ความวุ่นวายของยุคโลกาภิวัตน์ และการตระหนักรู้ในความเป็นจริง
(Credit : Carlo Montie)
It's terrible day for rain
เป็นระยะเวลานานเกือบน่าจะสักหนึ่งสัปดาห์ได้ที่แม้ว่าผมจะผ่านพ้นช่วงเดือนมกราคมของปี 2025 มา หากแต่กระนั้นมันก็ยังมีสิ่งที่ชวนให้น่ากังวลใจอยู่มากในระดับหนึ่ง และมันอาจจะมากเพียงพอจนทำให้ผมอาจจำเป็นต้องมาพูดถึงเรื่องราวชวนน่าขบคิดกันเสียหน่อย
ทุกวันนี้คุณกำลังเสพติด 'เรื่องร้าย' โดยไม่รู้ตัวหรือเปล่า?
นี่อาจดูเหมือนเป็นคำถามปลายเปิดมากเกินไป หากเพียงแต่สาเหตุที่ผมพูดเรื่องนี้ขึ้นมา นั่นมันเกิดจากการที่มันมีเหตุการณ์ ๆ หนึ่งที่มันเริ่มต้นจากเพียงแค่การที่ผมได้ออกไปซื้อของข้างนอก และได้พบกับแม่ค้าคนหนึ่งเข้า พูดคุยกันสั้น ๆ เพียงไม่กี่ประโยคเกี่ยวกับเรื่องราวในท้องตลาด ที่เหมือนว่ามันชี้ให้เห็นชัดเจนถึง 'ความเปลี่ยนแปลง' บางอย่างไป ซึ่งสำหรับผมมันเป็นไม่กี่ครั้งเท่าไหร่ที่ตัวผมเองจะได้มีโอกาสคุยกับ 'คนแปลกหน้า' ท่ามกลางสภาพแวดล้อมนอกห้องทำงานของตัวเองที่มันดูเหมือนเป็น 'พื้นที่ปิด' สำหรับตัวผม
แน่นอนว่านี่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับหัวข้อคำถามที่ผมตั้งขึ้นมาเสียเท่าไหร่ เป็นเพียงแค่การ 'บอกเล่าเรื่องราวในชีวิตประจำวัน' ที่มันไม่ได้มีอะไรชวนน่าสลักสำคัญเสียนัก นอกเหนือไปจากเรื่องที่ว่าตลอดของการที่ผมมักจะตื่นเช้าขึ้นมาเพื่อทำธุระส่วนตัว ทุกครั้งของการได้ยินและมองเห็นสื่อข่าวที่มักนำเสนอเกี่ยวกับเรื่องของ 'ข่าวอาชญากรรม' ที่เกิดขึ้นเป็นรายวัน ไหนจะยังรวมไปถึงปัญหาต่าง ๆ รอบด้านของประเทศในดินแดนที่มันเรียกว่า 'ประเทศไทย' หรือ 'เอเชียอาคเนย์' ด้วยแล้ว สิ่งหนึ่งที่ผม (ไม่สิ เราทุกคน) มักจะมองเห็นและรับรู้อยู่ตลอดเวลา นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า 'ข่าวร้าย (Bad News)' หรือเรื่องราวชวนได้แต่ท้อแท้และเหนื่อยหน่ายใจกันแทบจะเป็นรายวัน
:: May contain sensitive words & topics ::
