ครั้งแรกกับอาการ Office Syndrome และคำถามที่ไม่เคยได้รับคำตอบ
สวัสดีอีกครั้ง เหล่าผู้ยังมีชีวิตรอด
อาการจากการนั่งเล่นเกมหรือแม้แต่การปั่นงานเขียนเป็นระยะเวลานาน ๆ ทำให้ผมเริ่มที่จะเข้าใจถึงอาการของสิ่งที่เรียกว่า 'ออฟฟิศ ซินโดรม' ขึ้นมาในชนิดที่ว่าแทบจะเป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิตประจำวันไปโดยปริยาย
ยิ่งไม่ต้องนับไปถึงเรื่องของการพยายามเพื่อที่จะตามกระแสต่าง ๆ ให้ทันไปด้วย นั่นก็ยิ่งแล้วใหญ่
กลายเป็นว่าทุกครั้งเวลาที่ผมมีความคิดในการจะได้พักผ่อน มักจะหยุดอยู่กับเรื่องของการพยายามต้องเคี่ยวเข็ญตัวเองเพื่อให้ตามทุกอย่างทันท่วงทีอยู่บ่อยครั้ง ก่อนที่มันจะหยุดลงเมื่อผมได้ตระหนักถึง 'ความรู้อันน้อยนิด' ที่ตัวเองมีอยู่...
หลายวันมานี้ผมได้สิงอยู่เกม ๆ หนึ่งอยู่บ่อยครั้ง
ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงอยากพูดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ แต่ที่จริงเองสาเหตุมันเริ่มมาจากหลายวันที่แล้ว ผมได้ค้นพบเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่า 'Burnout Society' หรือ 'สังคมแห่งการเบิร์ทเอ้าท์' ที่ผมไม่รู้ว่าสิ่ง ๆ นี้มันจะเป็นกระแสได้มากขนาดไหน หากแต่มันก็เป็นเรื่องน่าคิดดีที่ว่าช่วงระยะหลังที่ผ่านมา ผมเองอาจจะใช้เวลาอยู่กับการพยายามเพื่อที่จะเขียนงาน ๆ หนึ่ง นานมากเกินไป ซึ่งไม่รวมไปถึงความทะเยอทะยานที่เมื่อเทียบกันแล้วกับ 'ใครอีกหลายคน' ที่พวกเขาเองไปไกลมากกว่าผม กลับกลายเป็นว่าพวกเขาได้ประสบความสำเร็จในสิ่งที่ตัวเองต้องการ
สรุปแบบสั้น ๆ - ผมเพียง 'น้อยใจ' นิด ๆ ที่ไม่ได้ตามสิ่งที่คาดหวัง
อย่างไรก็ตามผมเองคงต้องยอมรับว่าด้วยเพราะเรื่องของ 'กระแสนิยม' ที่มันผสมผสานไปพร้อมกับสิ่งที่ผู้อ่านส่วนใหญ่ต้องการมักจะเป็นเรื่องราวไปในทางเชิงของ 'รักร่วมเพศ' หรือแม้แต่อะไรใด ๆ ที่มันไปในทางยกระดับจิตใจของผู้อ่านให้ไปในทางที่มีความสุขมากกว่าความเศร้า และความทุกข์
แน่นอน ไม่มีใครอยากที่จะเจ็บปวด ไม่มีใครอยากอยู่อย่างทรมานโดยปราศจากซึ่งการช่วยเหลือ
อย่างไรเสียเอง การยอมรับถึงความเป็นจริง ก็ถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่มีความหมายแบบเดียวไม่ต่างจากการ 'ยอมรับความเจ็บปวด' หากแต่มันเป็นในเชิงมองเห็นถึงข้อเสียของคน ๆ นั้น
ผมปวดหลัง ปวดเมื่อยตามร่างกาย และราคาที่ผมจ่ายไป
นั่นคือการพยายาม "ไล่ตามคนอื่นให้ทัน"
ก่อนหน้าที่โพสต์นี้จะถูกเขียนขึ้น ผมได้พยายามพูดถึงว่าด้วยเรื่องราวของ 'คุณภาพในผลงานสร้างสรรค์' ว่า ณ ตอนนี้มันยังคงเป็นสิ่งที่จำเป็นอยู่หรือไม่? ท่ามกลางกองพะเนินของคอนเทนต์จำนวนนับอนันต์ในโลกอินเตอร์เน็ตที่กว้างใหญ่ไพศาล
ผมพยายามเพื่อที่จะหาเหตุเพื่อเข้าข้างในฝั่งของตัวเอง มุมมองของงานสร้างสรรค์ที่มี 'คุณภาพ' ในส่วนของผมนั้นอาจไม่แตกต่างจากคนอื่น ๆ มากนัก หากแต่ในรายละเอียดปลีกย่อยเล็ก ๆ ส่วนใหญ่ที่ผมต้องการจะพูดหรือเขียนถึง มักจะเป็นเรื่องของการพยายามตั้งคำถามและทบทวนกับตัวเองว่า 'เรายังคงสนุกกับสิ่งที่เราทำอยู่หรือไม่?' กับ 'อะไรคือสิ่งที่ผู้คนต้องการมากที่สุด?'
