[บอกเล่าประสบการณ์ Ep.2] การแบกรับภาระที่หนักอึ้ง และความหลงใหลที่มีต่อวิดีโอเกม (Blue Archive องก์ 2)

 


ไม่คิดไม่ฝันว่าจะเป็นครั้งที่สองที่ผมจะกล่าวถึงเกมกาชาเกมนี้อีกครั้ง...

อาจต้องเท้าความกันสักเล็กน้อยว่า ที่จริงแล้วผมใช้เวลาสำหรับการเสพเนื้อเรื่องของเกม Blue Archive ได้ค่อนข้างไปในทางที่ช้ากว่า 'ผู้เล่น' ท่านอื่นเสียเล็กน้อย และอีกหนึ่งเหตุผลคือเนื่องด้วย ณ ตอนที่เพิ่งได้เล่นเนื้อหาองก์ 2 จบไปราว ๆ ช่วงเกือบสองสัปดาห์ที่แล้ว ทำให้ส่วนของการบอกเล่าเรื่องราวของเนื้อเรื่องในเกมนี้มันเลยอาจเป็นสิ่งที่ผมยังคงยืนกรานว่า 'ควรค่าแก่การได้ลองหามาเสพด้วยตัวเอง' ดูสักครั้ง

อย่างไรก็ตาม ที่จริงผมยอมรับว่าสาเหตุส่วนหนึ่งที่กลับมาเล่นนั้น ก็ไม่ใช่เพราะอะไรที่ไหน นอกเหนือไปจากที่ว่ามันเป็นหนึ่งในเกมกาชาเพียงไม่กี่เกมจริง ๆ ที่มันเป็นสิ่งที่มีความหมายมากกว่าแค่การรังสรรค์ตัวละครออกมาชนิดที่ว่า Cute anime girl do cute anime things หากแต่มันเป็นมากกว่าแค่ตัวของส่วนนั้น

ซึ่งครั้นจะไม่เล่าส่วนของหัวข้อเลยมันก็คงจะไม่ได้ แน่นอนว่าวันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องของ 'ความหลงใหล (Passion)' กัน

ก่อนอื่น ผมเชื่อว่าใครหลายคนคงเคยได้ยินคำ ๆ นี้เป็นอย่างดี ความหมายของคำว่า 'ความหลงใหล' แท้จริงแล้วมันคือหนึ่งในแรงขับเคลื่อนงานศิลปะที่เรียกได้ว่าไม่ต่างอะไรไปจาก 'การให้กำลังใจ' มากโขเลยทีเดียว กล่าวได้ว่าการที่ใครสักคนหนึ่งสามารถทำสิ่ง ๆ นั้นได้เป็นระยะเวลานาน ๆ และทำออกมาได้ดีนั้น การมีอยู่ของ 'แพชชั่น (Passion)' ถือได้ว่ามันเป็น 'จุดเปลี่ยน' สำคัญที่ช่วยเติมเต็มทำให้พวกเขามีความปรารถนาที่อยากจะทำสิ่ง ๆ นั้นต่อไป

แต่ทั้งนี้เอง สำหรับในโลกของความเป็นจริง การมีแพชชั่นเพียงอย่างเดียวมันอาจไม่ใช่สิ่งที่เพียงพอ หากแต่มันยังมีในเรื่องของปัจจัยโลกภายนอก สังคม สภาพแวดล้อม รวมไปถึงการไหลของกระแสคลื่นในสังคมที่ตอนนี้เรียกได้ว่า 'สื่อโซเชียลมีเดีย' แทบจะกลายเป็นสื่อหลัก ๆ ที่เราต่างคุ้นชินกันไปแล้ว

ทว่าอย่างไรเอง เรื่องหนึ่งที่ผมมักตั้งข้อสงสัยและคำถามอยู่เสมอ กลับไม่ใช่เรื่องของ 'กระแส' ที่เปลี่ยนแปลงไป หากแต่มันกลับเป็นสิ่งสำคัญ ๆ สิ่งหนึ่งที่ผมกลับเริ่มรู้สึกว่ามันกำลังหดหายไป และเราต่างให้คุณค่ากับความเป็น 'กระแส' มากกว่าสิ่งที่มันออกมาจาก 'ความหลงใหล' จากตัวผู้สร้างผลงานไปจริง ๆ

เหตุใด เหล่าผู้สร้างสรรค์ผลงานหน้าใหม่ทั้งหลายถึงตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับ 'ความเป็นไปของกระแส' มากเสียกว่าที่จะตั้งคำถามกับตัวเองว่า 'พวกเขาอยากทำสิ่งนี้จริง ๆ แล้วหรือเปล่า?'