"ความรู้สึก" เปรียบเหมือนสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกับ 'ความเป็นจริง' ไปมากพอสมควร และในหลายครั้งแล้วสำหรับผู้ที่ยึดถือแต่เพียงความเป็นจริงและสิ่งที่อยู่ตรงหน้า มุมมองของสิ่งที่เรียกว่า 'ภาวะซึมเศร้า (Depression)' นั้นสามารถแบ่งแยกออกไปอยู่หลากหลายชนิด
นับไปตั้งแต่สารเคมีในสมองที่มันมีความผิดปกติไปก็ดี หรือแม้แต่มันมาจากเรื่องของการที่เรากำลังพาตัวเองคลุกอยู่ในสภาพแวดล้อมหรือสังคมแย่ ๆ เป็นระยะเวลานานเกินไปจนเรารู้สึก 'ชาชิน' ไปกับมันเหมือนกับว่าเรากำลังอยู่ในวังวนของการเสพสิ่งเลวร้ายต่าง ๆ มากมายและไม่มีวันจบสิ้น
เรามองเห็นถึงการจัดการและการบริหารอันย่ำแย่ของเหล่าผู้มีอำนาจรอบตัวของเรา
เรามองเห็นถึงปัญหาในสังคมที่มันยังคงจะ 'คาราคาซัง' และไม่มีการแก้ไขที่ยั่งยืน
เรามองเห็นถึงความทุจริตต่าง ๆ ความไม่ยุติธรรมของผู้ที่พยายามต่อสู้เพื่อมอบ 'สิทธิ' และ 'เสรีภาพ'
เรามองเห็นถึงความขัดแย้งทั้งในและนอกประเทศที่มันดูจะไม่มีวันสงบลงได้โดยง่าย
เมื่อไหร่กันที่สิ่งเหล่านี้มันกลายเป็น 'เรื่องปกติ' ไปแล้ว?
ยิ่งผมเติบโต สมองของผมยิ่งชวนเกิดคำถามมากมายที่ล้วนแล้วแต่ไม่สามารถหาคำตอบได้ และในทางกลับกัน ไฟแห่งความเกลียดชังและความโทสะในตัวผมก็ยิ่งเพิ่มพูนไปในทุก ๆ วัน และแม้ว่าผมจะรู้สึกถึง 'ความไร้อำนาจ (Powerless)' ของตัวเองไป หากแต่สิ่งหนึ่งที่ผมยังถือครองไว้อยู่คือ 'แรงปณิธาน (Determined)' ที่มันยังช่วยพยุงไม่ให้ผมต้องฆ่าตัวตายไปเสียก่อน
(Credit : mienthoa)
พวกเราทุกคนต่างต้องรับผิดชอบในเรื่องราวความผิดพลาดทั้งหมดที่ตัวเองได้ก่อเอาไว้
และในหลายครั้ง... แค่การ 'สารภาพบาป' ก็ไม่อาจเพียงพอต่อการทำให้ความผิดเหล่านั้นมันหายไป
ทุกคนต้องตาย พวกเราทุกคนสมควรที่จะ "ตาย"
และไม่ว่าด้วยเหตุการณ์อันใดก็ตาม
โลกควรที่จะถึงกาลอวสานในเร็ววัน
โดยตัดในส่วนของการตัดพ้อต่อเรื่องราวทั้งหมดที่คุณหรือผมต่างเคยประสบพบเจอกัน ณ ตอนนี้ ผมคงคิดว่าพวกเราต่างคงกำลังที่จะดิ้นรนเพื่อให้มีชีวิตรอดอยู่ไปตลอดเวลา หากแต่เมื่อผมกลับไปเริ่มตระหนักถึงแนวคิดของการ 'เอาชีวิตรอด' แล้วนั้น ผมกลับเริ่มตั้งข้อสงสัยขึ้นว่า จะเป็นอย่างไร ถ้าหากโลกใบนี้มีคนปรารถนาที่อยากจะปลิดชีวิตของตัวเอง ภายใต้เงื่อนไขที่เขาได้สร้างมันขึ้นมา?
