'ปัญญาประดิษฐ์' (Artist & A..[I]..t)
Greetings, Wanderers.
ถือเป็นระยะเวลามาเนิ่นนานที่เราไม่ได้พบหน้ากัน แน่นอนว่าที่จริงแล้วผมประสบกับปัญหาบางอย่างก่อนหน้านี้ที่ไม่ได้ออกมาแจ้งถึง การหายไป ของตัวผมเองสักเท่าไหร่
อย่างไรก็ตาม ผมยังคงวนเวียนอยู่ในโลกแห่งนี้เสมอ ยังไม่ได้หายไปไหน เว้นแต่เพียงหลบเลี่ยงจาก 'ความวุ่นวายที่แสนยุ่งเหยิง' ภายใต้สถานการณ์ที่มันเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดที่เรียกว่ามันมีผลกระทบต่อชีวิตของเราไปมากพอสมควร
ที่จริงเอง นี่ก็เป็นระยะเวลานานแล้วสักพักใหญ่ที่ผมไม่ได้เข้ามาเปิดประเดิมถึงประเด็นหัวข้ออะไรต่าง ๆ นานาเยอะมากเลย หากจะให้ย้อนกลับไปยังเมื่อสองเดือนก่อนหน้านี้ หรือแม้แต่ในเดือนที่แล้วกับเหตุการณ์ระทึกขวัญครั้งใหญ่ (ที่นาน ๆ ทีจะเกิดขึ้น) ซึ่งมันสะท้อนให้ผมมองเห็นถึงมุมมองบางอย่างที่มันชัดเจนเสียจนผมไม่อาจปฏิเสธได้ว่าในช่วงระยะหลัง ผมค่อนข้างเบื่อหน่ายกับ 'ความเกลียดชัง' ที่มีอยู่ในตัวเองมากเกินไปจนเต็มที
มันไม่เคยช่วยอะไรให้ดีขึ้นเลยสักนิดเดียว
อย่างไรเอง ไม่แน่ว่าผมอาจต้องเป็น 'จิตแพทย์' ให้กับตัวผมเองแล้วก็เป็นได้
All right, let's get into it, should we? :)
ก่อนอื่น ผมอาจจะต้องขอพูดเอาไว้ล่วงหน้าสักเล็กน้อยว่าผมยังคงให้ความสำคัญกับเรื่องของ 'มุมมองทางศิลปะ' และมีความเคารพรักต่อสิ่งเหล่านั้นในฐานะของการที่มันช่วยเปิดคลังความรู้เป็นจำนวนมากให้กับตัวเอง
ข้อดีอย่างหนึ่งของการเรียนรู้เรื่องทางศิลปะ มันไม่เพียงแต่สร้างความจรรโลงใจแก่ตัวผู้เสพศิลป์ ทว่ามันยังช่วยเปิดกว้างถึงความเป็นไปได้ในทางสาขาอาชีพอื่น ๆ ชนิดที่ว่าเราอาจคาดไม่ถึง ตลอดระยะเวลาตั้งแต่อดีตยันปัจจุบัน วงการงานศิลปะนั้นมีการพัฒนาตัวเองขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ณ เวลาช่วงหนึ่งของผู้ที่เป็นศิลปินในการทำงานชิ้น ๆ อย่างหลังคดหลังแข็ง พวกเขาเองต่างถูกมองว่าไม่ต่างอะไรจาก 'สังคมชนชั้นล่าง' ซึ่งแน่นอนว่าจนถึง ณ เวลาตอนนี้ แนวคิดเช่นนี้ก็ยังคงมีให้เห็นกันอยู่... ขึ้นกับสังคมและสภาพแวดล้อมในพื้นที่แห่งนั้น
หากแต่อย่างไรเอง ในปี ค.ศ.2025 หรืออาจจะตั้งแต่ในช่วงเมื่อไม่กี่ปีให้หลัง การมาถึงของสิ่งที่เรียกว่า 'เทคโนโลยี' มันได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของเราในระยะเวลาที่มากขึ้น ไม่ใช่กับแค่การทำงานของเรา แต่ยังรวมไปถึงการใช้ชีวิตของแต่ละคนที่ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนต้อง 'พึ่งพา' มันมากขึ้นกว่าแต่ก่อน
