บางครั้งโลกใบนี้ก็ต้องการ 'ปีศาจ'

 

"ความเลวร้ายทั้งปวงล้วนหล่อหลอมให้มนุษย์คนหนึ่ง เติบโตและเปลี่ยนแปลงตัวเองให้กลายเป็น 'สิ่งเลวร้าย' ทว่าหลายครั้ง ต้นเหตุของความเลวร้ายทั้งหมดอาจไม่ได้มาจากตัวของคุณเอง"


ความเหนื่อยล้าที่สะสมเป็นระยะเวลานาน ๆ ทำให้ผมเริ่มที่จะเกิดความเอือมระอามากขึ้นกับสิ่งที่มันยังคงที่อยู่โดยไม่จากไปไหน

และในทางกลับกัน มันก็ยิ่งกลับไปในทางที่ย่ำแย่มากขึ้นในทุกครั้ง...


หากแต่ใด ๆ เอง ผมคงไม่อยากให้ทุกอย่างมันพังทลายและเต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่มันหมุนวนเปลี่ยนผ่านไปมาอย่างไร้ซึ่งเหตุและผล ยิ่งด้วยเฉพาะกับสิ่งที่มันแต่เดิมเองเต็มไปด้วย 'ความไม่แน่นอน' นั่นยิ่งทำให้ทุกสิ่งกลับเลวร้ายลงไปอีกขั้น

วัฐจักรของสังคมสิ่งมีชีวิตล้วนมีวันที่จะถูกสร้าง ถูกหลอมรวม และถูกทำลายไปด้วยสิ่งที่เรียกว่า 'ความเปลี่ยนแปลง' หากแต่สิ่ง ๆ นั้นจะดีหรือแย่ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและในสถานการณ์โดยภาพรวมตรงนั้น

เป็นเรื่องที่น่าโศกเศร้า และในทางกลับกันมันก็ได้สร้างบาดแผลใหญ่ที่ชื่อว่า 'ความโกรธแค้น (Anger)' ที่ผลลัพท์นั้นถูกแสดงออกมาโดยรูปแบบที่พวกเราต่างรู้ว่าฝีมือทั้งหมดมันเกิดขึ้นเพราะสิ่งใด

ความเชื่อจากบรรพบุรุษยุคโบราณเมื่อหนึ่งพันปีที่แล้ว?
ความไม่แยแสของเหล่าคนรุ่นเก่าที่ไม่คิดที่จะตามความเป็นไปของโลก?
ผู้อยู่ในอำนาจเก่ามีความปรารถนาในการอยากให้ 'คนรุ่นใหม่' ทำงานหนักให้มากขึ้น เพื่อแลกกับค่าแรงอันน้อยนิดที่ส่วนใหญ่มันแทบไม่พอจะกินสำหรับประชาชน

หรือว่า... ทั้งหมดทั้งมวลมันอาจมีจุดเริ่มต้นจากการที่มันมี 'องค์สมมุติเทพ' บางอย่างที่ถูกยึดโยงไว้กับความเชื่อที่ปราศจากซึ่งเหตุและผล



"ความเชื่อ (Belief)" หล่อหลอมและแทรกซึมไปยังมนุษย์ทุกคน รูปแบบของมันแตกต่างกันไปตามแต่สภาพจิตใจหรือสภาพแวดล้อมที่พวกเขาได้รับ หลายครั้งการกำหนดค่าของคำว่า 'ความดี' กับ 'ความชั่ว' มันเป็นเพียงสิ่งนามธรรมที่เราไม่มีทางระบุจำนวนหรือตั้งนิยามออกมาได้อย่างชัดเจน เหมือนกับการคำนวณว่า 'คนเราจะสามารถทนความเจ็บปวดได้มากแค่ไหน?'

มันไม่มีสิ่งที่เรียกว่า 'Pain Per Minutes' หรือ 'Suffering Per Minutes' แต่มันคือ 'Suffering Per Months' ที่มันจะเพิ่มพูนมากขึ้นตามกาลเวลาของการใช้ชีวิต ณ ขณะที่ผมกำลังนั่งเขียนบล็อกนี้อยู่ ผมเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้มันอาจดูไม่มีเหตุผลเท่าไหร่ แต่ผมเชื่อว่าหลาย ๆ คนคงล้วนเข้าใจได้เป็นอย่างดีถึงสิ่งต่าง ๆ รอบตัว ไม่ว่าจะตั้งแต่ในโลกอินเตอร์เน็ต หรือแม้แต่กับโลกแห่งความเป็นจริง

นิยามของเทพเจ้า อาจเปรียบได้ดั่ง 'ต้นแบบ' ของความดี
เช่นเดียวกับนิยามของปีศาจ ที่มันอยู่ขั้วตรงข้ามกับเทพเจ้า
พวกมันทั้งคู่ต่างล้วนเป็น 'ศัตรู' ในทางทฤษฎี
ทว่าแท้จริงแล้ว 'เทพเจ้า' กับ 'ปีศาจ' มันกลับล้วนเป็นเพียงแนวความคิดที่เกิดขึ้นจากสารเคมีในสมองที่เราสร้างขึ้นเพื่อเสริมให้ความเชื่อดั้งเดิมของเราแข็งแกร่งและแน่นอนมากยิ่งขึ้น

และนั่น... ก่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า 'ความวินาศสันตะโร (Chaotic)'


