ประสบการณ์ที่ขาดหายไป ความพยายามของการทำตัวเป็นกระแสหลัก และจุดกำเนิดที่แสนน่าหวนคิดถึง (Call of Duty Franchise)
What went wrong?
นานมากแล้วที่ผมไม่ได้กลับไปมองยังวิดีโอเกม ๆ หนึ่งที่มันเป็น 'จุดกำเนิด' ของการที่มันได้มอบประสบการณ์และได้ดื่มด่ำกับมุมมองของโลกสงครามที่ให้ผมได้สวมบทบาทอยู่ในแนวหน้าของสมรภูมิอันแสนร้อนระอุ
และใช่... เนื่องจากหัวข้อนี้จะแตกต่างไปสักหน่อย แต่มันจะถูกจัดไว้ให้เป็นในส่วนของ 'สัพเพเหระ' มากกว่าที่จะเป็นการบอกเล่าประสบการณ์ หรือการตกผลึกความคิดผ่านทางโลกวิดีโอเกม ที่ผมกลับรู้สึกว่าการนำเสนอเช่นนั้นดูจะเป็นสิ่งที่ 'ยากเกินไป' โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ผมพยายามจะ Social Detox ในระยะยาวอยู่
ทว่านั้นอาจไม่ได้เป็นส่วนที่สำคัญมากเท่าไหร่นัก เพราะสำหรับ ณ วันนี้ ผมอยากจะมาพูดถึงเรื่องของการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่แม้มันอาจดูเป็นเรื่องที่ให้ความสำคัญไปก็จริง แต่ในมุมกลับกันแล้วนั้น การเปลี่ยนแปลงของบางสิ่งบางอย่าง ก็ไม่ได้แปลว่ามันจะส่งผลไปในทิศทางที่ดีมากนัก
ซึ่งผมหวังว่าคงไม่ต้องบอกนะว่ากำลังพูดถึงเกมอะไร? :)
Black Ops
(with shiny skins & goofy-ahh operator)
เป็นเรื่องที่ผมคิดไว้อยู่นานกว่าที่อยากจะพูดถึงเจ้าหนึ่งในเกมยิงสุดแสนที่มันค่อนข้างมีทิศทางความเปลี่ยนแปลงที่อาจเรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาแบบ 'ปีต่อปี' เลยก็ว่าได้ และถ้าหากจะให้เท้าความไปถึงยังช่วงเวลาก่อนหน้านั้นที่ผมจะได้รู้จักกับมัน เรื่องนี้ผมอาจคงต้องเล่าย้อนไปยังช่วงที่ผมได้สัมผัสกับเกม ๆ นี้ เมื่อครั้งตอนที่มีอายุประมาณช่วงวัย 10 ถึง 13 ขวบได้
และแน่นอนว่า ณ ช่วงเวลาตอนนั้น ภาพลักษณ์ของมันไม่ได้เป็นอย่างที่มันเป็นทุกวันนี้...
Old Times, Classic, and Legend
Call of Duty หรือคำเรียกสั้น ๆ ด้วยตัวอักษรย่อว่า COD (คอล ออฟ ดิวตี้) เป็นเกมยิงมุมมองบุคคลที่หนึ่ง สร้างขึ้นด้วย IW Engine และเป็นเกมที่นำเสนอในธีมเรื่องราวของสงครามในประวัติศาสตร์ (ซึ่งจะเน้นหนักไปทางสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นส่วนใหญ่) ซึ่งตัวของมันแต่ดั้งเดิมทีแล้ว มันเป็นเกมเน้นถ่ายทอดบรรยากาศ ขับเคลื่อนเรื่องราว และสร้างความรู้สึกให้ผู้เล่นเกิดอารมณ์ร่วมไปตลอดทั้งการเล่นตั้งแต่ต้นจนจบเกม
เกมจะถูกแบ่งออกเป็นสองโหมดหลัก ๆ คือ Campaign และ Multiplayer ซึ่งผมจะไม่ขอพูดในส่วนของ Multiplayer เนื่องจากมันไม่ได้มีอะไรน่าค้นหามากเท่าไหร่นัก แต่เราจะมาพูดถึงในส่วนของ Campaign โหมดที่มันเป็น 'หัวใจหลัก' ของมันเสียมากกว่า
แน่นอนว่าในช่วงยุคของเกมที่มันมีอายุอานามอย่างเนิ่นนาน มันคงจะไม่ใช่เรื่องแปลกที่การนำเสนอนั้นจะเปลี่ยนไปตามแต่ละยุค ตามแต่ละสิ่งที่ผู้สร้างเกมของสามสตูดิโอดังใหญ่ ๆ อย่าง Infinity Ward ที่เสมือนเป็น 'ผู้บุกเบิก' ทำให้สังคมของคนเล่นเกม FPS นั้นเริ่มขยับขยายไปกว้างไกลมากยิ่งขึ้น ก่อนที่ในระยะเวลาต่อมามันจะเปลี่ยนมือไปยังตัวของ Treyarch และ Sledgehammer Games ที่เสมือนเป็น 'ผู้รับจบ' ในส่วนของการปรับเปลี่ยนแนวเกมเพลย์ของมันให้มีความร่วมสมัยมากที่สุด
Modern Warfare, Modern Times.
