อัตลักษณ์ทางเพศ และการกำหนดคำนิยามเกี่ยวกับ 'รสนิยมทางเพศ' ในมุมมองของมนุษย์ที่อยู่กับความเป็นจริง (ฉบับเป็นกลาง)
แด่ความหอมหวานเมื่อแรกเยิ้ม
ตราบจนแปรเปลี่ยนเป็น 'ความซับซ้อน' ที่ยากเกินจะเข้าใจ
ช่วงเวลาสี่วันก่อนหน้านั้น ผมได้ทราบข่าวคราวถึงเรื่องราวเกี่ยวกับนโยบายในอนาคตเกี่ยวกับแพลตฟอร์มโซเชียล ๆ อันหนึ่งที่มันได้จุดชนวนก่อเกิดการอพยพครั้งใหญ่ของเหล่าผู้เรียกตัวเองว่า 'สายผลิต' หรือหากจะพูดแบบเพื่อให้เข้าใจง่าย ๆ นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า 'ศิลปิน' และ 'ผู้สร้างสรรค์ผลงาน'
แน่นอนว่านโยบาย ณ ตรงนั้นมันดูเหมือนจะเกี่ยวเนื่องเข้ากับหัวข้อ ๆ หนึ่งที่ยึดโยงไปถึงว่าด้วยเรื่องราวของ 'ปัญญาประดิษฐ์' และ 'การนำไปใช้งาน' ซึ่งแม้ว่าในมุมมองของผมอาจโอนเอนไปทางฝั่งของเหล่าศิลปินอยู่บ้างในฐานะที่มันข้องเกี่ยวกับสายงานที่ผมกำลังทำอยู่ในปัจจุบัน หากแต่เนื่องด้วยอาจเพราะผมเลิกราอย่างเด็ดขาดเกี่ยวกับการกลับเข้าไปยังโลกของ โซเชียลมีเดีย อีกครั้ง มันเลยทำให้เรื่องราวเหล่านี้ เลยไม่ได้ส่งผลต่อตัวผมเองมากเท่าไหร่นัก
ถึงกระนั้น ผมเองก็ไม่ใช่พวกที่จะปิดกั้นในการรับรู้ถึง 'ความเจ็บปวด' และ 'ความลำบาก' เหล่านั้น กลับกันเพราะยิ่งเข้าใจถึงมันมาก นั่นเลยเป็นเหตุผลที่ผมถึงพยายามย้ำอยู่ตลอดถึงการพยายามมองหา 'จุดยืน' ในตัวเองให้ได้ สร้างฐานขึ้นมาโดยปราศจากความต้องการจากภายนอก หากแต่ควรหันเหไปสำรวจและตกผลึกในความคิดของตัวเองให้ดี ไม่เช่นนั้นแล้ว สิ่งที่คุณกำลังจะเป็นอยู่อาจไม่ต่างอะไรไปจาก 'เครื่องจักร' ชิ้นหนึ่งที่พยายามเรียกร้องเพื่อคาดหวังอะไรใด ๆ ก็ตามจากตัวเหล่าสังคม (ซึ่งแน่นอนว่ามันอาจจะสร้างความ 'วินาศสันตะโร' ขึ้นไปอีกขั้น หากว่าคุณเป็นคนที่มีมุมมองความเห็นต่างจากพวกเขา)
ผมอาจดูเป็นพวกไม่แยแสใด ๆ ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น กระนั้นมันไม่ได้แปลว่าผมจะไม่รับรู้ถึงเรื่องราวเหล่านี้ สิ่งที่พวกเขาเผชิญกับมันอยู่ ผมรู้ว่าตัวผมเองไม่สามารถเอา 'ประสบการณ์' หรือ 'ความยากลำบาก' ของตัวเองในการเอาไปเปรียบเทียบกับใครได้ เพราะในท้ายที่สุด ไม่ว่าต่อให้เราจะเผชิญหน้ากับเหตุการณ์อะไรก็ตามแต่ในชีวิตนั้น ท้ายสุดทุกอย่างมันก็ลงเอยด้วยการที่เราต่างต้องพยายามประคับประคองตัวเอง และมองหาถึง 'จุดมุ่งหมายในชีวิต' เพื่อให้มีลมหายใจอยู่รอดไปถึงวันพรุ่งนี้
หากแต่กระนั้น จะด้วยเพราะสัญชาตญาณหรือสิ่งที่เรียกว่า 'ความรู้สึก (Sensibility)' มันกลับได้บอกกับตัวผมถึงความเป็นไปได้ที่ในอนาคตมันอาจเกิดปรากฎการณ์ที่เรียกว่า 'ย้อนกลับ (Backfire)' ใส่เหล่าผู้คนที่กำลังพยายามผลักดันในความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องอันละเอียดอ่อนมากที่สุดที่ผมกำลังจะพูดถึง
ซึ่งในที่นี้ก็ตรงกับประเด็นของหัวข้อที่ว่าด้วยเรื่องราวของสิ่งที่เรียกว่า 'อัตลักษณ์ทางเพศ (Gender Identities)'
