[บอกเล่าประสบการณ์] ความอลหม่านในสังคม กับ Delayed Gratification ในโลก Warframe
Wake up, Tenno.
อาจไม่ใช่ทุกครั้งที่ผมจะหยิบนำเอาเกมที่มันต้องใช้ระยะเวลานานกว่าหลายวัน สำหรับการทำความเข้าใจถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่อยู่ในเกมที่มีการเปิดให้บริการมามากกว่าหลักสิบปี
แต่กระนั้นแล้ว เพื่อที่จะให้ผมได้รู้สึก 'ตกผลึก' กับเกม ๆ นี้ไป อาจต้องเท้าความถึงความเป็นมาเกี่ยวกับเรื่องราวของ 'วอเฟรม (Warframe)' สักเล็กน้อย ก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงเวลาสำหรับการพูดถึง 'ประสบการณ์' ในแบบของมัน
Warframe เป็นเกมที่มีอายุมานานนับตั้งแต่สมัยช่วงที่วงการวิดีโอเกมนั้นยังเพิ่งตั้งไข่ และแน่นอนว่าด้วยความที่มันเป็นเกมแนว TPS ที่มีการผสมผสานรูปแบบการเล่นที่รวดเร็ว เน้นวิ่ง กระโดด หรือแม้แต่การใช้สกิลต่าง ๆ ที่มาจากทักษะของตัวละครแต่ละตัว แน่นอนว่าหากมองในมุมของผู้เล่นใหม่ เจ้าเกม ๆ นี้อาจดูเหมือนจะเป็นอะไรที่ 'เข้าถึงได้ยาก' มากกว่าที่เห็นเอาไว้
ทว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ผมได้ลองสัมผัสมันมาเกือบราว ๆ หนึ่งสัปดาห์ ผมก็ได้ค้นพบว่านี่เป็นหนึ่งในเกมที่มีความ 'ทะเยอทะยาน' และเป็นเกม TPS RPG แรก ๆ ที่มันเปลี่ยนความคิดที่ผมเคยมองมันตั้งแต่ในช่วงครั้งแรก ณ สมัยตอนที่ยังเรียนอยู่ในชั้นมัธยม
Delayed Gratification (ความอดทนรอคอย)
เชื่อว่าใครหลายคนต่างก็เคยได้ยินวลีที่ว่า 'อดเปรี้ยว ไว้กินหวาน' กันอยู่ไม่มากก็น้อย ความหมายของมันหมายถึงการอดทนอดกลั้นต่อในสิ่งเย้ายวนในใจช่วงระยะเวลาสั้น ๆ เพียงเพื่อคาดหวังให้ได้มาซึ่งสิ่งที่มัน 'คุ้มค่า' มากกว่าการได้รับแต่เพียงสิ่งที่สมองมันปลดปล่อยออกมาแค่ช่วงระยะเวลาประเดี๋ยวประด่าว
เช่นกันกับ Warframe ในการที่คุณจะสนุกกับเกมของมันได้ หนึ่งในอุปสรรคสำคัญที่ผมเชื่อว่าทุกคนต้องเจอ คงหนีไม่พ้นเรื่องของการพยายามทำความเข้าใจระบบและเกมเพลย์การเล่นของมันก่อนเป็นอย่างแรก
แน่นอนว่าผมอาจจะขอหยุดส่วนของเนื้อเรื่องเอาไว้ ณ ตรงนี้ ไม่ใช่เพราะว่ามันไม่น่าสนใจ แต่เนื่องมาจากว่ามันเป็นเกมที่มีเนื้อหาเยอะ + ใช้ระยะเวลาเล่นนาน และที่สำคัญการจะจับประเด็นสำคัญ ๆ เกี่ยวกับเนื้อเรื่องเกม ๆ นี้ให้ได้นั้น ดูจะเป็นเรื่องที่ 'ซับซ้อน' เกินกว่าที่ผู้เล่นใหม่คนหนึ่งจะทำความเข้าใจ
ทว่าในทางกลับกัน หากไม่ได้มองไปในส่วนของเกมเพลย์ เนื้อเรื่อง หรือแม้แต่เรื่องราวของระบบการเล่นที่มันมีมากกว่าแค่เป็นเกมยิงผ่านด่านไปเรื่อย ๆ เอง สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับเกี่ยวกับความเจ๋งของเกม ๆ นี้จนเป็นเหตุทำให้ผมหยิบมันมาพูดถึง นั่นก็เพราะด้วยหัวข้อที่ว่าด้วยเรื่องของ 'ความอดทนรอคอย' แทน
'ความอดทนรอคอย' หรือในภาษาอังกฤษเรียกว่า Delayed Gratification คือศัพท์ทางจิตวิทยาว่าด้วยเรื่องราวของการอดกลั้นต่อสิ่ง ๆ หนึ่งที่มันผุดโผล่ขึ้นมาเพื่อหลอกล่อและยั่วยวนใจของเรา
