We should talk about it, we MUST have this conversation about THIS (seriously)

 คำเตือน : เนื้อหาต่อไปนี้ถูกนำเสนอและเขียนขึ้นเพื่อจุดประสงค์ในการบอกมุมมองเบื้องลึก และมีหัวข้อที่ค่อนข้าง 'สุ่มเสี่ยง' ต่อผู้ที่มีความอ่อนไหวทางด้านอารมณ์ และไม่เหมาะกับผู้ที่กำลังประสบพบเจอกับผลกระทบทางจิตใจอย่างรุนแรง

โปรดใช้วิจารญาณในการรับชม

(Viewer Discretion is advised)


นับได้ว่าค่อนข้างเป็นช่วงเวลาไม่นานนัก สำหรับการที่ผมเองเลือกจะห่างหายไปจากการนั่งเขียนบล็อกแม้เพียงแค่หนึ่งหรือสองวัน ทว่าเวลาเหล่านั้นกลับถือเป็นช่วงเวลา ๆ หนึ่งที่ทำให้ผมคิดว่าผมเองควรจะต้องมาบอกเพื่อให้เข้าใจถึงเหตุผลเบื้องหลังทั้งหมด ในทุก ๆ ช่วงของการที่ผมได้สร้างบล็อกนี้ขึ้นมา และแน่นอนว่าอีกหนึ่งสิ่งที่ผมเองคิดว่ามันคือสิ่งที่ 'เรา' ทุกคนต่างรับรู้กันอยู่เบื้องลึกมาโดยตลอด

ผมมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่อยากจบชีวิตของตัวเอง

และ ณ ตอนนี้ ผมกำลังมองหา 'วิธีการ (Method)' ที่จะทำแบบนั้น

ผมเข้าใจว่านี่อาจฟังดูซีเรียส แต่ขอจงโปรดรับฟังอย่างตั้งใจและตั้งสติให้ดีเสียก่อน

สาเหตุเบื้องต้นของการที่ผมมีความปรารถนาในการจบชีวิตของตัวเอง ไม่ใช่เพราะเพื่อประชดประชันหรืออะไร หากแต่ผมกลับมองไม่เห็นถึง 'อนาคต' ที่ตัวผมเองจะลงเอยว่าจะได้รับในสิ่งที่ตัวเองต้องการ

ในทุกเหตุผลของคนที่มีความพยายามในการจะ 'อัตวินิบาตกรรม (Suicide)' เป็นเรื่องที่ผมตอบได้ยากมากว่าอะไรคือสาเหตุจริง ๆ ของมัน ผมเชื่อว่าใครก็ตามที่พวกเขากำลังมีความคิดแบบนี้อยู่ ย่อมแปลว่าพวกเขาเองคงตั้งมั่นและตั้งใจที่จะเตรียมพร้อมเพื่อจะจากลาโลกนี้ไปแล้ว เหลือเพียงแต่ว่าคนที่จะมีความ 'กล้าหาญ (Courage)' ต้องการทำเช่นนั้นจริง ๆ อาจเป็นไปได้ว่าพวกเขาคงกำลังวางแผนการนั้นอยู่ในหัว

และผมเองคงเลือกจะไม่ห้ามปรามอะไรพวกเขา...


"การมีชีวิตอยู่มัน 'คุ้มค่า' มากเพียงพอหรือไม่?"

หากใครเองที่ได้ศึกษาในวิชาปรัชญามาก่อน คุณคงอาจเคยได้ยินปรัชญาของคำว่า 'สุญนิยม (Nihilism)' มาบ้างไม่มากก็น้อย อย่างไรเอง ผมจะขอนำมันออกมาพูดตีความตามความเข้าใจของผมเอง (และนั่นหมายความว่า 'คุณ' ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับผม ไม่สิ คุณไม่ควรเห็นด้วยกับสิ่งที่ผมพูดขึ้นมา)

