[ตกผลึกทางความคิดผ่านโลกวิดีโอเกม Ep.1] ปฐมบทสู่ดูไบ กับความประสาทหลอนของนายทหารผู้หลงผิด (Spec Ops: The Line)
"This is Captain Martin Walker, requesting immediate evacuation of Dubai. Survivors... one too many."
อาจจะด้วยเหตุการณ์จากหลายวันที่ผ่านมา ผมได้พยายาม 'ผลัดวันประกันพรุ่ง' เกี่ยวกับความต้องการที่จะพูดถึงเกม ๆ หนึ่งอยู่บ่อยครั้ง จนกระทั่งเมื่อมันมาถึงตอนนี้ ดูเหมือนว่าความนิสัยเสียตรงนั้นของผมเองเริ่มที่จะถูกแทนที่ด้วยคำว่า 'ข้ออ้าง' แทน
อย่างไรเสีย ผมคงเบื่อหน่ายเกินพอจะทำตัวเช่นนั้นไปแล้ว
ยินดีต้อนรับ
และสวัสดีแด่เหล่าผู้ที่ยังเหลือรอดอยู่
สำหรับช่วงนี้อาจถือว่าเป็นการทดลองการเขียนในรูปแบบใหม่ไปในตัว ซึ่งผมอยากจะเริ่มต้นด้วยประเด็นของหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรียกว่า 'การตกผลึกทางความคิด' ผ่านจากการนำเอาประสบการณ์ที่ได้จากโลกของวิดีโอเกมมาเป็นส่วนประกอบในการนำเสนอ
ส่วนนี้จะไม่มีการบอกเล่าประสบการณ์จากการเล่นเกมมาแต่อย่างใด แต่มันจะเป็นการนำเอาประเด็นบางอย่างของสิ่งที่มันถูกนำเสนอมาจากตัวของวิดีโอเกมแต่ละแนวตามที่ผมได้เล่น แน่นอนว่าในบางครั้งมันอาจมี 'ข้อผิดพลาด' หรือ 'ตกหล่น' ไปบ้างในบางจุดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ เนื่องจากว่าวิดีโอเกมนั้นเป็นสื่อบันเทิงที่ค่อนข้างสามารถ 'ตีความ' ไปได้หลากหลายทาง ต่างจากการภาพยนตร์ อนิเมะ หรือแม้แต่สื่อบันเทิงในรูปแบบที่มันถูกนำเสนอผ่านตัวของ 'ผู้สร้างสรรค์ผลงาน' ที่โดยมากมักจะมีการทิ้งช่องว่างบางอย่างเอาไว้ให้กับตัวผู้เสพผลงานนำไปคิดต่อในอนาคต
และสำหรับวันนี้ (ไม่สิ... ครั้งนี้มากกว่า ;p)
ถึงเวลาที่ผมอยากมาพูดถึงเกม ๆ หนึ่ง กับประเด็นในเรื่องของ 'สงคราม, ความขัดแย้ง และการหลงผิด' ซึ่งในที่นี้ผมกำลังพูดถึงวิดีโอเกมที่มีชื่อว่า Spec Ops: The Line ครับ
Do you feel like a hero yet?
ก่อนที่จะเริ่มต้นสู่เนื้อหาและประเด็นที่น่าสนใจ มีเรื่องหนึ่งที่ผมอยากจะขอตั้งคำถามสักเล็กน้อยถึงเหล่าผู้คนที่ชื่นชอบในการเล่นเกมแนว Military Shooter และ Tactical Shooter ทั้งหลาย ๆ คน
ความสมจริงของเกมเพลย์ประเภทนี้ มัน 'สมควร' สอดคล้องกับ 'ความเข้าถึงง่าย' ของผู้เล่นสาย Casual ที่ต้องการเล่นเกมแนวนี้แบบสบาย ๆ หรือไม่?
จำเป็นหรือเปล่าที่เกมแนว Military และ Tactical ต้องมีความสมจริงลึกลงจนถึงขั้นที่มันส่งผลทำให้เกมการเล่น 'ทิ้งห่าง' จาก 'ตรรกะในโลกวิดีโอเกม' ไปในรูปแบบของการตอบสนองต่อผู้เล่นสาย Hardcore เพียงอย่างเดียว?
