[ตกผลึกทางความคิดผ่านโลกวิดีโอเกม Ep.4] ความแตกต่างระหว่าง "หนัง" กับ "เกม" และเส้นคั่นบาง ๆ ที่กั้นไว้ระหว่างทั้งสอง (The Stanley Parable & Walking Simulator Games)
Adore it from the first purchase.
"เกมแรกที่คุณควักเงินซื้อในสตีมคือเกมอะไร?" แน่นอนว่าคำตอบนั้นคงขึ้นอยู่กับ 'ปัจเจกบุคคล' ตามแต่ที่กำลังทรัพย์ หรือรสนิยมในความปรารถนานั้นต้องการ
อย่างไรเสียเองก็ตาม เรื่องหนึ่งที่ดูเหมือนมันจะสลักสำคัญมากกว่าที่ว่ามันคือเกมอะไร ก็คงเป็นคำถามที่ว่า "อะไรคือสิ่งดลบันดาลใจถึงทำให้คุณยอมซื้อมัน"
การพยายามคาดหวังถึงสิ่งที่ได้รับ โดยมากมักจะค่อย ๆ แปรเปลี่ยนกลายเป็น 'ความผิดหวัง' เมื่อสิ่ง ๆ นั้นกลับไม่เป็นไปอย่างที่ใจต้องการ หากแต่อย่างไรเองเมื่อเราลองค่อย ๆ ลดความคาดหวังของตัวเองลงและดื่มด่ำไปกับการสนุกไปกับสิ่งที่ตัวเกมมันนำเสนอออกมา มันก็ช่วยขยายขอบเขตในความต้องการของเราออกไปไกลมากกว่าเกมที่เราเคยชอบหรือหลงรัก
และมันก็เป็นกรณีเดียวกันกับที่ผมได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของมัน 'The Stanley Parable' หนึ่งในเกมแนวอินดี้ ผู้มีจุดกำเนิดขึ้นจากม็อดตัวหนึ่งของ Half Life 2
This is the story of a man named 'Stanley'
ความทรงจำจากเมื่อครั้งวันวานที่ผมมีสำหรับการเป็น 'สแตนลีย์' นั้น ค่อนข้างเป็นสิ่งที่มันแปลกใหม่มากในช่วงแรกเริ่ม ทว่ามันก็เป็นเพียงแค่ 'ผิวเผิน' ที่ดูเหมือนเป็นเพียงเพราะผมกลับถูกใจในการนำเสนอ + รู้จักเกี่ยวกับเกมที่เรียกว่า Walking Simulator เป็นครั้งแรกก็ในเวลาช่วงนี้
เรื่องราวของตัวเกมนั้นถูกเล่าและบรรยายโดย 'ผู้บรรยาย (Narrator)' ผ่านการกระทำแต่ละอย่างที่มันเกิดขึ้นโดยตัวผู้เล่นเอง ผ่านตัวตนของ 'สแตนลีย์' ที่ถูกจัดให้เป็นตัวละครผู้ที่ทำหน้าที่ไม่ต่างอะไรจาก 'เครื่องจักรกล' แน่นอนว่าผิวเผินของเขาแล้วอาจดูไม่แตกต่างไปจากการที่ตัวเขานั้นกำลังถูกควบคุมอยู่ (ผ่านการเล่น) และไม่อาจรับรู้หรือแสดงออกอะไรได้นอกจากทำไปตามสิ่งที่ผู้เล่นต้องการเพียงอย่างเดียว
The Stanley Parable ไม่ใช่เกมที่มีฉากน่ากลัว ความน่ากลัวและน่าหวาดหวั่นเพียงอย่างเดียวสำหรับเกมนี้ คือการตั้งคำถามถึง 'อัตถิภาวนิยม (Existentialism)' ตัวตนของเรา (ผู้เล่น & ตัวละคร) พร้อมกับสร้างความฉงนและปริศนาธรรมบางอย่างที่เราอาจไม่เคยคาดคิดหรือได้นึกถึงมัน
"We have our philosophy, but what is a 'truthiest' philosophy?"
