อคติทางเพศ และความประสาทแดกทั้งหมู่มวลในดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่ชื่อว่า "โลก" (Gender Bias & Irony Nervousness)
"It's just a wound, why would you care?"
เมื่อประมาณช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เดือน 6 ประจำปี 2024 ซึ่งเป็นช่วงของเดือนที่ตรงกันกับช่วงของ Pride Month ผมได้พูดไปถึงเรื่องของ 'ความทุกข์ทรมานของการเป็นผู้ชาย' ซึ่งหากตัดเอาเรื่องของจำนวนปีไป และมาเจาะลึกถึงเรื่องของ 'ผู้ชาย' โดยจริง ๆ เรียกว่าส่วนนี้น่าจะเป็นส่วนที่ต้องใช้ระยะเวลาศึกษาพอ ๆ กับการพยายามทำความเข้าใจกับสังคม LGBTQIA+ กันเลยทีเดียว (และอาจหมายรวม 'เฟมินิสต์' ไปด้วย)
อย่างไรก็ตาม สำหรับเดือนนี้ถือว่าเป็นเดือนที่มีความพิเศษอยู่หนึ่งอย่าง ก่อนที่ในเดือนถัดไปเองมันจะเป็นช่วงเวลาที่ผมจะ 'กลับเข้าสู่ถ้ำ (Into The Void)' เพื่อจะไปใช้เวลากับวิดีโอเกมที่ชอบ & หาคอนเทนต์ลงบล็อกคั่นเวลาตอนปั่นงานนิยาย ด้วยเหตุนี้เอง สำหรับช่วงเดือนนี้ผมจะขอลงช่วงของการพูดถึงหัวข้อประเด็นเหล่านี้แบบ 'หอมปากหอมคอ' เสียหน่อย
เพื่อที่ผมจะได้บ่นระบายสิ่งที่อยู่ในหัวตัวเอง และเพื่อที่จะได้กลับไป 'พักผ่อน' ภายหลังจากเหน็ดเหนื่อยจากการต่อสู้กับตัวเองมานาน...
อคติทางเพศ (Gender Bias)
หนึ่งหัวข้อสำหรับการพูดถึงเรื่องราวของช่วงเวลาในยามที่โลกกำลังถูกปกคลุมด้วยไอหมอกของความเกรี้ยวกราด ภายใต้สถานการณ์ที่คำว่า 'การเมือง' ได้ถูกฉีดเข้าสู่เส้นเลือดชนิดที่ว่าเราหลีกหนีมันไม่พ้น
ผมอาจจำเป็นต้องเท้าความเล็กน้อยว่าตัวผมเอง ไม่ได้มีความรู้สึกในการขุ่นเคืองใจใด ๆ กับเรื่องของเพศตรงข้ามหรือแม้แต่เพศเดียวกัน อย่างไรเองจากประสบการณ์ที่ตัวเองได้เห็นในโลกอินเตอร์เน็ตนั้น ผู้คนส่วนมากล้วนจะมี 'อคติ' อยู่กับเรื่องราวของเพศกำเนิด หรือแม้แต่เพศตามวิถีในระดับที่อาจก่อให้เกิดการขัดแย้งกันได้ หากใครก็ตามเริ่มมีการใช้ประโยคด่าทอ โจมตี หรือแม้แต่การ 'แซะ' ในระดับที่อาจลากพาให้นำไปสู่ 'ดราม่า' อันไม่จบไม่สิ้นได้ทุกเมื่อ
ทว่านั่นเองกลับเป็นปัญหาสำคัญ การที่เราเกลียดชังในเพศใดเพศหนึ่งมาก ๆ ไม่ใช่กับแค่เฉพาะของกับ 'ผู้ชาย' แต่เป็นตัวของ 'ผู้หญิง' สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นคือสมองของเราจะเริ่มที่จะปิดกั้นความรู้และเหตุผลทั้งหมดไปทันที ด้วยเหตุเพียงเรื่อง ๆ เดียวที่มันแทบจะไม่เป็นประโยชน์ใด ๆ เลย นอกจากการสาดเทเสียใส่ความรู้สึกโกรธเกรี้ยวเข้าใส่กัน
เราต่างเอาความเป็น 'สัตว์ป่า' เพื่อข่มอำนาจซึ่งกันและกัน
และผลที่เกิดขึ้น มักจะอยู่ไปกองรวมกับกลุ่มคนผู้ที่พวกเขาไม่ได้มีส่วนใดส่วนเสียใด ๆ กับเรื่องเหล่านี้
ผมกล้าพูดได้ว่าตัวผมเองนั้น เคย 'ติดกับดัก' อยู่ ณ ความคิดเช่นนี้มาในระยะเวลาหนึ่ง
ตราบจนเมื่อได้เริ่มตกผลึกความคิด และเข้าใจถึงเรื่องนี้จากการหันมองไปยังภาพของโลก ณ ปัจจุบันที่มันเองมีผลกระทบรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ จากการที่ตัวเองได้เห็นถึงข่าวสารมากมายผ่านทางโทรทัศน์ ผ่านโลกโซเชียลที่ไม่เคยอยากจะแตะ ผ่านการมองเห็นเพียงแค่ 'เลนส์' เดียวที่มันปรากฎออกมาผ่านตัวสื่อสาธารณะทั้งหลาย จนกลายเป็นว่าเราเองดันเผลอเข้าไปพัวพันอยู่ใน 'ชุดความคิด' เหล่านั้นมากเสียจนหลุดออกมาไม่ได้
Men Are Trash
Are men trash?