สาเหตุหนึ่งที่ผมตั้งคำถามสองข้อนี้ขึ้นมา ทั้งหมดนั้นไม่ได้เพื่อที่จะชวนโจมตีกลุ่มผู้ชื่นชอบในการเล่นเกมแนวนี้แต่อย่างใด ประกอบกับรวมไปถึงการที่ผมเองได้มีส่วนร่วมในการคลุกคลีกับกลุ่มผู้ที่พวกเขามีความชื่นชอบในการเล่นเกมแนวนี้อยู่บ่อย ๆ ซึ่งแม้ว่า ณ ปัจจุบันผมอาจไม่เคยได้สัมผัสกับเกมแนวนี้แบบจริงจังมากนัก อีกทั้งเนื่องด้วย ณ ช่วงเวลาหนึ่ง ภายในโลกของอินเตอร์เน็ตหรือว่าแม้แต่ใน 'โซเชียลเน็ตเวิร์ก' มันค่อนข้างจะมีคนอยู่ประเภท ๆ หนึ่งที่พวกเขามักชอบที่จะได้ 'อวดอ้าง' สรรพความรู้มากมายที่เกี่ยวข้องกับ 'ปืน' หรือ 'เรื่องทางการทหาร' ที่ระดับของมันมีไปตั้งแต่การเข้าใจถึงข้อมูลที่ผิดพลาด บ้างก็กระทั่งยันไปในเรื่องของการนำเอา 'สิ่งที่ไม่ควรเผยแพร่' ออกมา 'เผยแพร่' สู่สาธารณะชน จนเกิดกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตระดับโลกไป
แน่นอนว่าส่วนปัญหาเหล่านั้น เราจะไม่มาพูดถึง ณ ที่ตรงนี้
หากแต่มันเป็นสองคำถามด้านบนไปเสียต่างหาก ที่ผมคิดว่ามันคือ 'มุมมองอันน่าคิด' เกี่ยวกับเรื่องของความสมจริงในโลกวิดีโอเกมที่หลาย ๆ ครั้งสิ่งเหล่านี้มันดู 'ไปไกล' เกินกว่าประโยคของ 'ตรรกะโลกวิดีโอเกม' ไปเสียอย่างนั้น
ในมุมมองสำหรับผมที่มีต่อเกมสองแนวที่ว่านี้ 'ความสนุก' กับ 'ความสมจริง' ถือเป็นคนละเรื่องเดียวกัน ความคาดหวังในการอยากได้เห็นถึงซีนปฏิบัติการทางทหารแบบเท่ ๆ คูล ๆ ที่บางครั้งแล้ว ภาพของความเป็นจริงอาจไม่ใช่สิ่งที่ถูกนำเสนอมาแต่อย่างใด เคยจินตนาการกันเล่น ๆ ไหมว่าสำหรับผู้ที่เขาได้เป็น 'ทหารอาชีพ' จะได้มีโอกาสในการกระทำสิ่งเหล่านั้นในโลกความเป็นจริงที่มันดันสอดคล้องกับ 'โลกในวิดีโอเกม' ไปมากมายแค่ไหน? หรือว่าแท้จริงเราอาจแค่ 'หลงผิด' คิดว่าสิ่งที่มันถูกนำเสนอออกมาคือ 'ความเป็นจริง' ที่ตัวมันอาจไม่ได้สนุกสนานหรือให้ความเพลิดเพลินมากกว่าที่เราจินตนาการเอง?
ข่าวเกี่ยวกับแฟรนซ์ไชน์อย่าง Call of Duty และ Battlefield หนึ่งในสองเกมดังยักษ์ใหญ่แห่งวงการที่แรกเริ่มมันได้ถูกนำเสนอออกมาในรูปแบบของ Military Shooter ที่มีการนำเอาพื้นหลังของเรื่องราวในประวัติโลกมาเสริมและปรุงแต่งจนได้กลายเป็น 'วิดีโอเกม' ในรูปแบบของตนเอง แน่นอนว่าเรื่องราวที่มันชวนถูกวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดจากเหล่าคนเล่น ส่วนใหญ่มักเป็นเรื่องของ 'ความแม่นยำในประวัติศาสตร์จริง' กับ 'ความสมจริงของเรื่องราวที่ถูกนำเสนอ'
สองหัวข้อนี้มันเคยเป็นประเด็นใหญ่ ๆ มาก่อนในสองแฟรนซ์ไชน์ของทั้งสองเกมมาก่อน และแน่นอนว่า ณ ช่วงเวลาหนึ่งมันได้มีการถกเถียงกันอย่างใหญ่โตต่อสิ่งที่มันถูกนำเสนอมาโดยปราศจากซึ่ง 'ความถูกต้องของหน้าประวัติศาสตร์' ที่ถ้าหากให้ผมแตกประเด็นหยิบย่อยไปอีกหลาย ๆ เรื่อง เชื่อว่าผมเองคงไม่ได้เล่าถึงเรื่องของเกม Spec Ops: The Line ไปพอดี ;P
ถึงกระนั้นเองก็ตามแต่ เรื่องเหล่านี้มันก็ชวนน่าคิดกันไม่น้อยว่ามุมมองของเหล่าผู้ที่เขาชื่นชอบในเกมแนว Military Shooter และ Tactical Shooter ไปจริง ๆ นั้น พวกเขาต้องการอะไรมากกว่ากัน
'เกมเพลย์ที่สนุก'
'ความสมจริงของเกม'
'เนื้อหาที่ถูกต้องตามประวัติศาสตร์จริง'
'การนำเสนอเรื่องราวของสงครามที่ผ่านจากมุมมองของผู้มีประสบการณ์จริง ๆ ในสนามรบ'
หรืออย่างสุดท้าย นั่นคือหลงใหลในสงครามมากเกินขนาด จนถึงขั้นไม่เคยได้ศึกษาประวัติศาสตร์ไปจริง ๆ ว่ามัน เลวร้าย และ หดหู่ มากกว่าแค่เพียงที่ถูกนำเสนอ...