ทว่า ณ เวลาของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ สิ่งต่าง ๆ กลับเริ่มย่ำแย่ลงไปอย่างเห็นได้ชัด และสิ่งที่เราเหล่ามนุษย์ทำได้ ก็มีเพียงแต่เฝ้ารอและป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้นก่อนที่ระบบทุกอย่างจะพังทลายลงไป และเข้าสู่การล่มสลายไปในอีกไม่นาน

ผมไม่อาจจินตนาการภาพออกได้ว่าถ้าหากวันที่การล่มสลายครั้งใหญ่ของมนุษย์มาเยือนนั้น ถึงตอนนั้นเราจะยังคงช่วยกันประคับประคอง 'ความรู้สึก' หรือ 'มองหาเหตุผล' กันไปอยู่หรือไม่ แต่อย่างไรเองเมื่อมันมาถึง ณ จุด ๆ หนึ่งที่องค์สมมุติเทพมีอำนาจล้นฟ้าที่มากเกินไป สิ่งที่มันจะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวง นั่นคือการที่ผู้คนบางส่วนอาจเกิดอาการ 'หลงผิด (Delusion)' และถูกชักนำให้กระทำเรื่องแย่ ๆ ต่อไป แม้ว่าภาพที่พวกเขากำลังทำอยู่ตรงหน้าคือการเข่นฆ่าด้วยกันเอง โดยคาดหวังว่าตัวพวกเขาจะได้ขึ้นไปรับใช้ตัวตนความเชื่อที่พวกเขารู้ว่ามันมีอยู่

และบางที... การกระทำเช่นนั้นก็ส่งผลร้ายแรงต่อสิ่งต่าง ๆ มากมายอย่างมหาศาล...

ความสมดุล (Equation)

แน่นอนว่าในที่นี้ผมไม่ได้หมายถึงการสร้างความเท่าเทียมไปแต่อย่างใด หากแต่ความหมายของคำว่า 'ความสมดุล' มันคือการที่สองอำนาจนั้นมีความจำเป็นต้องมีการ 'ถ่วงดุล' ซึ่งกันและกัน

หากโลกนี้มีองค์สมมุติเทพมากเกินไป ก็จำเป็นต้องมีเหล่าจอมมารผู้คอยตอกย้ำให้ผู้คนมองเห็นโลกของความเป็นจริงที่ดำเนินอยู่

มันอาจเป็นเรื่องชวนรู้สึกขมวดคิ้ว หรือว่าค่อนข้างเจ็บปวดไปไม่น้อยที่ว่า 'ความเป็นจริง (Reality)' คือสิ่งที่มันไม่เคยปราณีกับเรา หากแต่ต้องอย่าลืมว่าหากไร้ซึ่งตัวของมัน นั่นอาจจะทำให้เราไม่ต่างอะไรไปจากพวกสัตว์เดรัจฉานที่ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ 'กฎเกณฑ์' และ 'สิ่งสมมุติ' ที่สร้างมาเพื่อเสริมความมีเหตุและผลของตัวเอง

แต่อย่างไรเสีย กฎเกณฑ์ต่าง ๆ มากมายเหล่านี้ที่สร้างขึ้นก็ล้วนมาจากมนุษย์ เรามีความจำเป็นมากมายที่ต้องร่างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาเพื่อแยกตัวเราออกจากการเป็นสัตว์ป่าที่เพียงแค่ล่า กิน ขับถ่ายของเสีย และสืบสายพันธุ์เหมือนอย่างเช่นตัวของพวกมัน

เบื้องหลังของประวัติศาสตร์ล้วนมีการหลั่งเลือดของเหล่าผู้คนมากมาย ผู้ซึ่งเต็มไปด้วยคำถามและความสงสัยเกี่ยวกับเรื่องที่ว่า 'มนุษย์เกิดมาทำไม?' และ 'อะไรคือคุณค่าของมนุษย์?'

ผมคงไม่อาจมีคำตอบที่ชัดเจนในเรื่องนี้ และในทางกลับกันการยืนหยัดซึ่งคำตอบเพียงคำตอบเดียว ก็ไม่ได้ไขปริศนาเกี่ยวกับความจริงของโลกและจุดเริ่มต้นของมนุษย์ ในทางกลับกันศาสตร์ของการตั้งคำถามมันพ่วงมาด้วยสิ่งที่เรียกว่า 'การหาคำตอบ' ซึ่งผลลัพท์ของมันอาจออกมาได้หลากหลายแบบ ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาต้องการเอนเอียงสิ่งเหล่านั้นไปในทางฝั่งไหน และข้อเท็จจริงมันแสดงออกมาให้เห็นอย่างไร

แต่ทั้งนี้... ผมก็เป็นเพียงแค่ 'มนุษย์คนหนึ่ง' ที่ไม่ได้มีความรู้เยอะมากไปกว่าการที่ตัวผมเองพยายามตั้งคำถามและหาคำตอบอยู่ตลอด จนในท้ายสุดก็ดันกลายมาเป็นคนที่ไม่เคย 'ยินดียินร้าย' อะไรเลยกับชีวิตไปแทน

ใครจะรู้ ผมอาจเป็นหนึ่งใน 'ปีศาจ' ตัวนั้นที่คอยบงการพวกคุณไปก็ได้ :)



ความคิดเห็น