ผมอาจจะไม่มีตัวอย่างสำหรับเรื่องนี้ หากแต่ว่าเมื่อไหร่ที่ผมพูดถึงสิ่ง ๆ นี้ขึ้น มันก็ทำให้ผมตระหนักย้อนไปถึงเรื่องราวของนักบุญผู้หนึ่งคือ 'เซนต์ วาเลนไทน์ (Saint Valentine)' หรือ 'นักบุญวาเลนตินุส' ชายผู้ที่เติบโตมาในช่วงที่การทำสงครามนั้นถือเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ จนถึงขั้นที่มันทำให้มีกฎหมายว่าห้ามมีการจัดงานแต่งงานกัน พร้อมทั้งยังบังคับให้เหล่าบุรุษทุกคนต่างออกไปเพื่อสู้รบ
การเสียชีวิตของเขา ก่อเกิดเป็น
'เทศกาลแห่งความรัก' ในทุกวันนี้
อย่างไรก็ตามเอง นี่มันอาจไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องของการเสพข่าวแย่ ๆ อีกเช่นเคย (ใช่แล้ว คุณโดนหลอกรอบที่สอง ;p)
ทว่าหากไม่มองไปถึงเรื่องของความน่าเศร้า ณ ช่วงยุคสมัยอดีตกาล การขบคิดไปถึงเรื่องของ 'ความเป็นจริง' นั้นก็เป็นสิ่งที่ชวนให้น่าค้นหาหรือท้าทายในตัวมันไปพอสมควร อาจเพราะเนื่องจากแท้จริงแล้ว เจ้าสิ่งที่เรียกว่า 'ความเป็นจริง' โดยตัวมันอาจเปรียบเสมือนเป็น 'กลยุทธ์ที่ดีที่สุด' ในโลกของวิดีโอเกม หากแต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่สามารถถูกแทนที่ เปลี่ยนแปลง หรือแม้แต่กลายเป็นสิ่งที่ 'ล้าสมัย' ไป เมื่อวันที่วิทยาการและความล้ำหน้าของมนุษย์เริ่มต่างทำให้พวกเรา 'ห่างเหิน' ไปจากโลกปัจจุบันไปเสียมากขึ้น
"ความเหงา" และ "ความโดดเดี่ยว" จากที่มันเป็นสิ่งปัจเจกสำหรับพวกเราทั่วไป กลับกลายเป็นว่ามันได้แทรกซึมอยู่ในทั่วทุกอณูของสังคม พวกเราหันเหเพียงแต่พึ่งพาในอำนาจของสิ่งที่เรียกว่า 'เงินตรา' และ 'การเอาชีวิตรอด' จนมันทำให้ผมเริ่มเกิดความหวั่นวิตกว่าในสักวันหนึ่งเราอาจจะไม่สามารถหันหลังกลับไป ณ จุดที่เรารู้จักกับสิ่งที่เรียกว่า 'ความเป็นมนุษย์ (Humanity)' มากเพียงพอ แต่เรากลับเป็นเหมือนพวก 'สัตว์เดรัจฉาน' ที่มีชีวิตเพื่อเสพสุข แล้วก็ตายจากโลกนี้ไปอย่างไร้แก่นสาร
ฝั่งหนึ่ง ต่อสู้เพื่ออนาคตที่ดีกว่า
ขณะที่อีกฝั่ง ต่อสู้เพื่อแย่งชิง และให้ได้มาซึ่งความมั่งคั่งของตัวเอง
ทั้งสองฝ่ายต่างมีเหตุผลที่ดีด้วยกันทั้งคู่
อนิจจาที่ 'ความไม่แน่นอน (Uncertainty)'
กลับแทรกตัวเข้ามาระหว่างกลางเข้าซะก่อน
มัน "คุ้มค่า" แล้วหรือเปล่า?