Spec Ops: The Line เป็นเกมที่นำเสนอเรื่องราวของปฏิบัติการช่วยเหลือผู้รอดชีวิตจากเมืองดูไบ ภายหลังจากถูกพายุทะเลทรายขนาดใหญ่โหมกระหน่ำจนทำให้เกิดมีผู้เสียชีวิตมากจำนวนหลายหมื่นคน (หรือมากกว่านั้น) ซึ่งเรื่องราวมันจะเริ่มต้นด้วยการเปิดด้วยบทสนทนาของตัวละครผู้มีนามว่า 'มาร์ติน วอคเกอร์' หรือ 'กัปตัน วอคเกอร์' ซึ่งเขาจะทำหน้าที่ในการนำทีมของตัวเองเข้าไปเพื่อช่วยเหลือ 'ผู้พันคอนราด' หลังจากได้รับสัญญาณวิทยุติดต่อเข้ามาเมื่อหลายวันก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว
เรื่องราวของเกมนี้นำเสนอออกมาโดยเริ่มต้นขึ้นจากพล็อตเรื่องที่เข้าใจได้ง่าย ๆ เฉกเช่นเดียวกับเกมเพลย์แนวเกม 'ยิงมุมมองบุคคลที่สาม (Third Person Shooter)' ที่มันให้กลิ่นอายถึงความเป็นทหารมืออาชีพที่มีความทะมัดทะแมง มีความสามารถทางยุทธวิธีในรูปแบบเท่าที่นาวิกโยธินคนหนึ่งจะมีได้ ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ได้พ่วงมาแค่เพียงหนึ่ง แต่มีถึงสามคนด้วยกัน
กัปตัน วอคเกอร์ มีลูกทีมประจำกายอยู่สองคน นั่นคือ 'อดัมส์' กับ 'ลูโก้' ซึ่งพวกเขาแต่ละคนมีหน้าที่คอยเป็นคู่ขาในการสนับสนุน ช่วยเหลือ รวมไปถึงอยู่ภายใต้คำสั่งของกัปตันผู้สั่งการ (ซึ่งในที่นี้คือ 'ผู้เล่น') โดยตลอดเกมการเล่นทั้งหมดนั้น ผู้เล่นจะไม่ใช่แค่การบุกเดี่ยวเข้าไปสังหารศัตรูอย่างบ้าเลือด แต่เป็นการหลบเข้าที่กำบัง ออกคำสั่งให้กับลูกทีมทั้งสอง รวมไปถึงคิดแผนการตั้งรับขับสู้ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่มันเปลี่ยนไปเมื่อตัวเกมมันได้ดำเนินไปจนถึงจุดที่มันยิ่งมีความสำคัญอย่างมากที่ควรจะระมัดระวังตัวไปทุกฝีก้าว
ส่วนของเกมเพลย์นั้นอาจไม่ใช่อะไรที่น่าจดจำมากนัก และในทางกลับกันหากลองมองย้อนไปยังเมื่อช่วงเวลาที่เกมมันได้ถูกเปิดตัวใหม่ ๆ Spec Ops: The Line ดูเหมือนมันแทบจะเป็นเกมที่ไม่ได้อยู่ในกระแสหลักที่มีผู้เล่นให้ความสนใจ ณ ช่วงปี ค.ศ. 2012 ที่วงการวิดีโอเกมในช่วงเวลานั้นมันค่อนข้างเป็นอะไรชวนมีสีสันอยู่มากพอสมควร
การเปิดตัวอย่างของเกม Call of Duty Black Ops II ที่ทำให้หลาย ๆ คนต่างรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้หมายลองมัน
การมาของ Far Cry 3 ที่ ณ เวลาต่อมามันได้กลายเป็น 'มาตรฐานประจำซีรี่ส์' ที่ออกมาเกือบหลายภาคผ่านค่ายที่เราต่างรัก (เกลียด) มันเป็นอย่างดี ;P
หรือว่ามันเป็นการมาถึงของเกมแนว Looter Shooter ชื่อดังอย่าง Borderlands 2 ที่มันคือภาคต่อจากซีรี่ส์เกมแนว RPG Shooting ที่ผมเคยถลุงเวลาให้กับมันไปมากกว่าหลายสิบชั่วโมง