ผมเป็นคนที่ชอบเล่นวิดีโอเกม และใช่... ณ ตอนนี้ผมเองคงต้องยอมรับว่าสาเหตุส่วนหนึ่งที่ไม่ค่อยได้เขียนงานมากนัก เพราะเอาเวลาส่วนใหญ่ไปใช้กับมันมากเป็นพิเศษ (ซึ่งอาจเรียกว่าเป็น 'ข้อเสีย' อย่างหนึ่งก็ว่าได้แหละ... มั้งนะ xD)

หากแต่เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องอะไรกับ Blue Archive? แน่นอนว่ามันเกี่ยวข้องกันเป็นอย่างมาก

เนื้อเรื่องขององก์ 2 ของเกม Blue Archive เป็นการบอกเล่าถึงเรื่องราวของกลุ่มชมรมนักพัฒนาวิดีโอเกม ที่มีตัวละครนำอย่าง 'ซาเอบะ โมโมอิ (Saiba Momoi)' หรือ a.k.a โมโมอิ หนึ่งในตัวละครโปรดผู้ที่ดึงให้ผมเข้าสู่โลกของ Blue Archive ได้อย่างไม่ยากเย็น อันเนื่องมาจากด้วยการที่เหล่าคอมมูผู้คนในโลกของอินเตอร์เน็ตต่างได้ทำ 'มีม (Memes)' เกี่ยวกับเธอออกมาเป็นจำนวนมาก และส่วนใหญ่มักจะเป็นไปในมุขทางเหยียดผิว (Racist) หรือไม่ก็การเลียนเสียงปัญญาประดิษฐ์ผ่านโปรแกรม (ซึ่งผมคงไม่ขอออกความเห็นอะไรกับเรื่องส่วนนี้มากนัก แต่ขอให้ลองเอาส่วนของ Sample ไปเสพกันก่อนเสียแล้วกัน)



"โมโมอิ" หนึ่งในตัวละครโปรดของเหล่าเกมเมอร์ชาวไทยทุกคน ผมคงไม่ปฏิเสธว่าคาแรคเตอร์ของเธอนั้น ถ้าไม่นับถึงเรื่องของความเป็น 'มีม' แล้ว เธอจัดได้ว่าเป็นตัวละครที่ค่อนข้างสามารถ Relatable ได้ดีกับนักเล่นเกมส่วนใหญ่

ไม่ว่าจะทั้งด้วยการมีความหลงใหลในโลกของวิดีโอเกมมาก ๆ จนสามารถสร้างผลงานเกมออกมาได้หลายเกมก็ดี และเป็นหนึ่งในตัวละครหลักประจำชมรมพัฒนาวิดีโอเกมของเมือง 'คิโวทอส' ไปก็ดี อย่างไรก็ตาม เรื่องหนึ่งที่ผมอาจต้องมีการ Disclaimer เสียเล็กน้อยเกี่ยวกับตัวละครนี้คือแท้จริง 'โมโมอิ' มีลักษณะนิสัยและการแสดงออกที่ไม่ต่างจากเด็กนักเรียนคนหนึ่งทั่วไป แค่เพียงเธอมีความหลงใหลในการชอบเล่นเกม และมักจะหาแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ผ่านการลองเล่นเกมหลากหลายแนว เพื่อเอามันมาใช้เป็น Inspiration ในการสร้างเกมของเธอ

ซึ่งไม่ใช่มีแค่ตัวเธอคนเดียว หากแต่ยังรวมไปถึงเหล่าสมาชิกอีกสองคนอย่าง 'มิโดริ' และ 'ยุซุ' ที่พวกเธอเองต่างก็มีส่วนในการช่วยผลักดันทำให้เกม ๆ หนึ่งสามารถกำเนิดขึ้นมาได้อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ผมคงจะไม่ขอพูดในส่วนของสมาชิกคนที่สี่ของเกมอย่าง 'อาริสึ (Arisu)' ซึ่งถือเป็นตัวละครที่จะโผล่มาในช่วงบทที่ 2 องก์ 2 ของเกม ทั้งนี้ถือว่าเธอเป็นหนึ่งในตัวละครที่มีความสำคัญมาก ๆ สำหรับเนื้อเรื่ององก์นี้