ผมเชื่อว่าถ้าใครที่อ่านมาถึงตรงนี้ พวกเขาคงอาจจะรู้สึกสภาพจิตใจดำดิ่งยิ่งกว่าผมไปมากกว่าเดิม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผมไม่มีเจตนาใด ๆ สำหรับการเขียนหรือพูดเพื่อที่จะทำให้รู้สึก 'บั่นทอนจิตใจ' หรือแม้แต่พยายามที่จะปลอบประโยน ท่ามกลางกองไฟสุมขนาดมหึมาที่เราไม่อาจรู้ว่าสักวันหนึ่งมันจะมาเยือนหาเราในช่วงไหน เวลาไหน
ทุกช่วงเวลาที่เราได้ยิ้ม ได้หัวเราะ หรือได้มีความสุขกับอะไรสักอย่าง มันล้วนมีความเป็นไปได้มากอยู่พอสมควรที่อาจเกิดเหตุการณ์อันไม่คาดฝันที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนกับโลกทั้งใบมันพังทลายหายไป และในทางกลับกันเอง เหล่าผู้คนที่หลงอยู่ในวังวนของ 'ฝันร้ายที่ไม่มีวันจบ' หรือไม่แม้แต่จะฝันถึงสิ่งใด ๆ นอกจากเพียง 'ความว่างเปล่าอันกลวงโบ๋' ไร้ซึ่งจะมีสิ่งใดสามารถเติมเต็มความต้องการของพวกเขาได้ ทั้งสองฝั่งต่างล้วนปรารถนาซึ่งสิ่งเดียวกัน
พวกเขามองหาในสิ่งที่พวกเขาเชื่อว่าจะสามารถอยู่กับมันได้เป็นระยะเวลานาน ๆ นานพอที่พวกเขาจะไม่รู้สึกเบื่อหน่ายกับมัน นานพอสำหรับการที่พวกเขาอาจสามารถปฏิเสธสิ่งที่อยู่รอบตัวของพวกเขาไป และหันมาโฟกัสเพียงแต่สิ่งที่มันดึงดูดสายตาและจิตใจของพวกเขา
Blissfulness all around the world.
นี่อาจไม่ใช่การบอกลาหรือเป็นการสั่งเสียล่วงหน้า แต่แน่นอนว่ามันคือการบ่งบอกถึงสัญญาณเตือนถึงเรื่องราวในอนาคตที่หากไม่มีการแก้ไขอย่างถูกวิธี ท้ายที่สุดแล้วมันอาจมีเรื่องที่น่าเศร้าเกิดขึ้นมากกว่าแค่ 'ความสูญเสีย' แต่มันจะกลายเป็นเหมือนกับ 'ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย' ที่พวกเราต่างมีส่วนร่วมด้วยกัน โดยที่ขณะเดียวกันเหล่า 'ยุวชนรุ่นใหม่' หรือแม้แต่กับมนุษย์ในรุ่นถัด ๆ ไป พวกเขาต่างเริ่มหลงลืมถึงสิ่งที่บรรพบุรุษรุ่นก่อนหน้าได้ฝากฝังและทิ้งเอาไว้ จริงอยู่ว่าพวกเขาคงอาจไม่ได้คาดหวังอยากจะต้องทำให้พวกเราต้องเป็นเหมือนอย่างที่เขาต้องการ หากแต่พวกเขาอยากเพียงให้เรารู้จักกับการ 'สร้างสันติในตัวเอง' และค่อย ๆ เปิดเผยสิ่งเหล่านั้นออกไป ส่งต่อวิธีการนั้นให้กับทุก ๆ คนเพียงเพื่อที่จะไม่ต้องมีใครมาเศร้าโศก เสียใจ หรือแม้แต่จมปลักอยู่กับ 'ความทุกข์ระทม' ที่มันยากยิ่งเกินกว่าจะสลัดออกไปจากหัวสมองหรือจิตใจของพวกเขา
ผมหวังว่าพวกคุณจะยังคงมีลมหายใจอยู่ เฝ้ารอตราบจนกว่าจะถึงวันที่อายุอานามของผมจะถึงเลขในหลัก 30 ไปอีกครั้ง
และหากถึงช่วงเวลานั้น ไม่แน่ว่าเจ้า 'ความเปลี่ยนแปลง' นั้นอาจทำให้ผมสามารถสลัดเอาสิ่งที่ค้างคานี้อยู่ในใจตัวเองออกไปได้... สักวันหนึ่ง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น