ลิสต์รายชื่อเกมที่ผมนำมาพูดถึงส่วนใหญ่ คงน่าจะเดากันได้ไม่ยากว่าตัวมันเองสร้างกระแสฮือฮาของเหล่าเกมเมอร์ไปได้มากแค่ไหน แน่นอนว่าที่จริงแล้วมันยังมีอีกหลายเกมมากที่เปิดตัว ณ ช่วงเวลานั้น และถ้าหากบอกกันตามตรงแล้ว อุตสาหกรรมเกมในช่วงยุคปี 2010 ถือได้ว่ามันคือ 'ยุครุ่งเรือง' พอสมควร แถมยังมีโมเมนท์ที่น่าจดจำในหลาย ๆ เหตุการณ์ จนมันถูกขนานนามว่านั่นคือ 'Golden Age แห่งโลกวิดีโอเกม' ไปเลยก็ไม่ผิดนัก
และมันค่อนข้างต่างกันมากกับยุคสมัย ณ ปัจจุบัน สิ่งดี ๆ เหล่านั้นในครั้งอดีตมันกลับถูกหลงลืมไป แปรเปลี่ยนกลายเป็น 'ความทรงจำสีจาง' ที่ได้แต่หวนมองนึกย้อนถึง
'การถูกมองข้าม' คือสิ่งที่แย่พอ ๆ กับการถูกเมินเฉย หากแต่เมื่อเทียบกับระดับความรุนแรงของทั้งสองอย่างนั้น มันกลับอยู่ในระดับที่ร้ายแรงพอกัน
Spec Ops: The Line เป็นเกมที่ปรากฎออกมาอยู่ท่ามกลางความร้อนระอุของกระแสโลกวิดีโอเกม ณ ช่วงเวลาที่ตัวของมันไม่ได้มีความน่าสนใจมากเท่าที่เป็น เปรียบดั่งเสมือน 'เพชรในตม' ที่น้อยคนจะหยิบเกม ๆ นี้มาเล่น จริงอยู่ว่าเกมเพลย์และตัวอย่างที่นำเสนอของมันจะไม่ได้หลุดโผไปกว่าความเป็น Military Shooter มากเท่ากับตัวของ Call of Duty Black Ops 2 ที่มันได้จุดประเด็นเริ่มทำให้เหล่า 'แฟนเกม' บางคนเริ่มตั้งข้อสงสัยถึงการนำธีมแนวโลกอนาคตอันใกล้ออกมานำเสนอ ทั้งที่แต่ก่อนนั้น ธีมหลักของมันส่วนใหญ่จะเป็นการนำเอาเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์มาผูกโยงเข้ากับเรื่องราวที่ถูก 'ปรุง, เสริม, แต่ง' ขึ้นมาจนเข้ากันกับเนื้อเรื่องในประวัติศาสตร์จนทำให้เรารู้สึก Immerse ไปกับมันได้อย่างไม่ยากเย็น
แน่นอนว่าเรื่องนี้มันก็เคยติดอยู่ในใจผมอยู่ ณ ช่วงเวลาหนึ่ง สมัยตอนที่ยังเป็นเพียง 'เด็กน้อย' ผู้ที่ไม่เคยได้ตกผลึกทางความคิดใด ๆ นอกจากเพียงใช้ชีวิตอยู่ไปอย่างไร้จุดหมาย และฟันฝ่าเรื่องราวชวนจิตตกในโรงเรียนสหเพศที่ต้องประสบพบเจอกับการถูกบูลลี่ในโรงเรียนอยู่บ่อยครั้ง
'วิดีโอเกม' คือตัวเลือกหนึ่งอย่างที่ผมหันไปพึ่งพามัน เพื่อที่จะให้ผ่านพ้นความเจ็บปวดของเรื่องราวที่เกิดขึ้น ณ เวลาช่วงนั้นไปได้ แม้จะไม่ทั้งหมด แต่มันก็มากเพียงพอทำให้ผมมีความรู้สึกอยากมีชีวิตอยู่ต่อ
ส่วนของเนื้อเรื่องสำหรับ Spec Ops: The Line ผมจะไม่ขอเล่าถึงรายละเอียดเชิงลึกของมันไปมากนัก และแม้ว่าจริงอยู่ที่ตัวเกมในปัจจุบันมันจะถูกถอดออกไปจากหน้าร้านค้าไปแล้ว หากแต่ทั้งนี้คุณสามารถเข้าไปติดตามและเสพสมเรื่องราวของเกมนี้ได้ผ่านช่องทางยูทูปที่มันได้มีคนเคยทำ Playthrough เอาไว้อยู่ก่อนเช่นกัน หรือไม่... ช่องทางธรรมชาติ ที่ผมคงไม่ขอยุ่งเกี่ยวหรือชี้นำว่ามันมาจากไหน
อย่างไรเสีย สิ่งหนึ่งที่ผมได้รับมาจากเกมนี้ ถือว่ามันเป็น 'สารสำคัญ' ที่มันได้ทำให้ผมตระหนักรู้ถึง 'มุมมองอีกด้าน' ที่มันได้ซ่อนอยู่ภายใต้ความเป็นเกมยิงแนวทหารทั่วไป และสารนั้นเองมันก็ค่อนข้างชวนสะเทือนใจไปพอสมควร
วันนี้มีผู้รอดชีวิตกี่คน?