อย่างที่ผมบอกไปข้างต้นว่า 'เนื้อเรื่อง' คือส่วนสำคัญของเกม Blue Archive และมันถือเป็นส่วนหนึ่งที่ผมคงไม่สามารถเปิดเผยเรื่องราวทั้งหมดได้ หากแต่อย่างไร ก่อนอื่น ผมเองอยากจะขอพาพูดนอกประเด็นของเกม Blue Archive สักหน่อย หากแต่อยากพูดถึงส่วนของสิ่งที่เรียกว่า 'วงการเกม ณ ปัจจุบัน' นี้เองแล้วกัน

ข่าวคราวจำนวนมากมายที่โผล่ขึ้นผ่านทั้งทางยูทูป เรื่องราวเกี่ยวกับปัญหาของการนำเอาแนวคิดความหลากหลายเข้ามาสู่วงการเกม ประเด็นอันร้อนฉ่าที่เรียกได้ว่า 'กระแส' ของมันเองถือว่ามีความ 'ดราม่า' สูงมากกว่าที่มันควรเป็น โดยเฉพาะถ้าหากใครที่ยังจำกันได้เกี่ยวกับการเปิดตัวของกระแสเกมยูบิซอฟต์อย่าง Star Wars Outlaws หรือ Assassin's Creed Shadows ที่เมื่อผมยกเอาสองเกมนี้ขึ้นมาพูดถึง แน่นอนว่าผมเชื่อว่าทุกคนต่างคงรู้กันแล้วว่า 'คีย์เวิร์ด' ที่ผมจะกล่าวถึงต่อไปนี้มันคืออะไร

ที่จริง... ผมอาจไม่จำเป็นต้องพูดถึงสองเกมนี้เลยก็ได้ ทว่าอย่างไรเรื่องหนึ่งที่ผมเองอยากแสดงความรู้สึกบางอย่างเกี่ยวกับความเป็นไปของวงการวิดีโอเกม คำกล่าวหนึ่งที่ผมสามารถพูดได้ตอนนี้คงเป็นแค่คำว่า 'น่าผิดหวัง' มากกว่าจะเป็นความรู้สึก 'โกรธแค้น' ต่อสิ่งที่ถูกกระทำลงไป

ความหลากหลายของโลกวิดีโอเกมไม่ใช่เรื่องใหม่ หากแต่มันเริ่มมีมาอย่างเนิ่นนาน หากแต่ปัญหาของมันเพิ่งเกิดขึ้นมาได้ในระยะเวลาเพียงไม่นาน และส่วนใหญ่ต้นตอของมันทั้งหมดก็มักจะเริ่มมาจากสิ่งเล็ก ๆ ที่หลบซ่อนอยู่ภายในบริษัทนายทุนใหญ่ ผู้ขับเคลื่อนวงการวิดีโอเกม (และก็เป็นผู้ที่ทำลายไปในระยะเวลาเดียวกัน)

ผมไม่อาจเข้าใจเรื่องของ Mindset ของเหล่าผู้ให้บริการหรือนายทุนได้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไรถึงบอกว่า 'เกม' ของพวกเขาจำเป็นต้องมีการใส่แนวคิดทางการเมืองเข้าไป?

ผมไม่อาจจินตนาการถึงความคิด หรือแม้แต่วิพากษ์วิจารณ์ถึงการที่เหตุใดพวกเขาถึงเลือกจะเชื่อฟังเหล่าคนที่ ไม่ แม้แต่จะเคยแตะวิดีโอเกมเลยสักครั้ง แต่กลับเลือกที่จะทำตามแนวคิดของคนเหล่านั้น เพียงเพราะแค่อยาก 'เอาใจ' คนที่ไม่เคยสนับสนุนผลงานของพวกเขา

แน่นอนว่าคำว่า 'สนับสนุน' กับ 'ให้เงินทุน' มันมีความหมายคล้ายกัน หากแต่ความหมายของมันกลับไปในคนละทิศ คนละทางเป็นอย่างมาก การสนับสนุนผลงานสำหรับเหล่าครีเอเตอร์แล้ว ถือได้ว่ามันเปรียบได้กับ 'การให้คุณค่า (Value)' ในตัวผลงานตรงนั้น ซึ่งบางครั้งแล้วมันไม่ได้มาเพียงแต่ตัวของจำนวนเงินในบัญชี หากแต่มันมาในรูปแบบของ 'สิ่งนามธรรม (Abstract)' บางอย่างที่อาจเปลี่ยนแปลงชีวิตของคน ๆ นั้นไปตลอดกาล