การตามหาสิ่งที่เรียกว่า 'ความเป็นจริงแท้' อาจดูเป็นสิ่งที่มันพร่าเลือนหายไป เมื่อสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเริ่มผลักดันให้เราต้องดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด เพื่อให้เราใช้ชีวิตอยู่โดยคาดหวังว่าเราจะไม่ตาย เจ็บปวด หรือทนทุกข์ทรมานกับสิ่งที่เราต้องเจอในแต่ละวัน ๆ
เช่นเดียวเองกับอีกหลาย ๆ คน การพยายามตื่นนอนขึ้นมาพร้อมกับความคิดในเรื่องนี้ดูเหมือนมันดันแฝงตัวเข้ามากับการที่ผมพยายามที่จะหวนนึกถึงยามค่ำคืนของเมื่อวาน ไม่รู้ว่าทั้งหมดทั้งมวลเหล่านั้น มันเป็นเพราะผมมีความคิดที่แปลกแยกมากเกินไป หรือเป็นเพราะว่าผมไม่ได้ตั้งใจเรียกร้องเพื่อให้ตัวเอง 'เกิด' และ 'เติบโต' ขึ้นมา จนในท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่ทำได้ก็มีแต่เพียงต้องดิ้นรนในวิธีการเพื่อทำให้ตัวของผมเองไม่เศร้ากับชีวิตมากเกินไปจนมองอะไรก็ไม่รู้สึก 'สนุก' อีกต่อไปแล้ว...
อย่างไรเอง The Stanley Parable กลับไม่ใช่เกมที่มันทำหน้าที่ตัดสินตัวของผู้เล่นหรือความคิดอะไรใด ๆ กลับกันมันคือเกมที่นำเสนอหลายสิ่งหลายอย่าง พร้อมทั้งชวนให้ตั้งแง่คิดและคำถามเพื่อให้ผู้เล่นได้ทบทวนถึง 'ตัวตน' และ 'การตัดสินใจ' ในรูปแบบของการพยายาม 'เสียดสี' ในทุกทางเลือก (ซึ่งอาจมีบางทางเลือกที่มันไม่มีแม้แต่เสียงของผู้บรรยายเลยก็ตาม) แน่นอนว่าความเงียบงันชวนน่าอึดอัดเช่นนี้ เกมที่ไม่มีแม้แต่ไกด์นำทางเพื่อบอกให้คุณไปยัง ณ แห่งหนไหน เทียบกันแล้วนั่นคงไม่ต่างอะไรจาก 'เด็กในวัยเยาว์' ผู้ที่ถูกโยนเข้าสู่ 'โลกแห่งความเป็นจริง' ที่ไม่มีสิ่งไหนถูกต้องหรือผิดพลาดไปอย่างถาวร
พวกเราต่างคือ 'สแตนลีย์'
ใช้ชีวิตอยู่ในลูปของการเอาชีวิตรอด
โดยมีผู้บรรยายคือ 'เสียงความคิด (Inner Voice)' ภายในหัว
ผมหวังว่าคงไม่มีใครที่อ่านมาถึงตรงนี้
คิดในเรื่องของ 'เสียงในหัว' ตัวเองหรอก จริงไหม?