ภาพความรุนแรงของการทำสงครามอาจไม่รุนแรงเท่ากับการกระทำของกลุ่มผู้คนที่ต่างถูกชักนำโดยความเชื่อ ๆ หนึ่งอย่างแรงกล้า ปราศจากซึ่งการตั้งคำถามถึงสิ่งที่ตัวเองได้กระทำลงไป และปราศจากความคิดที่จะตัดสินใจในการ 'หยุด' ทุกอย่าง จนในที่สุดมันก็ได้สายเกินแก้
ตลอดของการเล่นเกมนี้ ผมรู้สึกได้ถึงความเกรี้ยวกราดที่มันคือผลพวงมาจากการ 'หลงผิด (Delusion)' ที่มันได้ปราศจากซึ่งความเห็นอกเห็นใจในตัวเองออกไป ภาพของการสังหารกลุ่มทหารผู้ร่วมชาติด้วย 'ฟอสฟอรัสขาว (White Phosphorus)' ยังคงถือเป็นภาพที่ชวนตราตรึง น่าสยดสยอง และมันได้ทำให้ผมตระหนักรู้ว่าตัวเองไม่ใช่ 'เหล่าชายชาติทหาร' ที่พร้อมจะช่วยเหลือประชาชน
หากเป็นเพียงแค่สิ่งโสมมอย่างหนึ่งที่มันถูกเรียกว่า 'ฆาตกร (Murderer)'
ใช่ คุณฟังไม่ผิดหรอก ภาพทั้งหมดที่คุณได้เห็นอยู่ตรงหน้า นั่นคือ 'ผลพวง' จากการกระทำของคุณ
มันก็แค่ 'วิดีโอเกม'
น่าเสียดายไปหน่อยที่ผมแอบไม่ชอบในการนำเสนอเนื้อเรื่องในแบบเส้นตรง ถึงอย่างนั้นแล้วมันก็ใช่ว่าจะเป็นสิ่งที่ย่ำแย่เสมอไป เพราะนั่นหมายความว่ามันได้พยายามในการทำให้ผู้เล่นได้ 'ตระหนักรู้' และ 'ตกผลึกทางความคิด' บางอย่างที่มันได้สะท้อนไปยังถึงภาพของโลกความเป็นจริงส่วนหนึ่งที่มันได้ปรากฎอยู่ทางหน้าสำนักข่าวเป็นระยะเวลาช้านาน
ความขัดแย้งของสงครามในทวีปตะวันออกกลาง การสู้รบอย่างไม่จบสิ้นของรัสเซีย - ยูเครน
หรือหากเอาใกล้มาก ๆ กับบ้านเรามากที่สุด คือสงครามในพม่า ซึ่งติดอยู่ในเขตพื้นที่ ๆ เรากำลังอาศัยกันอยู่ในขณะนี้...
ผมคงจะไม่ถกหรือนำเอาเรื่องราวพวกนั้นมาพูดถึงมากนักเท่าไหร่ เว้นเสียแต่ถ้าเป็นเรื่องของการแสดงความเห็นในเรื่องนี้อาจยังพอทำได้อยู่ อย่างไรก็ตามด้วยมุมมองของปุถุชนคนหนึ่ง ผมค่อนข้างแอบเกร็งอยู่เล็กน้อยที่จะพูดว่าความขัดแย้ง ณ พื้นที่ตรงนั้นมัน 'ไม่ใช่' อะไรที่ผมสามารถเข้าไปทำอะไรได้
ประสบการณ์จากการเป็นทหารเกณฑ์ ไม่ได้ช่วยให้การอยู่รอดในสงครามนั้นมีเปอร์เซนต์เพิ่มมากขึ้น และในความเป็นจริงนั้นมันกลับ 'ตาลปัตร' ไปเกินกว่าที่ใครหลายคนจะเข้าใจ
ขึ้นชื่อของคำว่า 'ทหารเกณฑ์' มีความแตกต่างอย่างมากจาก 'ทหารอาชีพ' ในหลาย ๆ ด้าน โดยส่วนมากมักจะเป็นเรื่องของการใช้ชีวิตอยู่ เงินเดือนและสิทธิที่ได้รับ หมายรวมไปถึงเรื่องของฐานะทางสังคมที่มันมีส่วนสำคัญมากที่สุด ณ ช่วงเวลาที่คุณได้ย่างกรายเข้าไปในค่ายทหาร ณ ตรงนั้น
คุณไม่ได้ถูกฝึกไปเพื่อให้รบ แต่ถูกฝึกเพื่อให้ 'เชื่อง' มากพอที่เขาจะสามารถออกคำสั่งให้กับคุณ
นั่นหมายความไปถึง 'สิทธิในการมีชีวิตอยู่' เองก็เช่นเดียวกัน
Spec Ops: The Line ชวนให้ได้ดำดิ่งลงลึกไปถึง 'ความดำมืดในจิตใจมนุษย์' พร้อมทั้งตั้งคำถามทางศีลธรรมและจริยธรรม รวมไปถึงเรื่องราวของ 'ความเชื่อ' ที่มันได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเราไป
ชุดคำถามมากมายโผล่ขึ้นจากหน้า Loading Screen ของเกมนี้ บางอย่างคือคำแนะนำ และบางอย่างก็เป็นคำถามในเชิงเยาะเย้ยถึงการกระทำจากสิ่งที่ตัวผู้เล่นได้ลงมือกระทำมันไป แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้เสมือนกับเป็นการ 'ตอกหน้า' อย่างชัดเจนไปถึงประเด็นเรื่องของ 'สงคราม' และ 'ความรุนแรง' โดยมันสะท้อนให้เห็นผ่านสื่อของวิดีโอเกมที่มีความรุนแรงสูงมากมายอยู่หลายเกม หากแต่ภาพ ๆ นั้นมันจะสะท้อนได้มากที่สุดกับเกมแนวประเภท Military และ Tactical ที่ปรากฎออกมาสู่บนตลาดวิดีโอเกมที่มักนำเสนอมุมมองของตัวเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติการที่ต้องทำทุกอย่างให้อยู่ภายใต้ 'มาตรการ' ที่ถูกฝึกมา
สิ่งเหล่านี้มันไม่ใช่เรื่องของความผิด - ถูก แต่เป็นเรื่องของ 'ความจำเป็น' ที่มันควรมีหรือไม่ควรมีมากกว่า
ส่วนตัวแล้ว ผมเคยรู้จักกับเพื่อนผมสมัย ณ ช่วงตอน ปวช. อยู่หนึ่งคน รวมไปถึง 'รุ่นพี่' คนหนึ่งที่ปัจจุบันเขาได้เติบโตจนกลายเป็นมีส่วนร่วมด้วยเกี่ยวกับเรื่องของทางยุทธวิธี โดยที่เพื่อนคนหนึ่งของผมเองก็ได้เข้าทำงานในฐานะของ 'ผู้ฝึกสอนการยิงปืน (Gun Instructor)' อยู่ ณ ที่แห่งหนึ่งที่ผมไม่ขอเปิดเผยข้อมูลส่วนนี้เสียมากเท่าไหร่
จริงอยู่ว่ามันอาจไม่ได้มีส่วนเกี่ยวกับเรื่องราวของสงครามมากนัก ถึงกระนั้นผลพวงจากการที่ผมได้ตกผลึกทางความคิดไปเยอะมากในเรื่องราวของการตัดสินใจระหว่าง 'หน้าที่' กับ 'อารมณ์' มักจะเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกันเสมออย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
อย่างไรก็ตาม สำหรับตัวเกมของ Spec Ops: The Line เราในฐานะของ 'ผู้เล่น' กลับไม่ได้มีสิทธิ์ในการตัดสินใจกระทำเรื่องบางอย่างตามที่ต้องการไปสักเท่าไหร่ หากเพียงแต่เราเพียงไหลไปตามคำสั่งและหน้าที่ ๆ ได้รับ ไม่ว่าจะผ่านทั้งตัวของ Objective ที่พยายามบอกกับเรา หรือแม้แต่การที่มันเกิดจาก 'สัญชาตญาณดิบ' ที่ได้ชักจูงพาเราไปยังจุดจบของเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น
ผมเคยเล่นเกมนี้จบไปเมื่อช่วงเกือบประมาณ 3 - 4 ปีที่แล้วได้ ประสบการณ์ในช่วงเวลานั้นถือได้ว่ามันเป็นอะไรที่ไม่ได้ว้าวหรือตื่นตกใจเท่าไหร่นัก จวบจนกระทั่งเมื่อหลายเดือนที่ผ่านมา ณ ตอนปี ค.ศ. 2024 ที่ผมได้ตัดสินใจหยิบมันกลับมาเล่นอีกครั้งด้วยแนวคิดที่ต้องการเพื่อ 'เสพบรรยากาศ' และดื่มด่ำความร่วนหยาบของทะเลทรายที่กลบซากศพเป็นจำนวนมากมายหลายคน
กลิ่นสาปของมันเตะเข้าจมูกมากเสียจนอยากเบือนหน้าหนี หากแต่อย่างไร หนทางข้างหน้าที่ปรากฎออกมากลับยังคงบังคับให้ผม 'ฝืน' เดินหน้าต่อไป แม้ไม่รู้ว่าผมควรทำยังไงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ตัวเลือกและคำถามมากมายผุดขึ้น ตลอดทุกระยะทางที่เราได้ดำเนินไปตามสคริปต์ของเกมที่วางเอาไว้ สิ่งเน่าเฟะและโสมมจากผู้คนที่ถูกเข่นฆ่าอย่างโหดเหี้ยม ชวนให้เราได้แต่รู้สึกสังเวชไปกับมัน