แน่นอนว่าตรงจุดนี้ถือว่าไม่ใช่สิ่งที่แย่ กลับกันมันเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ สำหรับผู้ที่เติบโตมาในยุคสมัยช่วงคาบเกี่ยวระหว่าง Generation Millennial (Gen Y) กับ Generation Zoomer (Gen Z)
และใช่ เผื่อว่านี่อาจจะเป็นข้อมูลให้ได้รับรู้ถึงตัวผมไม่มากก็น้อย
ผมเกิด... และเติบโตในยุคทองของเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ต
:)
หากแต่อย่างไรเอง ผมอาจต้องออกตัวสักหน่อยว่าช่วงยุคก่อนปี 2000 นั้นถือว่าเป็นเวลาที่ค่อนข้างเลือนรางมากไปสักหน่อย และดูเหมือนว่ามันออกจะพร่ามัวไปมากกว่าเดิม เมื่อผมได้มาเรียนรู้ถึงประวัติศาสตร์เบื้องหลังของมันไปอีกทีนึง
เทคโนโลยีของสิ่งที่เรียกว่า 'ปัญญาประดิษฐ์' ถือเป็นสิ่งใหม่ที่มนุษย์ไม่เคยพบเจอ แม้ว่าในความเป็นจริงสิ่งเหล่านี้มันถูกต่อยอดและสร้างขึ้นมาในระยะเวลาค่อนข้างนานมากไปเองก็ตาม หากแต่สิ่ง ๆ นี้มันเริ่มเป็นสิ่งที่น่าตั้งคำถามมากขึ้นถึงในเรื่องของ 'เสรีภาพ' ประกอบเข้ากับ 'จริตธรรมของเทคโนโลยี' อันเป็นสิ่งที่เหมือนว่ามันทำให้ใครหลาย ๆ คนในวงการเทคโนโลยีเริ่มแสดงความกังวลเกี่ยวกับมันในจำนวนที่มากขึ้น
เห็นได้ชัดมากที่สุด นั่นคือกรณีเรื่องของงานประเภทที่เรียกว่า AI Generated หรือ 'เอไอ อาร์ต' ที่ถือว่านี่เป็นหัวข้อที่ผมเชื่อว่าไม่ว่าใครก็ตามแต่คงจะสังเกตเห็นถึงสิ่งนี้กระจายกันทั่วโลกอินเตอร์เน็ตไปไม่มากก็น้อย
(Reddit Post has everything (or not))
ผมเองก็คงเป็นหนึ่งในนั้น ภายหลังจากที่ได้พยายามในการค้นหาข้อมูล พร้อมทั้งได้อ่านถึงความเห็นจากผู้คนทั้งสองฝั่ง และไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรใด ๆ ก็ตาม ในส่วนของการ 'เลือกข้าง' นั้น ผมจะไม่ขอออกตัวมากในเรื่องตรงนี้
เพราะอย่างไร คุณคงเข้าใจดีแล้วว่าผมอยู่ฝั่งข้างไหนมาตั้งแต่ต้น ;)
แต่อย่างไรเอง นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่ว่าตัวผมเองจะไม่เปิดรับความคิดเห็นหรือมุมมองของฝั่งผู้ที่เขาเห็นต่างไปจากเรา และแน่นอนว่าถึงแม้ในมุมมองของผู้ที่เป็นทั้ง 'ผู้สร้าง' และ 'ผู้เสพ' งานประเภทศิลปะมาเป็นระยะเวลานาน ผมคิดว่าคำถามที่มันสำคัญมากที่สุด ที่ผมอยากจะถามไปถึงไม่ว่าใครก็ตามแต่เองแล้วนั้น
"คุณค่า" ของงานศิลปะคืออะไร?
หากนิยามของ 'ศิลปะ = การลงมือทำด้วยตัวเอง' เช่นนั้นแล้วการใช้อุปกรณ์หรือ 'เครื่องทุ่นแรง' ที่เรียกว่าเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ นั่นจะถือเรียกว่าเป็น 'ศิลปะ' ได้หรือไม่?
มุมมองของความเป็นงานศิลป์ ในยุคปัจจุบันนี้ของพวกคุณมันยังคงเปลี่ยนหรือคงเดิม เมื่อการเข้ามาถึงเทคโนโลยี (คอมพิวเตอร์กราฟฟิก, AI Generated) ได้มาเป็น 'ส่วนหนึ่ง' ในชีวิตของพวกคุณ
.