ในปี 2024 ท่ามกลางความวุ่นวายของโลกและสังคม ผู้คนต่างตื่นตระหนกถึงเรื่องราวมากมายหรือแม้แต่เกิดการตื่นรู้ถึงปัญหามากมายนับพันล้านอย่าง สงครามและความขัดแย้งที่ไม่มีวันจบสิ้น การฉ้อโกง การก่อความรุนแรงอย่างอุกอาจ หรือแม้แต่การที่เราได้เห็นสิ่งที่เรียกว่า 'แบ่งฝักฝ่าย' ชนิดที่มีเรื่องราวนานับที่ผมแทบจะรู้สึกปวดหัว
การพยายามจะข่มตานอนให้หลับทุกคืน คือสิ่งที่เป็นไปได้ยากสำหรับผู้ที่ 'เก็บกด' อารมณ์แง่ลบและความเดือดดาลภายในตัวมาเป็นระยะเวลานาน
เฉกเช่นเดียวกับการต่อสู้กับ 'ตัณหา' และ 'กิเลส' ที่สองอย่างนี้เรียกได้ว่าเป็นศัตรูที่เราไม่สามารถเอาชนะมันได้แบบ จริง ๆ จัง ๆ เลยสักครั้ง
ซึ่งนั่นรวมไปถึงการถลุงเวลาเกือบทั้งวันในการพยายามมองหาทรัพยากรภายในเกม Warframe เพียงเพื่อให้ได้มาซึ่ง 'พิมพ์เขียว' ในการสร้างส่วนประกอบของ Warframe ตัวใหม่ หรือแม้แต่การสร้างอาวุธเพียงแค่หนึ่งชิ้น
ความเหน็บหนาวที่ไกลออกไปสุดลูกหูลูกตา
เบื้องหลังนั้นกลับมี 'กำแพงที่มองไม่เห็น' ขวางกั้นไว้อยู่
อย่างไรเสียมันย่อมดูสงบและไม่น่าไว้วางใจ
ต่างกันราว 'ฟ้า' กับ 'เหว' เมื่อขึ้นอยู่บนยาน
ผมอาจมีเรื่อง ๆ หนึ่งที่ต้องขอสารภาพผิดเสียสักหน่อย และแน่นอนว่าเรื่อง ๆ นี้มันเป็นเรื่องที่มันค่อนข้างรบกวนจิตใจผมอยู่มากพอสมควร
ผมเสพติดการช่วยตัวเอง
เป็นระยะเวลาตั้งแต่เมื่อช่วงสิ้นปีที่แล้ว ตราบจนกระทั่งมาถึง ณ วันนี้ก็ได้ที่ดูเหมือนความพยายามในการที่ผมกำลังต่อสู้กับความกำหนัดในตัวมันได้หดหายไป เหลือเพียงแต่การปล่อยใจไปเพียงเพื่อทำให้ตัวเอง 'สำเร็จความใคร่' ผ่านทางสื่อลามกที่มันล้วนถูก 'ปรุงแต่ง' เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้คนเพียงในระยะเวลาสั้น ๆ
แม้จะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตมากนัก แต่ในหลาย ๆ ครั้ง มันกลับส่งผลถึงการที่ทำให้ผมหลุดโฟกัสในการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งออกไป เมื่อใดเองที่ 'สิ่งยั่วยวน' เหล่านั้นมันได้ปรากฎขึ้นมา กระตุ้นต่อมความรู้สึกอยากและกระสันเนื้อกระสันตัวขึ้นมา เมื่อนั้นเองจุดจบของมันกลับลงท้ายด้วยการที่ผมปลดปล่อย 'คาวโลกีย์' ออกมาด้วยแววตาและสมองอันปลอดโปร่งที่ภายหลังมันได้แทนที่ด้วย 'ความเศร้าโศก (Grief)' และ 'อาการซึมเศร้า (Depressed)' มาแทน
ทั้งสองอารมณ์นี้ล้วนมาในเวลาไล่เลี่ยกัน หากแต่สิ่งที่อยู่ติดทนยาวนานมากกว่ากลับเป็น 'ซึมเศร้า (Depression)' ที่ตัวมันเองทำให้สารเคมีในสมองของผมคิดวนอยู่กับเพียงเรื่องเดิม ๆ ซ้ำ ๆ จนไม่สามารถแม้แต่จะสลัดความรู้สึกแบบนั้นออกไปได้
การดื่มด่ำกับโลกของเกม Warframe ให้ความรู้สึกบางอย่างที่คล้ายคลึงเหมือนกับการได้ 'บำเพ็ญเพียร' ให้กับตัวผม และในทางกลับกันมันก็เปรียบเสมือนการอดทนรอคอย เพื่อที่ทำให้ผมได้พบพานเข้ากับสิ่ง ๆ หนึ่งที่ผมได้ตามหามันมาอย่างเนิ่นนาน
ตลอดของช่วงเวลาในชีวิตของการเล่นวิดีโอเกม มีความจริงอย่างหนึ่งที่ผมได้ตระหนักว่า 'ตัวเองกำลัง 'แก่' เกินกว่าวัยที่จะสามารถไล่ตามกระแสสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป'