นิยามของคำว่า 'งานคุณภาพ' บางครั้งแล้วมันก็มีเกณฑ์การตัดสินใจตามแต่ที่ทุกคนตั้งขึ้นมา ทว่าในท้ายสุดแล้วคนที่รู้อยู่แก่ใจเองกลับไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจาก 'ตัวเรา' หรือ 'เหล่าผู้สร้างผลงาน' เองที่พวกเขามีมุมมองอย่างไรต่อในชิ้นงาน ชิ้นงานหนึ่งที่พวกเขารังสรรค์มันออกมา
'เสียงตอบรับ' จากคนรอบข้างอาจมีส่วนช่วยให้ได้รับความมั่นใจ เฉกเช่นเดียวกับ 'คำชื่นชม' อันคือสิ่งที่เราล้วนถวิลหามัน
โดยลึก ๆ แล้วธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อได้กระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เราย่อมต้องการได้รับการกล่าวสรรเสริญหรือแม้แต่ได้รับการชื่นชมกันเป็นเรื่องปกติทั่วไป ยิ่งไม่ต้องไปพูดถึงในยุค 2024 นี้ด้วยแล้วที่มันมีเรื่องของ 'ความสำเร็จ' หรือ 'เงินทอง' เข้ามาเกี่ยวข้อง นี่เองยิ่งตอกย้ำอย่างชัดเจนว่าคุณค่าของ 'ความสำเร็จ' นั้นล้วนคือสิ่งที่พวกเราต่างอยากไปให้ถึง
หากแต่ถ้าเราทำไม่ได้ล่ะ? จะเกิดอะไรขึ้น?
ในหลายกรณีจากประสบการณ์เมื่อผมรับรู้ถึงความผิดหวัง บางครั้งแล้วผมก็เลือกที่จะหันกลับไปมองย้อนถึง 'แก่นหลักตั้งต้น' ก่อนที่ผมจะพาตัวเองเพื่อกลับมาสู่ ณ ปัจจุบันที่เราเป็นอยู่
ถ้าให้ตอบแบบเห็นภาพชัดเจน มันคงหนีไม่พ้นในเรื่องของการหยิบหนังสือมาอ่านเพื่อทำให้สมองโล่ง มากกว่าที่จะพยายามเพื่อเค้นตัวเองให้เขียนงานออกมาได้ไว
'การอยู่เฉย (Idling)' ถือเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยได้ดีในการรับมือกับความผิดหวัง ที่จริงเองแล้วนั้น นอกเหนือไปจากเรื่องของการตั้งคำถามกับตัวเองมากมาย เรื่องราวของการรับมือกับความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวหรือแม้แต่คนรอบตัวเองมันก็สำคัญ
เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้านี้ ญาติฝั่งพ่อของผมท่านได้เสียไปจากโรคมะเร็ง ซึ่งแน่นอนว่าในส่วนเล็ก ๆ ที่ผมไม่ได้เล่าให้ฟังสักเท่าไหร่เกี่ยวกับเรื่องตรงนี้ นั่นคือลึก ๆ แล้วผม 'ไม่ชอบท่าน' มาตั้งแต่ไหนแต่ไรมา
อาจเรียกได้ว่าลึก ๆ ผมไม่ชอบการได้มาทำความสนิทสนมกับเหล่าคนในเครือญาติเสียเท่าไหร่ และด้วยเหตุผลสำคัญคือรูปลักษณ์ที่ผนวกรวมเข้ากับแนวความคิดที่มันไม่ค่อยตรงกันมากด้วย ท้ายที่สุดเอง ถ้าจะมีใครที่ผมค่อนข้างสนิทในระดับหนึ่งคงเป็นคนจากฝั่งแม่ของผม ซึ่งท่านถือเป็นคนที่ผมใช้เวลาอยู่เป็นส่วนใหญ่
ต่างกันจากพ่อ ผมเองต้องยอมรับว่าผม 'ไม่ชอบ' ท่านด้วยเช่นเดียวกัน
จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ถ้าจะให้เล่าแล้วอาจต้องไล่ยาวไปยังหลายปีก่อนเสียหน่อย หากแต่สาเหตุส่วนหนึ่งของความไม่ชอบในครอบครัวตัวเอง มันเริ่มมาจากการที่ ณ ช่วงวัยเยาว์ของผมเอง มักจะพบเจอกับประสบการณ์ที่ไม่ดีสักเท่าไหร่นักภายในนั้น (ซึ่งผมจะไม่เจาะถึงรายละเอียด ณ ส่วนนี้ แต่ก็หวังว่ามันจะเข้าใจกันได้)
ความพยายามและสาเหตุเพียงอย่างเดียวที่ผมยังคงมีลมหายใจมาทุกวันนี้ อาจเป็นเพราะว่าผมได้ค้นพบถึงสิ่งที่เรียกว่า 'การเขียน' ที่มันนอกจากช่วยชีวิตของผมไปแล้ว มันยังทำให้ผมมองเห็นถึงเส้นทางความเป็นไปได้ต่าง ๆ แม้ว่าต่อให้ผู้คนรอบข้างหรือคนในครอบครัวไม่เคยสนับสนุนในสิ่งที่ผมกระทำไปเลยก็ตามที
ซึ่งถ้าจะให้พูดกันตามตรงแล้ว ผมไม่รู้ว่าสัดส่วนของผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตนั้น สิ่งที่เรียกว่า 'ความสัมพันธ์ในครอบครัว' มีส่วนมากแค่ไหนในการผลักดันให้พวกเขาได้รับในสิ่งที่ตัวเองต้องการ
ทว่า... ผมเองอาจไม่ใช่หนึ่งในนั้น...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น