.
.
หลักการของการสร้างสรรค์ผลงานใดผลงานหนึ่ง ยังคงมีความจำเป็นอยู่หรือไม่ในตอนนี้?
ในส่วนของเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับการงานสร้างสรรค์ มันเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากที่ผมคิดว่าเราควรให้เวลากับเรื่องของ 'กระบวนการ' และ 'การสั่งสมประสบการณ์' ซึ่งมันคือส่วนที่จำเป็นมากที่สุด เพราะว่านั่นถือเป็นการเติมเต็มความอิ่มเอมทางใจให้กับมนุษย์
พวกเราต่างถูกยึดโยงเข้าหากันผ่านการรังสรรค์สิ่งเหล่านี้ขึ้น และมันไม่ได้ถูกกำหนดกรอบเพียงแต่ในแง่ของงานวาดเขียน ทว่ายังหมายรวมไปถึงเรื่องของวัฒนธรรม การแสดงออกทางภายนอก หรือแม้แต่การห่วงแหนในเรื่องของ 'ภาพลักษณ์' ทางสังคม (ซึ่งมันเป็นเหตุผลที่ทำไมเราถึงต้องเลือกเสื้อผ้าในการออกไปยังสถานที่ต่าง ๆ หรือแม้แต่การพูดถึงสิ่งที่มันเกี่ยวข้องกับ ก า ล เ ท ศ ะ)
ใช่ แง่มุมหนึ่งแล้ว พวกสิ่งเหล่านี้อาจไม่ได้ส่งผลอะไรมากต่อการอาศัยอยู่ของพวกเรา หากแต่ในสังคมสาธารณะแล้วนั้น การแสดงออก ถือเป็นสิ่งหนึ่งที่มันเป็นเหตุผลสำคัญที่ว่าทำไม 'งานศิลปะ' ยังคงมีความจำเป็นที่มันต้องเกิดขึ้น มันเป็นไปไม่ได้เลยที่การมาถึงของ 'ปัญญาประดิษฐ์' จะสามารถเข้ามาแทนที่พวกเราไปเสียทุกอย่างได้หมด และแม้แต่ต่อให้เป็นงานชิ้นเล็ก ๆ ที่เราสามารถใช้เครื่องจักรเป็น 'สิ่งทุ่นแรง' ได้ก็จริง ทว่าในท้ายที่สุด การลงมือทำอะไรสักอย่างด้วยมือของตัวเอง ยังคงถือเป็นสิ่งสำคัญที่มันเป็น แรงขับเคลื่อน เพื่อให้เราต้องมีการพัฒนาตัวเองไปอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ครั้นเมื่อการพึ่งพาตัวเอง กลับกลายเป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำต่อเนื่องไปได้ตลอดเวลา ดังนั้นแล้วสิ่งที่มนุษย์ได้คิดค้นขึ้น ก็ย่อมต้องมีการสร้างขึ้นมาเพื่อขยายขอบเขตในความรู้ของตัวเอง และนั่นหมายรวมไปถึง 'มุมมองด้านงานศิลปะ' เองก็ด้วยเช่นกัน
Fuck to anyone said 'AI would takeover our job.'
Humans have 'value' more than it.
(And that's why you need to acknowledge this too.)