อาจเป็นการพูดที่แปลกประหลาดมากเกินไปเสียหน่อย และดูแล้วมันคงจะเป็นสิ่งที่ Out of Place อย่างมาก ถ้าผมจะบอกว่าตลอดในทุกครั้งของการพยายามเพื่อจะเขียนหรือบรรยายถึงสิ่งต่าง ๆ ออกมานั้น เสียงในความคิดของผมมักจะไปไกลมากกว่าที่นิ้วมือของผมจะกดแป้นพิมพ์ลงไปได้เร็วกว่าเสมอ
แรกเริ่มเจ้าสิ่งนี้มันค่อนข้างสะเปะสะปะ หากแต่เมื่อใดที่ผมเลือกที่จะหยุดอยู่นิ่ง ๆ ผมจะได้ยินเสียงของมันอยู่เสมอ ทำงานไปพร้อมกับการจินตนาการถึง 'สิ่งที่ย่ำแย่ที่สุด' ที่อาจเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจากตัวผมหรือคนรอบข้างของผมเอง
เฉกเช่นเดียวกับตัวของสแตนลีย์ เป็นเรื่องยากที่เขาจะเข้าใจถึงความต้องการของเขา หรือแม้แต่กับการมองหาเรื่องราวเบื้องหลังของมัน The Stanley Parable ไม่ใช่เกมที่สร้างเพื่อทำเอากำไรผู้เล่น หากแต่มันเป็นการพยายามบอกถึงสิ่งที่ผู้เล่น ไม่คาดคิด ว่าพวกเขาจะได้เจออะไร และแน่นอนว่าต่อให้คุณพยายามที่จะหันไปดู Playthrough ใด ๆ มาก็ตามเอง หากแต่มันคงเป็นที่น่าเสียดายแย่ ถ้าหากคุณเลือกเพียงแต่ที่จะรอให้ใครสักคนพยายามอธิบายถึงมัน โดยที่คุณไม่พยายามที่จะ 'ตีความ' หรือ 'ทำความเข้าใจ' ในแบบของคุณเอง
โอ... เดี๋ยวนะ? ผมว่าผมลืมอะไรไปอย่าง
เรากำลังอยู่ในหัวข้อ 'ตกผลึกทางความคิดผ่านโลกวิดีโอเกม' กันใช่ไหม?
และดูท่าเป็นหัวข้อที่มันค่อนข้างยาวเสียด้วย...
That's enough.
หัวข้อสำหรับในครั้งนี้เกี่ยวเนื่องในเรื่องของ 'หนัง' และ 'เกม' ซึ่งทั้งสองอย่างกลับมีความแตกต่างกันในแง่ของวิธีการบริโภค ซึ่งในส่วนนี้ผมจะพูดถึงเรื่องของแนวเกม Walking Simulator เป็นหลัก
The Stanley Parable อาจไม่ใช่เกมแนว Walking Simulator เกมแรก เนื้อหาสาระที่มันนำเสนอออกมาก็อาจไม่ได้แปลกใหม่หากเทียบกับ Genre ของหนังบางเรื่องที่มีการสอดแทรกเนื้อหาทางปรัชญาอย่างน่าสนใจ พร้อมกันกับการตั้งคำถามกับคนดู ค่านิยมในสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป รวมไปถึงแสดงให้เห็นถึงประเด็นปัญหาบางอย่างที่ดูเป็นสิ่งเล็ก ๆ ที่ในเวลาต่อมามันได้ขยายใหญ่ จนกลายเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนยิ่งรู้สึก 'ห่างเหิน' กันไปมากกว่าเดิม
ในบรรดาเกมในคลังสตีมทั้งหมดที่ผมมี จำนวนของเกมแนว Walking Simulator มีสัดส่วนอยู่น้อย หากแต่ในแง่ของการนำเสนอนั้น สิ่งหนึ่งที่ดูเหมือนกับว่ามันจะสะกดใจให้ผมกลับไปเล่นนาน ๆ ครั้ง ก็มักจะเป็นช่วงเวลาที่ผมพยายาม 'ฉุกคิด' และ 'สร้างความตระหนักรู้' ให้กับตัวผมเอง แม้จะอยู่ในช่วงเวลาที่มันลำบากไปก็ตาม (อาจไม่ถึงขั้นแร้นแค้น และไม่ได้อยู่ในระดับที่มันต่ำลงไปยิ่งกว่า) อย่างไรก็ตามเอง สิ่งเหล่านี้กลับดูเหมือนมันเป็นสิ่งที่คนมีฐานะต่ำ ไม่แม้แต่จะสามารถที่จะทำเช่นนั้นได้
ณ ขณะที่เรากำลังสนทนาในสิ่งที่อยู่นอกขอบเขตทางความคิดของเราออกไป ยังคงมีผู้คนบางส่วนขะมักเขม้นกับการทำงานอย่างหนัก เพื่อที่จะส่งเสียตัวเองเรียนหรือทำงาน
ณ ขณะที่เราเปิดประเด็นคำถามทางปรัชญาหรือ 'อภิปรัชญา' ที่มักถูกมองเป็นสาขาที่ยากเกินกว่าจะหางานทำได้ ก็ยังมีผู้คนบางส่วนตัดสินใจในการทำงานทดลองวิทยาศาสตร์เพื่อหา 'คำตอบ' ที่ถูกต้องและสอดคล้องกับความเป็นจริง
"ความเป็นจริง" ที่เราไม่รู้ว่ามันคือด้านไหน และในแง่มุมอะไร
It's just a burn memory (or isn't it?)