มันอาจสร้างได้ทั้ง แรงบันดาลใจ (Inspiration) แรงจูงใจ (Motivation) ความน่าหลงใหล (Passion) 

หรืออาจเป็นได้ทั้งการสื่อสารความหมายบางอย่างที่มันก่อให้เกิดการสานต่อไปเรื่อย ๆ ที่เรียกกันว่า 

จินตนาการ (Imagination)

(ใช่ รวมถึงเกมกาชานี่ด้วย อย่าริคิดไปล่อเด็กในชีวิตจริงกันล่ะ!)


แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ มันคือส่วนสำคัญที่ทำให้สิ่งที่เรียกว่า 'งานศิลปะ (Arts)' ก่อเกิดขึ้นมาแตกแขนงออกไปในหลากหลายรูปแบบ และที่สำคัญมันเองส่งผลต่อการใช้ชีวิตของเราไปมากจนถึงขั้นที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้



ทว่าอย่างไรเอง สำหรับสิ่งที่เรียกว่า 'วิดิโอเกม' มันถือเป็นสื่อแขนงหนึ่งที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากกว่าสื่อหลากหลายรูปแบบอื่น

การสร้างวิดีโอเกมในยุคเริ่มต้นนั้นอาจเป็นสิ่งที่ทำได้ยากและค่อนข้างใช้ระยะเวลานานกว่าที่ผลงานจะออกมา หากแต่ด้วยเทคโนโลยีของยุคปี 2024 แน่นอนว่าความยากและซับซ้อนเหล่านั้นก็ได้ถูกแทนที่ด้วยสิ่งที่เรียกว่า 'เกมเอนจิ้น (Game Engine)' ไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย อย่างไรก็ตาม สูตรสำเร็จของการสร้างวิดีโอเกมนั้นถือว่าเป็นสิ่งที่ 'จำเพาะ' และไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนถึงนิยามตามตัวของมัน หลายครั้งการมองหาถึง 'วิดีโอเกมที่สมบูรณ์แบบมากที่สุด' โดยมากมักจะขึ้นอยู่กับรสนิยมตามความชื่นชอบของผู้เล่นเกม ๆ นั้น และการมานั่งถกเถียงกันว่าระหว่าง 'เกม A' กับ 'เกม B' เกมไหนที่สนุกมากที่สุด ผลลัพท์มักจะจบลงด้วยการที่ 'เล่นมันไปทั้งสองเกม' อยู่เสมอ

เรื่องเหล่านี้เห็นได้ชัดเจนมากที่สุด คือกลุ่มชุมชนของบรรดาผู้ชื่นชอบในเกมยิงแนว Military Shooter หรือแนวเกมอื่น ๆ อีกมากมายที่มันมักจะเป็นกลุ่มชุมชนที่เจาะกลุ่มของเหล่าผู้เล่นเกมมากหน้าหลายตากันเอาไว้ ซึ่งไม่ว่าต่อให้คุณจะสนใจเรื่องราวของวิดีโอเกมหรือไม่สนใจ ผมเองก็เชื่อว่าคุณน่าจะเคยเห็นพวกมันผ่าน ๆ ตากันมาบ้างในวิถีชีวิตประจำวันของคุณ

ภายนอก สิ่งที่เรียกว่า 'วิดีโอเกม' อาจเป็นแค่สื่อบันเทิงที่มีไว้เพื่อเล่นคลายเครียด แต่ความเป็นจริงมันมีอะไรแอบซ่อนไว้อยู่อีกมากมายภายในนั้น

อย่างไรเอง ผมคงไม่ได้บอกว่าให้คุณเล่นวิดีโอเกมแบบจริงจัง หรือว่าจะต้องให้ความสนใจกับมันมากชนิดฉีดเข้าเส้นเลือด แต่ผมต้องการให้คุณได้เข้าใจถึงการเติบโตของอุตสาหกรรมวิดีโอเกมที่ ณ ตอนนี้มันได้กลายเป็น 'ส่วนหนึ่ง' ของชีวิตประจำวันของเรา และมันเองก็ได้สร้างมูลค่าเม็ดเงินมหาศาลยิ่งกว่าสื่อบันเทิงในรูปแบบอื่น ๆ ที่มันได้มีมา