ทว่าเพื่อความเป็นธรรมแก่เหล่าของผู้ที่เสพสมในตัวของงานสร้างสรรค์ที่ไม่ผ่านจาก 'มือมนุษย์' ไปแล้ว ผมเองก็จะขอพูดถึงในส่วนนี้ด้วยเช่นกัน
ความน่าทึ่งอย่างหนึ่งของเทคโนโลยี นั่นคือในบางครั้งพวกมันสามารถที่จะ 'จุดประกาย' ในความคิดสร้างสรรค์ที่มันไม่ได้ผ่านกระบวนการในเรื่องของการสั่งสมประสบการณ์ + ความรู้ที่ตัวเองมี หากแต่บางครั้งมันก็เป็นผลพวงมาจากการที่เราเติบโตอยู่ในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน
ณ ยุค ๆ หนึ่ง สิ่งที่เรียกว่า 'หนังสือ' ถือเป็นสิ่งที่มอมเมาเยาวชนในระดับที่มากพอ ๆ กับสมาร์ทโฟน
ณ ยุค ๆ หนึ่ง พวกเราต่างเข้าไปในสถานที่ ๆ เรียกว่า 'ห้องแชท' ที่สร้างขึ้นจากตัวโปรแกรมที่เรียกว่า MSN หรือ Skype
ณ ยุค ๆ หนึ่ง ก่อนการมาถึงของโซเชียลมีเดีย มันยังมีสิ่งที่เรียกว่า 'บอร์ดชุมชน (Community Board)' อยู่
เพื่อที่จะให้เห็นภาพชัดเจนไปมากกว่านั้น ผมอาจจะยกตัวอย่างง่าย ๆ ถึงสังคมของเหล่าผู้เล่นเกม (ซึ่งแน่นอนว่ามันรวมเข้าไปในส่วนของหัวข้อ Fandom ที่ผมเคยพูดไปเมื่อหลายวันก่อนหน้านี้)
เจ้าสิ่งเหล่านี้เองมันถูกสร้างขึ้นจากมือของมนุษย์ผู้ชื่นชอบในบางสิ่งบางอย่าง หาใช่มันก่อเกิดขึ้นจากตัวของเหล่าปัญญาประดิษฐ์ ผู้คนที่สนใจในส่วนนี้ล้วนแต่ต้องการในการพยายามทดสอบขีดความสามารถของสิ่งที่พวกเขาสร้างขึ้น และได้พบว่ากระบวนการพัฒนาของเทคโนโลยี 'ปัญญาประดิษฐ์' มันได้มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงในมุมของที่มนุษย์เรายากยิ่งที่จะรับรู้ได้
ผมออกตัวว่าตัวเองยังคงรู้สึก 'อึ้ง' อยู่เสมอ เมื่อได้เห็นถึงสิ่งที่ปัญญาประดิษฐ์มันได้แสดงออกมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรใด ๆ ก็ตาม ซึ่งส่วนมากแล้วสิ่งเหล่านี้มันล้วนต้องผ่านการขัดเกลามาอีกรอบหนึ่งจากฝีมือของ 'มนุษย์' ไปอีกที ทว่าสิ่งเดียวที่เหมือนผมจะติดขัดใจเล็กน้อย นั่นคือแม้ว่าสิ่งที่พวกมันสร้างขึ้น (จากบรรดาข้อมูลนับอนันต์ในดิจิทัล) จะดูเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ยากยิ่งไปก็ตาม
แต่นั่นไม่ได้แปลว่า 'มัน' จะสมบูรณ์แบบไปทั้งหมด
'ผลลัพท์ (Result)' ที่ออกมาโดยมากแม้มันจะล้วนสร้างความพึงพอใจให้ก็จริง หากแต่ส่วนหนึ่งที่มันกลับขาดไปนั่นคือ 'ความเอาใจใส่ (Attractive)' และ 'เสน่ห์ (Charming)' ที่เหมือนว่าสิ่งเหล่านี้มันกลับกลายเป็นเพียง 'เปลือกชั้นนอก' ที่ไม่อาจสัมผัสได้ถึงการพยายามในการหาทางที่จะทำไป 'นอกเหนือ' ขอบเขตความรู้ดั้งเดิมที่ถูกจำกัดเอาไว้
AI Generated คือสิ่งที่สามารถคาดเดาได้ ขอเพียงแค่คุณสามารถเข้าใจวิธีการป้อนคำสั่งเข้าไป ซึ่งหลายครั้งผู้ใช้งานเองกลับไม่ได้เข้าใจถึง 'กระบวนการ' ที่มันซ่อนอยู่ภายใต้ของคำสั่งที่ถูกป้อนไปตรงนั้น