นาย/เธอ/เขา สวยและดูดีในแบบของตัวเอง
เพื่อที่จะให้เข้าใจตรงกัน อย่างแรก ผม ไม่สนับสนุน ในเรื่องของการใช้ความรุนแรงไม่ว่าจะด้วยกับใครหรืออะไรก็ตามที่อาจก่อให้เกิดการสร้าง 'บาดแผลอันร้าวฉาน' ที่ทำให้พวกเราต่างแตกหักกันได้
และอย่างที่สอง มุมมองทั้งหมดถือเป็น 'ความคิดเห็นส่วนบุคคล' ซึ่งอาจมีการกล่าวถึงและกระทบกับเหล่าผู้ที่นิยาม 'อัตลักษณ์ทางเพศ' ของตัวเองอยู่เพียงในระดับหนึ่ง
ฉะนั้นแล้ว หากว่ามีบางส่วนที่ผมเข้าใจคลาดเคลื่อนหรือผิดไปจากความหมายจริง ๆ ของมัน ถือเสียว่ามันเป็นเพียง 'ความเขลา' และ 'ขาดความรู้และเข้าใจ' ของตัวผมเองแต่เพียงผู้เดียว
ปล. อย่าแขวนกุเถอะ ขอร้อง
ก่อนอื่นเพื่อไม่ให้เป็นการเริ่มต้นแบบห้วน ๆ มากเกินไป ผมมีคำถามอยู่หนึ่งข้อที่อยากฝากถามไปถึงเหล่าผู้ที่ยึดถือในอัตลักษณ์ทางเพศของตัวเองก่อนเป็นส่วนสำคัญ
'อัตลักษณ์ทางเพศ' คือสิ่งที่จำเป็นหรือไม่ ในโลกที่ ณ เวลานี้ผู้คนต่างกำลังอดยากปากแห้ง และกำลังค่อย ๆ ตายลงไปด้วยสาเหตุของสงคราม ความรุนแรง และการสร้างความเกลียดชังซึ่งกันและกัน?
อาจฟังดูเหมือนว่ามันธรรมดาไปเสียหน่อย ทว่าผมเองก็อยากจะเพิ่มคำถามอีกหนึ่งข้อกลับไปด้วยเช่นเดียวกัน
หากไม่นับไปถึงการสร้างคำนิยามหรือกำหนดว่าตัวคุณเองว่าเป็นเพศ เชื้อชาติ ศาสนา หรือแม้แต่ละทิ้งไปซึ่งสิ่งภายนอกแทบทั้งหมด คุณคิดว่าตัวคุณจะยังมี 'ตัวตน' อยู่ในฐานะของมนุษย์คนหนึ่งอยู่หรือเปล่า?
สองคำถามจากด้านบน นั่นคือ 'ส่วนหนึ่ง' ที่ผมอยากเก็บเอาไว้เพื่อไปค้นหาคำตอบของสิ่งที่ตัวคุณเองเป็น และเช่นเคย มันไม่มีคำตอบที่ "ถูก" หรือ "ผิด" หากแต่ผมเชื่อว่าเราต่างล้วนมี จุดยืน ในเรื่องนี้เป็นของตัวเองกันอยู่แล้วตั้งแต่ต้น
ทว่าการจะสร้างจุดยืนได้นั้นคือสิ่งที่ต้องใช้เวลา มันไม่ได้ปรากฎขึ้นมาแค่เพียงชั่วระยะเวลาข้ามคืน และแน่นอนว่าการพยายามจะสร้าง 'คำนิยาม' ถึงความเป็นตัวของคุณเอง นั่นอาจแปลว่ามันคือ 'คุณค่า' ของสิ่งที่ตัวคุณกำลังยึดถือมันอยู่ ณ ปัจจุบัน
ว่ากันตามตรง มุมมองของสิ่งที่มันถูกเรียกว่า 'อัตลักษณ์ทางเพศ' สำหรับผมถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้าง 'ไร้สาระ (Absurd)' ในระดับหนึ่ง เฉกเช่นเดียวกับการพยายามกำหนดคำนิยามของ 'รสนิยมทางเพศ' ที่ผมมองว่านั่นเป็นเพียง 'สิ่งภายนอก' ที่อยู่นอกเหนือไปจากความเข้าใจทางธรรมชาติของพวกเราในฐานะของ 'มนุษย์'
แน่นอนว่านี่อาจฟังดูเป็นความเห็นที่ชวนจุดประเด็น 'ร้อนแรง' มากเสียเกินไปหน่อย ทว่าหากเราลองมองย้อนดูกลับไป ณ ตั้งแต่ช่วงเวลาที่โลกถือกำเนิดขึ้นมา รวมไปถึงบันทึกทางประวัติศาสตร์และทางวิชาการเป็นจำนวนมาก สิ่งเหล่านี้เองมันไม่เคยที่จะถูกกำหนดขึ้นมาอย่างจริง ๆ จัง ๆ หากแต่เสมือนเป็นเพียง 'แนวคิด (Ideology)' หรือ 'ความเชื่อ (Belief)' เรื่องหนึ่งที่มันมาจากตัวของผู้ที่อยากกำหนดคำเหล่านั้นเพื่อเป็นหลักในการยืนยันถึง จุดยืน บางอย่างให้เราได้ยอมรับและตระหนักถึงมัน