เรื่องราวของความเป็นชาย และ Toxic Masculinity ที่กลายเป็นหัวข้อประเด็นหลักใหญ่ ๆ พุ่งเป้าหมายไปเพื่อโจมตีฝั่งของผู้ชายผู้ซึ่งมีทั้งคน 'ดี' และ 'แย่' ปะปนไป การถูกกล่าวหาซึ่งด้วยฝีมือของผู้ที่ไม่ได้เข้าใจถึง 'ความทุกข์ทรมาน' ของเหล่าผู้ชายที่ต้องพบกับสถานการณ์อันย่ำแย่ในแต่ละวัน ในแต่ละยุคสมัย
ผมคงจะไม่บอกว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเพราะใครหรืออะไร แน่นอนว่าหลาย ๆ คนล้วนมาจากต่าง 'ร้อยพ่อพันแม่' และไม่มีทางที่ทุกคนจะคิดและเติบโตกันได้แบบเดียวกันหมด อย่างไรเอง เรื่องราวความเจ็บปวดของการเป็นผู้ชายในปี 2024 นั้น ดูจะเป็นหนึ่งในปัญหาที่มันเริ่มค่อย ๆ เกาะกลุ่มรวมตัวกัน ณ ซอกมุมหนึ่งของสังคมในประเทศนี้ไปอย่างช้า ๆ
ไม่มีใครทำอะไรกับมัน ไม่มีใครก็ตามที่ออกมาเพื่อพยายามสร้าง 'ความชอบธรรม' บางอย่าง เพื่อจะเปลี่ยนความหมายของคำว่า 'ความเป็นชาย (Masculinity)' ไปในเชิงที่ให้ความเคารพกับผู้คนในฐานะของ 'มนุษย์' ด้วยกัน
เราหันเหไปผูกโยงตัวเองเข้ากับแนวคิดความเป็น 'สโตอิก (Stoicism)' ในรูปแบบผิด ๆ ที่แท้จริงแล้วมันไม่ได้หมายความว่าเราเลือกจะ 'ปลีกวิเวก' และไม่สนใจถึงความเปลี่ยนแปลงของโลกที่กำลังเป็นอยู่ กลับกัน แนวคิดของความเป็นสโตอิก มันหมายถึงการที่เราพยายาม 'ควบคุม' และ 'เปลี่ยนแปลง' ในสิ่งที่มันอยู่ในขอบเขตที่เราสามารถทำได้ เราพยายามในทุก ๆ วันไม่ได้เพื่อเรียกร้องความสนใจจากใครคนอื่น (ซึ่งอาจมีคนบางประเภทเข้าใจผิดและคิดว่าแนวคิดนี้ = เห็นแก่ตัวเอง)
ความเป็นจริงคือ พวกเราต่างพยายามที่จะควบคุมในสิ่งที่เราสามารถควบคุมได้
แม้ว่า ณ ในจุดช่วงท้ายที่สุดของชีวิต มันกลับหันหน้ามาบอกเราว่า ชีวิต คือความไม่แน่นอน
Life is Uncertainty
ทว่าทั้งหมดทั้งมวลที่ผมกล่าวมาทั้งหมด ผมเองคงไม่ครั้นเลือกที่เพื่อด่าหรือทำให้กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเสียหายไปแต่อย่างใด เพราะว่ากันตามจริง ช่วงเวลา ณ ตอนที่ผมกำลังพยายามเขียนบล็อกนี้อยู่ มันก็ปาเข้าไปเกือบสองหรือสามวันเข้าไปแล้ว ทั้งที่ตามปกติเองมันควรจะจบลงตั้งแต่ในช่วงวันแรกที่ผมพยายามจะเขียนเรื่องนี้ลงไปในบล็อกของตัวเอง เพื่อที่ผมจะได้จบการบ่นระบาย และเพื่อทำให้ตัวเอง 'ตกผลึกทางความคิด' กับเรื่องตรงนี้ไปให้มันจบลงไปเสียที
เรื่องหนึ่งที่คุณควรรู้อย่างหนึ่ง นั่นคือตามปกติแล้วผมไมได้ 'ชื่นชอบ' ในการสุงสิงกับผู้คนมากนัก
ข้อเสียหนึ่งอย่างสำหรับผู้ที่ถวิลหาความสันโดษมากเกินไปเสียจนพยายาม 'ผลักไสไล่ส่ง' คนอื่นออกไปจากชีวิต นั่นคือในท้ายที่สุดแล้วเขาคนนั้นจะไม่เหลือใครหรืออะไรที่ตัวเองสามารถ 'พึ่งพา' ได้อีก นอกจากการที่มันมีแค่ 'เขา' ที่แค่อยู่ ณ ตรงนั้น บริเวณชายขอบของสังคมที่การส่งเสียงเพื่อขอความช่วยเหลือมันยากพอ ๆ กับการพยายามบอกให้เขาได้ออกไป 'ใช้ชีวิต' แบบหยาบ ๆ ที่ตัวมันไม่ได้มีความหมายหรือการขยายความที่มากกว่านั้น
ผมเข้าใจในความหมายตรงนั้น แต่ ณ ทางกลับกัน คำว่า 'ใช้ชีวิต' สำหรับผมมันคือการที่ตัวผมเองปรารถนาเพื่อที่จะ จบชีวิตตัวเอง มากกว่าที่จะเพื่อเข้าไปพบเจอกับสังคมที่พวกเขาอาจจะ ฆ่า ผมให้ตายไปอีกรอบ
แน่นอนว่าผมพยายามต่อสู้กับความคิดตรงนั้นอยู่...
ขอบคุณที่อ่านจนจบ
และสวัสดีเดือนพฤศจิกายน
:)
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น