ศาสตร์ความรู้ในทุกแขนง ย่อมมีสิ่งที่เรียกว่า 'พื้นฐาน (Basic)'
การทำความเข้าใจในพื้นฐาน คือ 'จุดเริ่มแรก' ที่ทำให้ความรู้นั้นมันได้ถูกต่อยอดออกไปในรูปแบบที่ขยายขอบเขตของมันไปให้มากกว่าเดิม
และ 'ศิลปะ (Art)' ก็ไม่มีข้อยกเว้น ณ ตรงนั้น
มนุษย์เองก็ไม่ต่างกัน แม้ความรู้ชุดใหม่ ๆ ในปัจจุบันจะผุดขึ้นมาในจำนวนมากมาย ทว่าในท้ายที่สุด ผู้คนจะหันกลับมามองถึงสิ่งที่มันเป็น 'ชุดพื้นฐาน' มากที่สุดโดยเสมอ เพื่อที่จะพยายามทำความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งที่มันถูกรังสรรค์ออกมาในปัจจุบัน
หากปราศจากซึ่งหลักพื้นฐาน ก็คงไม่ต่างอะไรจากการที่เราหลงลืมใน 'สัญชาตญาณ' และ 'สามัญสำนึก' ของเรา
ข้างหน้าที่เรามองเห็นคือเพลิงที่แผดเผาพวกเราไป คือ 'ความเจ็บปวด' ที่ไม่ว่าใครต่างก็ล้วนต้องเจอกับมันอยู่ตลอดเวลา อันที่จริงเอง ผมค่อนข้างใช้เวลาในการสังเกตถึงสิ่งต่าง ๆ มากมายเป็นระยะเวลานาน และสำหรับในส่วนของงานสร้างสรรค์ โดยมากมักถูกยึดโยงกับแนวคิดของการ 'หลบหนี' หรือไม่ก็เป็น 'เผชิญหน้า' บ้างก็เป็นไปในส่วนของการพยายาม 'ปลอบประโยน' จนกระทั่งหมายรวมไปถึงการ 'ฉุดรั้งให้ดำดิ่ง' และ 'ตั้งคำถาม' ถึงสิ่งที่มันยังคงเป็น ค่านิยม ที่มันไม่เคยจะได้นำมาใช้พิจารณา
นั่นเป็นสิ่งที่ 'ปัญญาประดิษฐ์' ไม่อาจเข้าถึง พวกมันไม่ได้เข้าใจถึงการพยายามหลบเลี่ยงตัวเองออกจากสิ่งที่ตัวมันเป็นอยู่ และดูเหมือนว่ามันเองจะไม่เคยมีการพัฒนาตัวตนในรูปแบบที่ตัวเองเป็น ทว่าเสมือนพยายามที่จะยืนอยู่ในขั้วตรงกลางอยู่เสมอ
ซึ่งแน่นอนว่าทั้งหมดอาจเป็นผลพวงจากการที่ผู้สร้างต้องการใช้มันเพื่อ 'ควบคุมพฤติกรรม' ของปัญญาประดิษฐ์ กีดกั้นไม่ให้เหล่ามนุษย์ผู้ไม่หวังดีในการใช้มันเพื่อเอาผลประโยชน์เข้าตัวเอง ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาใหญ่ที่มันจะไม่ได้เป็นแค่เรื่องของ AI Generated Art อย่างเดียว แต่อาจหมายถึงการพยายามเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์เพื่อกระทำการ 'บางอย่าง' เกี่ยวกับไฟล์ข้อมูลในเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา
ซ้ำร้ายกว่า นั่นอาจหมายถึงมันกลายเป็น 'เจ้าของสมอง' ของเราไปเสียแล้วก็เป็นได้
you can't fix her (literally)
ทว่ากว่าจะถึงช่วงเวลานั้น ตอนนี้สิ่งที่เราทำได้ในฐานะของศิลปิน สิ่งที่มันสำคัญมากที่สุดคือการเตรียมพร้อมรับมือกับมัน ประกอบกันกับสร้าง 'จุดยืน' ในผลงานของตัวเองที่มันชัดเจนและไม่ได้ 'หลุดกรอบ' ไปจากสิ่งที่ตัวเองเป็น