เฉกเช่นที่มันเกี่ยวโยงไปถึงเรื่องราวที่เรียกว่า 'สิทธิมนุษยชน (Human's Right)' เช่นเดียวกัน
ผมค่อนข้างมีความเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าไม่ว่าพวกคุณจะมาจากที่ไหน หรือจะมีแนวคิดในด้านใด ๆ หากแต่สิ่งหนึ่งที่เรากลับตระหนักได้เป็นอย่างดี คือการที่พวกเราทุกคนต่างเป็น มนุษย์ผู้มีปัญญาชน ที่กำลังดิ้นรนเพื่อต่อสู้อยู่กับความอยุติธรรมที่หวังในการริดรอน 'สิทธิ์' และ 'เสรีภาพ' ของพวกเรา
เราต่างหันปากกระบอกปืนเข้าใส่กันอย่างไม่ลังเล เราต่างสามารถที่จะเหยียบย่ำหรือ 'เข่นฆ่า' ใครก็ตามที่ล้วนมีความเห็นหรือแนวคิดต่างไปจากเรา
'เนื้อแท้ (Intrinsic)' ของมนุษย์ล้วนต่างแฝงไว้ซึ่งกิเลสและตัณหา ความรุนแรงที่มันฝังรากลึกลงไปยันระดับพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตเช่นพวกเรา หากปราศจากซึ่งนวัตกรรม เทคโนโลยี หรือสิ่งใด ๆ ก็ตามที่มันไม่ได้ขึ้นตรงอยู่กับ 'ธรรมชาติ (Nature)' อาจแปลไปได้ว่าพวกเราคือสัตว์หรือสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญา และรับรู้ว่าการพยายามปฏิเสธถึงสิ่งที่มันเป็นในระดับ แก่น (Core) นั้นหมายถึงการที่เราพยายามทำตัวเพื่อออกห่างจากสัญชาตญาณดิบที่ทำให้พวกเราดำรงเผ่าพันธุ์มาโดยมีชีวิตรอดถึงทุกวันนี้ได้ โดยไม่ได้สูญพันธุ์ไปเสียก่อน...
ในทางปรัชญา สิ่งที่เรียกว่า 'สารัตถะ (Essence)' คือคุณลักษณะของการบ่งบอกถึงความเป็นตัวของตัวเอง และแน่นอนว่าในความหมายหรือการให้คำนิยามของมัน ก็ล้วนขึ้นอยู่กับมุมมองของเหล่าผู้คนมากมายที่พยายามจะหยิบยกมันขึ้น อาจเพื่อกำหนดถึงมันอย่างมีรูปธรรมไปก็ดี หรือแม้แต่การหยิบเอาเรื่องของความเชื่อทางศาสนามาพูดถึงบ้างก็ดี หรือแม้แต่ลึกลงไปยันระดับถึงสิ่งที่เรียกว่า 'วิญญาณ' ที่เราเองยังคงถกเถียงกันอย่างไม่จบสิ้นถึงความเป็นเหตุเป็นผลของมัน
อย่างไรก็ตาม ผมในฐานะของ 'มนุษย์' คนหนึ่ง ผู้มีความชื่นชอบในหลากหลายด้าน หากแต่สิ่งหนึ่งที่ผมกลับชื่นชอบมากที่สุด คือการพยายามมองหาและเรียนรู้ถึง 'แนวคิดทางปรัชญา' ที่มันเองมีจำนวนอยู่มากมายในโลกใบนี้ ศาสตร์ความรู้อันเก่าแก่แขนงหนึ่งของมนุษย์ที่เริ่มต้นจากการที่เราเริ่มรู้จัก 'คิด (Thinking)' ขึ้นมา ก่อให้เกิดกลายเป็นชุดคำถามและแนวคิดต่าง ๆ ที่ถูกเรียกออกมาด้วยศัพท์และภาษาอันเข้าใจยากมากมาย แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ผิวเผินมันอาจดูเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาก็จริง หากแต่เมื่อใดเองที่คุณได้ริเริ่มและพยายามเข้าใจถึงมันมากขึ้น ตระหนักและตกผลึกถึงมันมากขึ้น เมื่อนั้นมันอาจจะเป็นการ 'ปลดล็อค' อะไรบางอย่างในตัวคุณออกไป เมื่อนั้นคุณจะเริ่มมองโลกใบนี้ไม่เหมือนกับสิ่งที่สังคมพยายามเรียกร้องเพื่อหามัน...