ความทรงจำหนึ่งอย่างที่ผมพอมีร่วมกับเกม ๆ นี้ หากไม่นับถึงช่วงเวลาอันแสนเก่าแก่ในภาคแรก ทว่าย้อนกลับไปในช่วงเวลาใกล้เคียงอยู่หน่อย ๆ เห็นทีคงจะไม่พูดถึงส่วนของสงครามสมัยใหม่อย่างภาค Modern Warfare คงเป็นไม่ได้
แน่นอนว่าจริงอยู่ที่ ณ ปัจจุบัน Call of Duty นั้นจะมีการขยายโลกและแฟรนซ์ไชน์ของเกมไปในระดับจำนวนมากมาย หากแต่ ณ ก่อนที่มันจะกลายเป็นหนึ่งในเกมยิงที่มีทิศทางความเปลี่ยนแปลงไปในด้านของการเรียก 'ผู้ชม (Audience)' ได้มากมายเป็นประวัติการณ์นั้น ตัวมันเองยังคงอยู่ในธีมการนำเสนอที่เกี่ยวข้องกับสงครามในสเกลระดับใหญ่ ๆ อยู่
และเพราะเหตุนั้น เนื้อเรื่องของเกมจึงเลยไม่ได้ถูกจำกัดอยู่ในรูปแบบเพียงการไปจากจุด A ไป B หากแต่มันยังมีการใส่รายละเอียดต่าง ๆ ที่ผู้เล่นเกมหลาย ๆ คนอาจไม่ได้มีการสังเกตเห็น หรือกิมมิคของเรื่องราวภายในฉากต่าง ๆ ที่หยิบเอา 'องค์ประกอบ' ความเป็นหนังสงครามใส่เข้ามาในจำนวนหนึ่ง
ภาพของการสอดแทรกองค์ประกอบของภาพยนตร์แนวสงครามนั้น ไม่ได้จำกัดแค่กับเพียงตัวของสงครามสมัยใหม่เพียงอย่างเดียว ทว่ามันเองได้ครอบคลุมไปยังส่วนของช่วงสมัย 'สงครามเย็น' หรือแม้แต่กับ 'สงครามในโลกอนาคต' ก็เช่นเดียวกัน
Black Ops
(Actual Black)
ประวัติศาสตร์ของเกมคอล ออฟ ดิวตี้ เรียกได้ว่ามันเป็นส่วนที่มีการพูดถึงกันมาอย่างเป็นระยะเวลายาวนาน จนเรียกได้ว่าแม้แต่เหล่าผู้ที่เรียกตัวเองว่าเป็น 'แฟนบอย' ของเกมนี้ ก็คงน่าจะสามารถพูดถึงมันได้ดีกว่าผมเป็นหลายเท่า
แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่ สิ่งหนึ่งที่ดูเหมือนว่าเรากำลังเห็นพ้องต้องกันมากที่สุด ก็คงหนีไม่พ้น 'การเปลี่ยนแปลง' ที่นับวันเองนั้น หนึ่งในแฟรนไชส์เกมดังกล่าวมันได้มีทิศทางการเปลี่ยนแปลงไปที่ 'ไม่เหมือนเดิม' จนดูเหมือนกับว่าตัวมันพยายามที่จะไล่ตามกระแสความเป็น 'อาร์เขต' มากเกินไป
อย่าเพิ่งเข้าใจผมผิด แน่นอนว่าผมไม่ได้บอกว่าเกมดังกล่าวมันควรมี 'ความสมจริง' หรือเน้นในแนวทางการบอกเล่าเรื่องราวที่มีความจริงจังในระดับหนึ่ง หากแต่สิ่งหนึ่งที่มันขาดหายไป ซึ่งมันคือ 'เสน่ห์' หลักสำคัญของเกมที่มันได้มีการนำเสนอออกมา นั่นคือ 'อารมณ์ร่วม' ที่เหมือนมันถูกตัดขาดออกไปจากแนวทางการดำเนินเนื้อเรื่องที่มีการนำเสนอ
ผมไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ หากแต่สิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่า Call of Duty นับไปยังตั้งแต่ช่วงของภาค Modern Warfare ขึ้นไป ตราบจนไปถึงยังส่วนของ Black Ops 6 จำนวนและเวลาของการนำเสนอในโหมดแคมเปญนั้นมีความซับซ้อนเกินความจำเป็น และในหลาย ๆ ครั้ง สเกลของความรุนแรงกลับถูกจำกัดไว้เฉพาะแต่เพียงการยิงศัตรูที่กรูเข้ามาแบบไร้สมอง (ส่วนใหญ่ แต่ไม่ทั้งหมด)
ผมอาจจะไม่ได้ลองสัมผัสมันด้วยตัวเองไปทั้งหมดก็จริง หากแต่ความรู้สึกจากการที่มันถูกนำเสนอให้มีการไปในทิศทางพยายามในการอยากจะเพื่อสร้าง 'จักรวาล' ในโลกของเกมตัวเอง หากแต่สำหรับผู้ที่ผ่านพ้นเกม ๆ นี้มาเป็นระยะเวลานาน สิ่งหนึ่งที่ผมค่อนข้างติดกับมันมากเป็นพิเศษ คงเป็นเรื่องของการที่เนื้อเรื่องในโหมดแคมเปญมีความพยายามที่จะใส่มาเสมือนเป็น 'จานข้าวผัด' ที่มีรสชาติพอทานได้ แต่กลับไม่ได้รู้สึกอิ่ม