บรรดางานเขียนเป็นจำนวนมากที่ผมสร้างสรรค์ขึ้น ทุกอย่างและทั้งหมดที่รวมไปถึงงานสร้างสรรค์เหล่านี้ล้วนมี 'แรงบันดาลใจเบื้องหลัง' ซ่อนเอาไว้อยู่แทบจะในทั้งหมด และแน่นอนว่างานเหล่านี้แม้จะไม่ได้สร้างคุณค่าในรูปแบบของเม็ดเงิน แต่ในแง่มุมของการแสดงออกถึง 'ความเป็นมนุษย์' ที่มันไม่ได้ผ่านการปรุงแต่งและมีการ 'ประดิษฐ์ประดอย' คำให้ดูสวยหรู ทว่ามันกลับคือ 'ความดิบเถื่อน' อันแสนโสมมและโสโครกที่ยากยิ่งจะมองมันให้มันดูเหมือนกับเป็น 'ศิลปะ' ที่ถูกสร้างมาเพื่อความจรรโลงใจ
น่าเสียดายที่ผมคงไม่อาจสร้างในสิ่งที่ 'สังคม' อยากให้เป็นได้
เว้นแต่ว่าคุณจะเป็นมนุษย์ประเภทที่ชื่นชอบเห็นความโหดร้าย
(ในรูปแบบที่ไม่ 'รุนแรง' เกินไป และไม่ใช่อะไรที่มัน 'ประเจิดประเจ้อ' มากจนเข้าขั้นเรียกว่าหยาบโลน)
เช่นเดียวกับบทความชิ้นนี้ แน่นอนว่าผมเองคงไม่มีความจำเป็นต้องใช้เวลาในการพูดถึงมันให้มันยาวเหยียด นอกเสียจากแสดงความเห็นในมุมมองของผู้ที่พยายามกรีดเลือดตัวเอง และเรียงร้อยทุกอย่างผ่านการพิมพ์ (หรือเขียน) ลงไปในแผ่นกระดาษ แล้วเขียนเป็นคำโต ๆ ว่า
ควย หน้าหี และไอ้สัส
แน่นอนว่ามันเป็นเพียงแค่ 'คำพูด' ที่ปราศจากซึ่งการคงไว้ในภาพลักษณ์ของตัวเอง
'ความหยาบโลน' ถือเป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์ มันคือการแสดงออกอย่างรุนแรงและก้าวร้าวที่เป็นไปไม่ได้ที่เราจะสะกดกลั้นเอาไว้ และผมค่อนข้างที่จะพูดได้ว่าสิ่งเหล่านี้มันคืออะไรก็ตามแต่ที่มันฝังเอาไว้อยู่ในสายเลือดของเราทุกคน (ที่เหลือคือสังคมรอบข้าง + สภาพแวดล้อมที่มันหล่อหลอมเราขึ้นมา)
คุณอาจจะไม่รู้ว่าแท้จริงแล้ว ตัวตนดั้งเดิมของผมนั้นค่อนข้างที่จะเป็นพวกที่มีความวิตกกังวลมากในระดับหนึ่ง และหลายครั้งผมพยายามที่จะสลัดเอาสิ่งนั้นออกไป จนกว่าที่จะรู้ตัวอีกทีนึงมันกลับกลายเป็นสิ่งที่ผมเกลียดชังไป ซึ่งเป็นเพราะว่ามันดันไป 'สะท้อนภาพ' ในอดีตที่ตัวผมเองเคยเป็น
ผม 'หงุดหงิด (Edgy)' และเต็มไปด้วยความรู้สึกอันท่วมท้นอย่างรุนแรง และนั่นอาจจะเข้าขั้นที่อาจทำให้คนบางกลุ่มดึงตัวตนของผมเข้าไปยังในหมวดของ 'ชายแท้' ได้ เมื่อพวกเขารู้ว่าผมสนุกกับมุกตลก Racist ในครั้งเมื่อที่ผมยังไม่ได้เติบโตและผ่านโลกมามากมาย
Don't worry, we're here.
Just like 'you' and 'me', isn't it?
ผมว่าเราคงมาไกลจากเรื่องของปัญญาประดิษฐ์ และงานเอไอมามากแล้ว...
อย่าได้ห่วงไป ผมยังคงไม่ได้หยุดในการสร้างสรรค์สิ่งเหล่านี้ ตราบเท่าที่มันยังคงมีใครก็ตามที่ยังตามอ่านและติดตามสิ่ง ๆ นี้อยู่ ไม่ว่าจะด้วยในแง่ของงานเขียนก็ดี หรือแม้แต่การ 'ฝอย' ถึงเรื่องราวต่าง ๆ ในโลกอินเตอร์เน็ตที่มันชวนให้ตั้งคำถามอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น