แน่นอนว่ามันฟังดูน่าเหลือเชื่อ หากลองมองย้อนกลับไปยังเมื่อสิบปีก่อน อุตสาหกรรมของวิดีโอเกมไม่ว่าจะทั้งในและต่างประเทศ พวกมันมักจะถูกมองว่าเป็นรองจากสื่อบันเทิงชนิดอื่น ๆ ไปอยู่ หากแต่ ณ ตอนนี้มันได้แสดงให้เห็นแล้วว่าตัวมันเองมีอิทธิพลอย่างมากต่อตลาดธุรกิจ และเพราะการมีอยู่ของมัน ถึงทำให้ก่อเกิดสิ่งที่เรียกว่า 'งานศิลปะ' มากมายหลายแขนง ก่อเกิดเป็นอาชีพ ก่อเกิดเป็นการสร้างสรรค์ผลงานที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การควบคุมผ่านแป้นคีย์บอร์ดหรือจอยคอนโทรลเลอร์ แต่มันคือการบ่งบอกถึง 'ภาพรวม' ที่มันทำให้เราได้ฉุกคิดถึงความสำคัญของมัน

เป็น 'สื่อฟุ่มเฟือย' ที่มันคือเหตุผลหลักที่คนบางส่วนเลือกจะมีชีวิตอยู่ต่อ มากกว่าที่จะจากลาโลกใบนี้ไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ...


ทุกผลงานต่างล้วนมีคุณค่า

หากแต่ผู้ที่กำหนดมันขึ้นมาอาจขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและแนวทางของผู้ที่อยู่อาศัยภายในสังคม ๆ นั้น

หมายรวมไปถึง 'ตัวผู้สร้าง' เองเช่นเดียวกัน...

แนวคิดหนึ่งที่ผมชอบเกี่ยวกับเนื้อเรื่ององก์ 2 ของเกม Blue Archive คือการฝังแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องของการสร้างสรรค์ผลงานอย่างวิดีโอเกมที่มันเองเปรียบได้กับเป็น 'สาร' ที่มันกำลังสื่อตรงออกไปยังเหล่าผู้สร้างวิดีโอเกมและผู้สร้างผลงานทุกคน มันอาจไม่ได้ออกมาแบบตรง ๆ ทว่ามันกลับสื่อสารออกมาในรูปแบบที่มันได้บอกกล่าวไปถึงการมองเห็นถึง 'คุณค่า' ในตัวของผลงานตรงนั้น และมันเองก็ถือว่าค่อนข้าง 'ทรงพลัง' หากว่าคุณได้ลองสัมผัสถึงมันแม้เพียงแค่เสี้ยวเดียวที่มันเองได้สื่อออกมา

ผมนำ 'สาร' จากเกมของ Blue Archive มาย้อนคิดถึง 'จุดเริ่มแรก' ที่มันทำให้ผมเลือกที่จะเดินในสายทางการเป็นนักเขียน และในทางกลับกันก็หันมาตั้งคำถามและย้อนมองถึงสิ่งที่มันทำให้ผมกลายเป็น 'เกมเมอร์ (Gamer)' ที่จากแต่ก่อนเราเล่นมันเพียงเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ หากแต่มาคราวนี้ ทุกเกมส่วนใหญ่ที่ผมเล่น มันมักจะทิ้งทวนคำถามและปริศนาชวนน่าสงสัยหลายอย่างภายในนั้น

อาจไม่ใช่อะไรที่ยิ่งใหญ่ และอาจไม่ใช่อะไรที่มันถึงขั้น 'เปลี่ยนแปลงความคิด' ไปแบบเฉียบพลัน แต่กลับเป็นเรื่องทางจิตวิญญาณที่มันถูกสื่อสารออกมาผ่านการนำเสนอของเหล่าผู้สร้างที่พวกเขาได้ใส่ 'ความหลงใหล (Passion)' บางอย่างเข้าไปในเกม ๆ นั้น จนทำให้ผู้เล่นสามารถรู้สึกได้ถึงความตั้งอกตั้งใจ จนอยากที่จะเล่นมันต่อไปเรื่อย ๆ แม้ว่าในบางเกมพวกเขาอาจจะก่นด่าและสาปแช่งมันอยู่ในใจไปก็ตาม (หรือไม่จริงล่ะ? xD)