เราต่างล้วนรู้กันดีว่า 'โลกของธรรมชาติ' คือสิ่งที่โหดร้ายต่อมนุษย์และทุกสรรพสิ่งในชีวิตเรามาอย่างช้านาน หากแต่เมื่อเทียบกับ 'โลกของสังคมมนุษย์' สิ่งที่เรากระทำต่อกันกลับดูเหมือนว่าจะยิ่งเป็นการเพิ่ม 'มูลค่าความโหดร้าย' ให้กับธรรมชาติไปมากขึ้นกว่าเดิมอีกเป็นเท่าตัว จนหลายครั้งก็มักเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่นำพาไปสู่ 'ความสูญเสีย' นับอนันต์ เริ่มไปจากตั้งแต่ระดับเล็ก ๆ จวบจนขยายใหญ่ขึ้นจนเข้าขั้นเรียกได้ว่าเป็นการ 'ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (Genocide)' ที่มีจุดเริ่มต้นจาก 'ความเกลียดชัง (Hatred)' และ 'ความโกรธเกรี้ยว (Anger)' ที่สาเหตุของมันอาจมาจากได้หลาย ๆ ช่องทาง
ผมตั้งคำถามเกี่ยวกับตัวเองอยู่ตลอดถึง 'อารมณ์' และ 'ความรู้สึก' ที่มันถูกแสดงออกมา แม้จะเข้าใจถึงธรรมชาติของสิ่งเหล่านี้ไปมากขึ้นแล้วก็จริง แต่นั่นไม่ได้แปลว่ามันจะแก้ไขปัญหาในการที่ตัวผมเองจะสามารถควบคุมสิ่งเหล่านี้ให้มัน 'หายไป' จากหัวสมองของตัวเอง จากความทรงจำและสถานการณ์ที่เจอทุกวัน ภายใต้สภาพแวดล้อมที่มันชวนได้แต่ทำให้ผมแทบจะ 'สติแตก' ได้ตลอดเวลา
ทว่าอย่างไรแล้ว ผลพวงสุดท้ายทั้งหมดกลับลงเอยที่ทำให้ผมได้แต่น้อมรับถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ความโกรธเกรี้ยวที่สั่งสมไว้ค่อย ๆ จางหายลงไป เหลือเพียง 'ความว่างเปล่า' อันแสนบ้าคลั่ง ภายใต้พื้นที่จำกัดที่ถูกเรียกว่า 'หลุมนรก (Hellhole)'
ฉากจบของเรื่องราวนั้นมีอยู่สามแบบ หากแต่ไม่ว่ามันจะเป็นแบบไหนก็ตาม ท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่ไม่อาจหลีกหนีพ้นนั่นคือการ 'วนลูป' ไปสู่จุดเริ่มต้นที่มันเต็มไปด้วยความหยาบกร้านของทะเลทราย ผนวกรวมเข้ากับการเกิด ตาย และลุกขึ้นต่อสู้อย่างไร้ความหมายไปอีกครั้ง Spec Ops: The Line นำเสนอเรื่องราวในมุมชวนให้เกิดแง่คิดของการตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องของ 'สงคราม' ที่มันซ่อนอยู่ภายใต้ฉากหลังการนำเสนอเรื่องราวที่มันค่อย ๆ วิปลาสลงไปเรื่อย ๆ แม้กราฟฟิกของมันอาจไม่ได้ถึงขั้นรุนแรงสูงจนกลายเป็น 'ภาพติดตา' ไป ทว่าสิ่งที่มันทิ้งเอาไว้และติดอยู่ในหัวของผู้เล่นทุกคนที่ได้สัมผัสมันครั้งแรก นั่นคือความรู้สึกที่ไม่เหมือนเดิมเกี่ยวกับการมีอยู่ของเกมแนว Military Shooter และ Tactical Shooter
แง่หนึ่ง การได้สวมบทเป็นหน่วยรบพิเศษเพื่อปราบปรามเหล่าผู้ก่อการร้าย อาจเป็นการสนองความสะใจบางอย่างลึก ๆ ที่ได้แต่ฝันหาถึง
ทว่าในอีกแง่หนึ่งเอง เรากลับหลงลืมและไม่ได้ฉุกคิดไปว่าเรื่องราวเบื้องหลังจากการผ่านสมรภูมิความรุนแรงมาอย่างโชกโชน สภาพจิตใจของเรานั้นจะค่อย ๆ แปรเปลี่ยนไปกลายเป็น 'คนวิกลจริต' ที่ไม่สามารถรับรู้ได้แม้แต่ศีลธรรม ความดีงาม หากแต่เลือกเดินไปตาม 'ความเชื่อ' ที่มันได้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมโดยรอบตัวเรา โดยไม่อาจหันไปมองมันเป็นอย่างเดิมไปได้อีก
ซึ่งผมหวังว่าคงไม่มีใครลึก ๆ มีความรู้สึกที่จะชื่นชอบในสิ่งเหล่านั้น
'ความโหดร้าย' มันไม่เคยปราณีใคร ความรุนแรงจะยังคงอยู่ ตราบเท่าที่มันถูกฝังไว้อยู่ภายใต้ 'ดีเอ็นเอ' ของสิ่งมีชีวิตทั้งปวง ทว่าสิ่งที่เรียกว่า 'สงคราม' นั้น มันยังพอมีหนทางในการยุติลงได้ หากเพียงแต่เราได้ตระหนักว่าการหันปากกระบอกปืนเข้าใส่กัน คือสิ่งที่ไร้ประโยชน์
เหล่าผู้มีอำนาจจะยังคงอยู่