แตกต่างกันจากในส่วนของช่วงก่อนหน้าที่ตัวมันเปรียบเป็น 'ข้าวสวยร้อน ๆ' ที่มีเนื้อและกับเครื่องเคียงที่สามารถทานร่วมกันได้ และไม่รู้สึกถึงความแตกต่างกันมากจนเหมือนไม่ใช่เนื้อเดียวกัน
แม้แต่กระทั่งกับในบางภาคที่แม้จะนำเสนอออกมาในรูปแบบที่พยายามแหวกออกไป จริงอยู่ว่าการเปลี่ยนจากการทำ 'ข้าว' เป็น 'ก๋วยเตี๋ยว' หรือ 'ติ่มซำ' นั้นจะไม่ได้มีความแตกต่างไปจากความเป็นจริงที่มันไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป หากแต่สิ่งเหล่านั้นมันกลับมีแรงดึงดูดและเสน่ห์บางอย่างที่ยุคสมัยของความเป็น COD มันได้หดหายไป
ทั้งหมดเป็นความผิดของสื่อกระแสหลัก หรือว่ามันอาจเป็นเพราะความพยายามในการที่ทางผู้สร้างต้องการ 'ขยายฐานผู้เล่น' ออกไปเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มคนหลากหลายเพศ หลากหลายวัยได้มากขึ้น
แม้ว่านั่นอาจหมายถึงการผลักไสเหล่าผู้เล่นเก่า ๆ ที่สนับสนุนผลงานของพวกเขามาอย่างยาวนานไปก็ตาม...
Wrong time, Wrong place
ถึงกระนั้นในมุมกลับกัน มันก็เป็นเรื่องน่าสนใจว่า 'ทิศทางใหม่' ของเกมมันจะดำเนินไปในทางไหน และผลตอบรับของมันเองจะลงเอยไปในทางด้านใด ๆ นอกเหนือจากการที่ตัวของมันจะจบลงอย่างไม่สวยเหมือนกับแฟรนไชส์เกมดังเกมหนึ่งที่ตัดสินใจเลื่อนการวางจำหน่ายออกไป โดยที่มันดันชนเข้ากับเดือนที่มันตรงกับวิดีโอเกมดังหลาย ๆ เกมมันได้เปิดตัวออกมาพอดี
(ใช่ ฉันหมายถึงแก Ubisoft)
อย่างไรเองก็ตาม ผมไม่คิดว่าจุดจบของ Call of Duty จะมาถึงในเร็ววัน และเป็นไปได้ยากมาก ๆ เพราะตราบใดที่พวกเขาสามารถจับ 'เป้าหมายกลุ่มผู้ชม (Target Audience)' ได้อย่างอยู่หมัด นั่นแปลว่าพวกเขาเองก็มีแผนการในการรับมือมากมายหากว่าพวกเขายังคงสถานะในการเป็นหนึ่งในเกมยิงมุมมองบุคคลที่หนึ่งที่มันไม่ได้ขายเพียงแต่โหมด Campaign อย่างเดียวแบบเพียว ๆ
โดยเฉพาะเรื่องของจักรวาลผีดิบ หรือ Call of Duty Zombies ที่ตัวมันได้มีการขยายเรื่องราวไปไกลเสียจนยากเกินกว่าที่มันจะเรียกว่าเป็น 'เกมยิงสงคราม' ไปได้แล้ว
Being an 'Overwatch' from now on.
ส่วนของโหมดเสริมที่มีความน่าสนใจกว่าตัวเกมหลัก หากแต่กลับถูกกดประสิทธิภาพเอาไว้จนเลยต้องถูกบรรจุให้เป็น 'ส่วนหนึ่ง' ของตัวเกมหลักไป นับว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าเสียดายที่มันควรได้มีการเฉิดฉายแสงออกไปให้มากกว่านี้
ถึงกระนั้น ในฐานะของหนึ่งในแฟนเกมคนหนึ่ง ผมจะยังคงตั้งตาเพื่อรอดูทิศทางความเป็นไปของมันอย่างใกล้ชิด เฝ้าฝันและรอเวลาตราบจนกว่าที่ตัวมันจะสามารถออกมาจาก 'ร่มเงา' ของตัวเกมหลักที่นับวันยิ่งมีความเปลี่ยนแปลงจนสูญเสียเอกลักษณ์ เสน่ห์ หรือแม้แต่การทำให้ 'อารมณ์ร่วม' ของผู้เล่นหดหายไป กลายเป็นเหมือนเพียงสิ่งประดับเอาไว้เพื่อให้หลงลืมพวกมันไปตามกาลเวลา












ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น