หากแต่ผมเชื่อว่าสาเหตุของการด่าและสาปแช่ง ทุกอย่างมันมีจุดเริ่มต้นและเหตุผลในทางที่ดีของมันอยู่เสมอ หลายครั้งผมค่อนข้างมักจะเห็นถึงเหล่าบรรดาคนเล่นเกมหลายคน มักจะชอบในการทำในสิ่ง ๆ หนึ่งที่ผมคงอาจเรียกได้ว่ามันคือ 'ระบายอารมณ์ (Venting)' ออกมาอยู่บ่อย ๆ ซึ่งอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละเกมที่พวกเขาเล่น หากแต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรไปเองก็ตาม การระบายเช่นนี้ถือได้ว่ามันเปรียบได้เป็น 'ดาบสองคม' ที่อาจทำลายตัวผู้เล่นและชุมชนเกมเอง รวมไปถึงเหล่าผู้พัฒนาบางกลุ่มที่เสมือนถูกทำให้ไม่ต่างอะไรจาก 'โถรองรับ' คำสาปแช่งมากมายที่เหล่าบรรดาแฟนเกมต่างสวดใส่ จนไปถึงขั้นมีการคุกคามกันในชีวิตจริงที่มันอาจเรียกได้ว่า 'เกินเลย' กว่าที่มันควรเป็นไปโดยมาก ๆ และนั่นคือสิ่งที่ไม่สมควรกระทำเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม

'วิดีโอเกม' คือสื่อบันเทิงชนิดหนึ่ง และผมยังคงว่ามันก็คือ 'สื่อบันเทิง' ที่ตัวตนของมันมีความหมายและทรงคุณค่าขึ้นมาตามแต่นิยามของแต่ละคน แต่ละสังคมที่มองเข้าไปในตัวนั้นของมัน 

เราเล่นเกมเพื่อผ่อนคลายจากการทำงานอันแสนกดดัน 
เราเล่นเกมเพื่อหลีกหนีจากความวุ่นวายของสังคมในโลกที่มันไม่เคยใจดีกับเรา 
เราสร้างสิ่งเหล่านั้นเพื่อให้มันเปรียบเสมือน 'พื้นที่พักพิงทางใจ' ที่ช่วยปลอบประโลมทำให้เราสามารถดำเนินชีวิตต่อไปข้างหน้าได้โดยไม่สะดุดล้มข้างทาง

'วิดีโอเกม' มันคือสื่อที่เหมาะสมกับคนทุกเพศทุกวัย ไม่มีนิยามใด ๆ ในโลกที่กำหนดว่ามันควรถูกจำกัดเฉพาะเพียงแค่เพศใดเพศหนึ่ง หากเพียงแต่วิดีโอเกมบางประเภท ตัวมันเองมีการ 'จำกัดเรทติ้ง' เอาไว้ด้วยเหตุผลทางด้านความเหมาะสมของเนื้อหาที่มันถูกนำเสนอออกมา

(ซึ่งมันคือเหตุผลหลัก ที่การจะเลือกวิดีโอเกมให้เด็กเล่นในยุคสมัยปี 2020+ เป็นต้นไปนั้นถึงสำคัญ)

ทว่าอย่างไรเอง เรื่องหนึ่งที่เป็นอันดับหนึ่งยิ่งกว่ามันคือการดูแลของเหล่าผู้ปกครอง และสังคมของผู้อยู่อาศัยรอบตัวของผู้ชื่นชอบการเล่นเกมตรงนั้น ที่พวกเราควรให้ความสนใจและ 'ตกผลึกทางความคิด' เพื่อตระหนักรู้อยู่เสมอถึงผลพวงของการก่อเกิด 'ความเป็นพิษ (Toxicity)' ขึ้นมาไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว

ทว่าทั้งนี้ทั้งนั้นแล้ว ผมเองคงจะไม่ขอต่อว่าใด ๆ เกี่ยวกับเหล่าเยาวชนรุ่นหลังที่พวกเขาเองอาจยังเติบโตมาไม่มากพอ และไม่รู้ว่าโลกนั้นมันทำงานอย่างไร