ส่วนเหล่าหนุ่ม - สาว ย่อมจะตกอยู่ภายใต้อำนาจนั้น
มันไม่เคยจางหายไปไหน หากแต่เปลี่ยนแปลงไปในรูปแบบอื่น ๆ ที่เราต่างรู้กันดี
-----------------------------------------------------------
นั่นคือทั้งหมดสำหรับ Ep.1 สำหรับหัวข้อ 'ตกผลึกทางความคิดผ่านโลกวิดีโอเกม' ครับ :D
สารภาพตามตรงว่าเอาจริง ๆ ทั้งหมดที่เขียนมาดู ๆ ไปก็ไม่ได้ต่างอะไรจากหัวข้อเดิมคือ 'บอกเล่าประสบการณ์' สักเท่าไหร่นะ แต่เห็นอย่างนี้ เอาเข้าจริงแล้ว ผมยังคงรู้สึกกังวลอยู่บ้างเล็กน้อย เพราะว่าในบางหัวข้อมันค่อนข้างเป็น 'เรื่องละเอียดอ่อน' มากเกินไปที่ผมจะพูดถึงมัน
ผมยังคงอยากให้บล็อกโพสต์นี้เป็นเพียงแค่ 'บอกเล่า' เรื่องราวในชีวิตของสิ่งที่ตัวเองได้ประสบพบเจอมา ประกอบกันกับได้มีโอกาสในการท่องเที่ยวไปในโลกของอินเตอร์เน็ตอันกว้างใหญ่ไพศาล รวมถึงอ่านข่าวสารและความรู้รอบตัวของสิ่งที่ตัวเองได้รับรู้ และได้นำมันมาแบ่งปันกันในรูปแบบเข้าใจง่าย ๆ ในมุมมองจากสิ่งที่ผมได้สัมผัสมันมา
อย่างที่บอกไปเสมอและตลอดเวลา เราทุกคนต่างคือ 'มนุษย์' และความเป็นมนุษย์ของเราล้วนย่อมมีการกระทำเรื่องผิดพลาดมาก่อนเสมอ หากแต่ใด ๆ เราสามารถนำสิ่งเหล่านั้นมาเป็นบทเรียนเพื่อเตือนสติไม่ให้เราหลงกลับไปยังจุดเดิมอีกเป็นครั้งที่สอง (แต่ถ้ามีครั้งที่สามนี่ก็... #พอก่อน)
หลังผ่านพ้นช่วงเดือนกันยายนเป็นต้นไป จะเข้าสู่ช่วงเดือนที่ 10 ประจำปี 2024 ซึ่งก็คือเดือนตุลาคม
ผมไม่รู้ว่าช่วงเวลาดังกล่าวจะมีอะไรเกิดขึ้นไปอีกหรือไม่ เพราะจากที่ผ่าน ๆ มาทั้งหมดนับแต่ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมามันค่อนข้างมีแต่ประเด็นเรื่องราวทางสังคมมากมายที่เราต่างต้องมานั่งคิดวิเคราะห์กันใหม่ หรือไม่ก็ไปจนถึงการต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงของโลกและในประเทศนี้ที่มันเหมือนจะ 'เหวี่ยง' กันเป็นว่าเล่น จนหลายครั้งมันชวนให้เราได้แต่ขมวดคิ้วอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
อย่างไรเสีย ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นแทบทั่วทุกหนแห่ง สิ่งที่เราทุกคนต่างใฝ่หากันมากที่สุดคงไม่ใช่อะไรนอกจาก 'ความสงบสุข' และ 'การเปลี่ยนแปลง' ที่มันสมควรเกิดขึ้น อะไรก็ตามที่มันดำเนินมาอยู่อย่างช้านานและไม่ได้ส่งผลในแง่ดีอะไรสักอย่างเลยก็ควรยกเลิกหรือจบมันลงไป และอะไรก็ตามที่มันทำให้ผู้คนต่างเข้าใจผิดและ 'หลงทาง' อยู่ในกระแสความนิยมที่มันแปรเปลี่ยนไปได้ตลอดเวลา มันก็สมควรที่จะมีใครสักคนแสดงจุดยืนของตัวเอง หรือสร้างฐานที่มั่นในการเป็นตัวตั้งเพื่อดึงดูดสิ่งที่เรา 'ผู้เล่น (Player)' ต้องการ
ทว่าการจะทำสิ่งนั้นได้ อาจต้องแลกมากับหยาดเหงื่อและเลือดเนื้อเชื้อไข ประกอบไปกับสุขภาพที่ต้องยอมเสียมันเพื่อให้ทุกคนได้เข้าถึงจุด Fun Zone มันได้อย่างไม่ต้องพยายามจนเลือดขึ้นหน้า
ถึงอย่างนั้นก็อย่าได้ฝืนร่างกายตัวเองมากเกินไปนักล่ะ เพราะว่าโลกใบนี้มันยังมีคนที่ต้องการให้คุณได้มีลมหายใจอยู่ (づ。◕‿‿◕。)づ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น