ผมอาจไม่ใช่คนที่ดูหนังเยอะมากเท่าที่ควร หากเทียบกันกับคนที่เขาชื่นชอบในด้านนี้แบบจริง ๆ จัง ๆ และพยายามที่จะตีความทุกสิ่งอย่าง ชนิดที่เรียกได้ว่าหลายครั้งแล้วมันก็ทำให้ผมรู้สึก 'ทึ่ง' ในสิ่งที่เขาได้นำเสนอออกมา
'การตระหนักรู้' ถึงขีดความสามารถของตัวเอง ช่วยให้เราได้หันเหมาเพื่อโฟกัสกับสิ่งที่เราให้ความสนใจกับมันอย่างเต็มที่ มากกว่าที่จะปล่อยตัวเองออกไปเพื่อทำตามสิ่งที่สังคมกำหนด อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ได้แปลว่าบางทีแล้ว 'สังคม' เองก็จะเป็นส่วนผิดไปเสมอ อาจแต่มันก่อเกิดขึ้นจากการที่พวกเราไม่มี 'หลักแหล่ง' หรือขาดซึ่ง 'การคิดอย่างมีวิจารณญาณ (Critical Thinking)' มากพอในการหันมองไปถึงสิ่งที่เราเคยเชื่อมั่นและมันก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปในรูปแบบที่ไม่เหมือนเมื่อครั้งปัจจุบัน
พวกเราต่างจูงมือกันเดินไปสู่เส้นทางของ 'ความไม่แน่นอน (Uncertainty)' ที่พยายามปั่นหัวเพื่อให้เราใช้ชีวิตอย่างที่ต้องการ ทว่าในเวลาเดียวกันเองนั้น พวกเรากลับก็พยายามเปลี่ยนความหมายของ 'ความต้องการ (Desire)' กลายเป็นสิ่งวิเศษวิโสที่ตัวมันอาจเป็นสิ่งที่มีอยู่ในตัวเราไปตั้งแต่ทีแรก (และโดยมาก... เราจะไม่ได้หันไปมองสิ่งนั้น)
ผมคงจะไม่พูดว่าเพราะสังคมมันหล่อหลอมตัวผมเองทำให้เกิดสิ่งนี้ หากแต่ถ้ามีอะไรอย่างหนึ่งที่ผมยังพอสามารถวิจารณ์ได้อยู่ก็คงเป็นสิ่งที่เรียกว่า 'ความเป็นมนุษย์' ที่มันเองเริ่มลดน้อยถอยลงไป และหลายครั้งความเข้าใจของเราเกี่ยวกับคำว่า 'มนุษย์' นั้นยังคงคลาดเคลื่อนไปจากความหมายของมันจริง ๆ ไกลอยู่พอสมควร
อย่างไรเอง ผมคงเบื่อหน่ายเกินกว่าที่จะพูดถึงเรื่อง ๆ นี้เป็นร้อยหรือเป็นพันครั้ง เฉกเช่นกับการพยายามมองหาถึงเหตุผลเพื่อจะบอกว่า 'การตื่นรู้' นั้นมันมีสิ่งสำคัญอะไรบ้าง และอะไรคือ 'การตื่นรู้' ที่ดีและไม่ดี
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น