หากแต่เรื่องที่ผมอยากต่อว่ามากที่สุด ว่าพวกคุณมันช่างน่ารังเกียจและไม่รู้อะไรสักอย่างเกี่ยวกับ 'โลกของวิดีโอเกม' นั่นคือเหล่าของพวกคนผู้อยู่เบื้องหลังในการยัดเยียด 'ความหลากหลาย' และ 'การเมือง' เข้าไปในโลกของจินตนาการที่ทุกสิ่งอย่างมันไม่ได้เป็นไปตาม 'ตรรกะโลกความเป็นจริง' ไปเสียหมด

Videogame is still 'Videogame'


Nothing matters but it's 'Videogame'



------------------------------------------------

เป็นเรื่องยากที่ไม่อาจบอกได้ว่ามันจะมี Ep.3  หรือไม่เกี่ยวกับการบอกเล่าประสบการณ์ที่ผมมีต่อตัวเกม Blue Archive 

ด้วยเหตุที่ว่าในทุกครั้งของการเสพเนื้อเรื่องเกมนี้ มันค่อนข้างชวนให้ผมเกิดคำถามและประเด็นหลากหลายประเด็น ซึ่งเอาเข้าจริง ภายใต้ฉากหน้าความสดใสและน่ารักที่ถูกนำเสนอออกมา แท้จริงเนื้อหาของมันมีความหนักหน่วงของอารมณ์ที่ถือได้ว่ามันชวน 'เรียกน้ำตา' ให้กับผม (และเหล่าเซนเซย์ท่านอื่น) ได้มากพอสมควร ซึ่งทั้งนี้ผมจะขอละไว้ในฐานที่เข้าใจตรงกัน

หากแต่อย่างไรเอง นี่ไม่ใช่การ 'รีวิว' และมันก็ไม่ใช่การโฆษณาตัวเกมแต่อย่างใด หากแต่เป็นเพียงแค่การเล่าสู่กันฟัง ผ่านมุมมองของผู้ที่โลดแล่นอยู่ในวงการเกมอย่างเงียบ ๆ เพียงแค่คนหนึ่ง ผมไม่อาจรู้และทราบได้ว่าเสียงของผมนั้นจะส่งผ่านไปถึงใครต่อใครบ้าง หากแต่เรื่องหนึ่งที่ผมอยากแสดงออกมามากที่สุด นั่นคือการที่เกม Blue Archive มันส่งผลในแง่ทางความคิดของผมมากมายมหาศาล และถึงแม้ว่าตัวของผมจะไม่ใช่ผู้ที่ทำอาชีพเกี่ยวกับการเป็น 'คุณครู' ไปจริง ๆ หากแต่ผมเชื่อว่าสำหรับผู้ที่มีจิตใจความเป็นคุณครู ลึก ๆ จริง ๆ ผมเชื่อว่าพวกคุณเองคงต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างมาก เพื่อที่จะถ่ายทอดความรู้เหล่านั้นไปสู่เหล่าบรรดาคนรุ่นหลังที่เป็นนักเรียน คนที่พวกเขาต่างฝากความคาดหวังเอาไว้ เปรียบเสมือนมันคือ 'ภาระอันหนักอึ้ง' ที่อาจมากมายกว่าคนที่ไม่ได้เป็นครูจริง ๆ

ใครจะรู้ ไม่แน่ว่าสิ่งที่ผมเขียนและทุ่มเทไปทั้งหมด ผมอาจจะมี 'สิ่งนี้' อยู่ในตัว

หากแต่นั่นคงเป็นแค่เรื่องของการคิดเข้าข้างตัวเองมากเกินไป อีกอย่าง... ผมยังคงมีตัวตนในฐานะของ 'นักเขียนนิยาย' คนหนึ่งที่ยังคงมีความหลงใหลในการสร้างผลงานที่เต็มไปด้วย 'ความหมาย (Meaningful)' อยู่

และบางที เส้นทางของการเป็น 'ผู้ใหญ่ที่ดี' ในนิยามของผม บางทีนั่นอาจอยู่ออกไปไกลเกินเอื้อมกว่าที่ผมคิดเอาก็ได้... หรือว่าไม่จริงกันนะ? xD

ยินดีต้อนรับกลับค่ะ เซนเซย์

ขอให้สนุกกับเกมครับ :)





ความคิดเห็น