อาจเป็นเพราะด้วยการเติบโตก็ดี หรืออาจเป็นผลมาจากเรื่องของสภาพแวดล้อม ณ ที่ผมอยู่ซึ่งโดยมากมันไม่ได้เปิดโอกาสให้ผมได้ลองทำสิ่งใหม่ ๆ มากสักเท่าไหร่ ไหนจะเรื่องของความคิดเกี่ยวกับการทำคลิปวิดีโอไปก็ดี หรือแม้แต่เรื่องของการผลิตสื่อในรูปแบบของ 'ภาพวาด' ที่มันเป็นหนึ่งในสกิลที่ผมไม่เคยรู้สึกถึงการเชื่อมต่อเข้ากับคนหลายคนได้ในโลกใบนี้
นั่นคงเป็นเหตุผลที่ว่าการเล่น Warframe ส่วนใหญ่ ผมจะใช้เวลาไปกับการเล่นโหมด Solo มากกว่ากับผู้เล่นคนอื่น ๆ
'ความแปลกแยก' และ 'ความตกรุ่น' ของการไม่สามารถไล่ตามกระแสหรือใครได้ทัน เสมือนเป็น 'คำสาป' ที่แลกมากับการที่ผมเลือกจะหันหลังให้กับโลกโซเชียลมีเดียไป แน่นอนว่าด้านดีคือมันช่วยทำให้ผมสามารถใช้เวลาที่จะโฟกัสและเข้าใจถึงสิ่งที่ตัวเองต้องการได้มากขึ้น หากแต่กลับกัน การขาดหายไปซึ่งความรู้สึกในการได้เชื่อมโยงกับคนอื่น ๆ ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองเริ่มจะ 'ปลีกวิเวก' ออกห่างจากสังคมเช่นนี้ไปมากขึ้นเสียทุกวัน และเก็บกลั้นความไม่พอใจต่าง ๆ ในชีวิตที่มันสะสมมากขึ้นจนทำให้ตัวเองเริ่มเกิดอาการ 'เจ็บป่วยทางใจ' ไป
ต้องขอโทษด้วยที่ผมอาจพูดถึง Warframe ไม่ได้มากเท่าไหร่ แต่เพื่อให้ได้เข้าใจถึงสถานะที่เป็นอยู่อย่างคร่าว ๆ นั่นคือผมมีความจำเป็นในการต้องพยายามฝึกฝนตัวเองเพื่อดำเนินชีวิตไปข้างหน้า พร้อมกับหล่อเลี้ยงไม่ให้ตัวเองดำดิ่งลงสู่ 'ความคิดแง่มืด' ไปมากกว่านี้
ตลอดระยะเวลาของการเล่น Warframe ช่วยทำให้สมองของผมได้คิดและตระหนักถึง 'คุณค่า' ของการที่มันสะท้อนออกมาผ่านการลองผิด - ลองถูกไปเรื่อย แม้จะใช้เวลานานหรือต่อให้อุปสรรคมันยากเกินไป แต่ทั้งนี้แล้วมันทำให้ผมรู้สึกสงบจิตใจตัวเองไปได้มากพอสมควร สะกดจิตเพื่อทำให้ผมไม่ต้องไปโฟกัสอยู่กับเรื่องราวของปัญหาชวนน่าปวดหัวมากมายที่มีอยู่บนโลกใบนี้ ประกอบกับความคิดเกี่ยวกับเรื่องของการ อัตวินิบาตกรรม ตัวเองที่มันหลุดออกไปจากหัวสมองของผม
ซึ่งอย่างไรก็ดี ในแง่ของกราฟฟิกหรือฉากภายในเกม Warframe นั้น ถือได้ว่าสวยตระการตาและค่อนข้างกินทรัพยากรเครื่องน้อยกว่าที่คิด
Warframe อาจไม่ใช่เกมที่โด่งดังมากในยุคปี 2024 หากแต่ด้วยช่วงเวลาของการที่มันได้ดำเนินมามากกว่าสิบปี ย่อมบ่งบอกได้ถึงฐานผู้เล่นเกมนี้ที่มัน 'เหนียวแน่น' มากเสียยิ่งกว่าเกมฟอร์มยักษ์หลาย ๆ เกมที่เพิ่งเปิดใหม่มาได้ไม่กี่ปี
ทว่ากว่าจะถึงช่วงเวลาของการที่ผมได้เสพสุขและ 'อดทนรอคอย' ในการจะได้สร้าง Warframe ตัวที่สามนั้นอาจเป็นเรื่องของ 'อนาคต' ที่มันคือหลักฐานชิ้นสำคัญที่ได้ทำให้ผมกลับไปเพื่อสร้างกำลังใจ รวมไปถึงเข้าสู่ช่วงของการ 'บำเพ็ญเพียร' และเรียกความมุ่งมั่นในการที่จะหยุดเสพติดการช่วยตัวเองไปอีกครั้ง
ผมอาจมีการบอกเล่าประสบการณ์ของเรื่องนี้ไว้อีกหนึ่งสัปดาห์ข้างหน้า หากแต่จะเป็นหัวข้ออะไรนั้น...
เป็นเรื่องของ 'อนาคต'
ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ :)
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น