ราวกับดวงตาของผมได้เบิกกว้าง
กระนั้นก็เป็นอันยากเกินกว่าจะทำความเข้าใจมันได้เสียหมด
โอ เจ้าความโง่เขลานี้ ช่าง ไร้แก่นสาร เสียนี่กระไร
ไฉนตัวข้ากลับถึงช่างรู้สึกถึง 'ความโดดเดี่ยว' เช่นนี้...
อาจเพราะด้วยความที่ผมนั้นมองเห็นโลกอย่างไม่กว้างขวางเพียงพอ หรือไม่มันก็เพราะว่าผมไม่ได้มีโอกาสหรือฐานะทางสังคม แม้แต่เรื่องของเงินตรา อันเป็นสิ่งที่มันถือเป็น 'อุปสรรคสำคัญ' ที่ตัวผมไม่อาจเข้าถึงชุดความรู้ที่ตัวเองยังไม่ได้เข้าใจมันได้อย่างถ่องแท้มากนัก
ใด ๆ เองเสีย สิ่งเหล่านั้นก็ไม่ได้แปลว่ามันจะไม่มีอยู่ บางทีผมอาจแค่เพียงมองพวกมันอย่าง 'ตื้นเขิน' มากเกินไปเสียจนหลงลืมไปว่าสิ่งเหล่านี้มันอาจไม่ได้มี 'ความเป็นจริง (Reality)' แฝงไว้อยู่ แต่กลับกลายเป็นสิ่งที่เราต่างสร้างมันขึ้นจากจินตนาการของเรา กำหนดคุณค่า กำหนดคำนิยาม และกำหนดเรื่องราวของความเชื่อที่เปรียบเสมือน 'เครื่องมือ' ในการควบคุมให้เราอยู่ในกรอบชั้นแรก จนกระทั่งเมื่อมันมีสิ่งที่เรียกว่า 'กฎหมาย (Laws)' เข้ามาระบุถึงความชัดเจนของมันไปอีกครั้ง
จินตนาการไร้ขอบเขต (Boundless Imaginations)
ผมคงจะไม่หยิบยกเอาประเด็นถึงเรื่องใด ๆ ก็ตามเกี่ยวเนื่องกับสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมมาพูดถึงมากเสียเท่าไหร่หลังจากนี้ เว้นเสียแต่ถ้าไม่ติดกับที่ 'ความคิดอันไม่พึงประสงค์ (Intrusive Thoughts)' ของผมมันจะเข้ามาหาหน้าประตูบ้านของผมไปอีกครั้ง เปรียบเสมือนเป็น เงา ที่ตัวมันเองพยายามทำให้สมองของผมไขว่เขวออกไปจากประเด็นที่ผมกำลังพิมพ์อยู่ ก่อนที่จากนั้นมันจะเข้ามา 'ยึด' หรือ 'สิง' ตัวของผมให้กลายเป็นเสมือน 'สัตว์เดรัจฉาน (Wild Animal)' ที่ยึดถือแต่เพียงสัญชาตญาณเพื่อเอาตัวรอด จนสุดท้ายก็ขาดสติสัมปชัญญะและจบลงด้วยการ อัตวินิบาตกรรมทางจิตวิญญาณ เสมือนว่านั่นคือ 'การตายจากสังคม (Social Death)' ไปอย่างสมบูรณ์
ใช่ ผมหวังว่ามันคงไม่เป็นแบบนั้น หรือถ้ามันเป็นไปแล้ว อาจแปลได้ว่ามันคือ 'ตัวตนเก่า (Old-self)' ของผมเองที่มันได้ ตาย ลงไปภายหลังจากที่ยาปรับสารเคมีในสมองเริ่มทำงาน
แด่ความทุกข์ระทมทั้งหลายที่ข้าได้เผชิญ
ขอจงนำพาให้ข้าได้จักพบถึง 'แสงสว่าง' ในชีวิต
แด่ความผิดพลาดทั้งหลายที่ข้าได้กระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ขอจงนำพาให้ข้าได้จักพบถึง 'ความถูกต้อง' ที่ข้าสมควรได้รับ
สวัสดีตอนเช้า สาย เที่ยง บ่าย เย็น และค่ำคืน
และขอบคุณที่อ่านจนจบครับ :)
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น