ในมุมมองสำหรับผู้ที่สนใจในด้านของปรัชญามาตั้งแต่ช่วงเวลา ๆ หนึ่งในชีวิต เจ้าสุญนิยม มันเปรียบเสมือนเป็นหลักความเชื่อที่ว่าทุกสรรพสิ่งล้วนแล้วแต่เป็น 'ศูนย์' ที่ไร้ซึ่งคุณค่าใด ๆ หรือแม้แต่ความหมายของมัน มันเป็นหลักทางปรัชญาอย่างหนึ่งที่ว่าด้วยเรื่องของการไม่สนใจใยดีใด ๆ ต่อทุกสิ่งอย่าง หากเพียงแต่เลือกที่จะดำเนินชีวิตไปตามรูปแบบของการใช้ชีวิตตามสัญชาตญาณ ซึ่งแน่นอนนั่นหมายความว่าเมื่อทุกสิ่งอย่างล้วนไม่มีความหมาย นั่นก็แปลว่าหลักการหรือความเชื่อใด ๆ เกี่ยวกับการสร้าง 'คุณค่า' ขึ้นมามันจึงเป็นสิ่งที่ยากจะเป็นไปได้ นอกเสียจากว่าพวกเขาจะได้ประสบพบเจอกับสิ่ง ๆ หนึ่งที่มันทำให้พวกเขาเริ่มมองเห็นถึงความสำคัญไปอีกครั้ง

หากแต่เฉกเช่นเดียวในเวลาเดียวกัน มันก็มีที่คนบางประเภท พวกเขาเลือกจะ 'ปล่อยวาง' ทุกสิ่งอย่าง จนไม่แยแสแม้แต่การได้ต้องลงมือกระทำในสิ่งเลวร้ายที่คน ๆ หนึ่งจะสามารถทำได้

ช่วงเวลาหนึ่งของผม มักอยู่กับเรื่องของปัญหาในการค้นหาตัวเองอยู่เป็นประจำ หลายครั้งในทุกความพยายามที่ผมลงมือไป มันมักจะทำให้ผมได้แต่ตั้งคำถามให้กับตัวเองอยู่บ่อยครั้ง (ไม่สิ ทุกครั้งเลยต่างหาก) ความพยายามที่อยากสอดแทรกเนื้อหาบางอย่างเข้าไป ส่วนมากมักจะเกี่ยวพันกับการพูดถึงเรื่องของ 'ความเจ็บปวด, ความทรมาน, ความทุกข์ยากเย็นแสนเข็ญ, ความดำมืดของจิตใจ' และสิ่งหนึ่งที่ผมไม่สามารถละทิ้งจะกล่าวถึงมันไปไม่ได้คือ 'ความตาย (Death)'

ผมไม่รู้ว่าภาพความตายของผมจะเป็นแบบไหน หากแต่ผมพอร่างมันไว้ในหัวมากแล้วว่าสิ่ง ๆ นี้มันจะกลายเป็นเหมือนกับ 'จุดสิ้นสุดการเดินทาง' ที่ผมเลือกจะปล่อยวางทุกอย่างไป ภายหลังจากถูกปัญหารุมเร้าเข้าใส่เป็นจำนวนมาก จนกระทั่งผมไม่สามารถที่จะมองหาความช่วยเหลือจากใครได้อีก

ผม 'ไม่' แม้แต่จะมีความเชื่อใจ...ไม่ว่าจะจากใคร จากครอบครัว เพื่อนสนิท หรืออาจเป็นได้แม้แต่กระทั่งผู้คนในโลกอินเตอร์เน็ต...


The Internet Is Dead

ความไม่เชื่อใจในทุกสิ่งอย่าง ดลบันดาลทำให้ผมเริ่มที่จะตัดสินใจว่าจะใช้ระยะเวลาหลังจากนี้ในการเปิดใจเพื่อที่จะลองมองหาหรือ 'ดำดิ่ง' ลงเพื่อมองหาเหตุผลว่าตัวผมเอง 'สมควร' ที่จะตายด้วยวิธีไหนที่มันดีกับตัวผมเองมากที่สุด

และในทางกลับกัน มันก็หมายถึงการที่ผมเอง 'พยายาม' เพื่อที่จะมองหาหลักในการที่มันจะทำให้ชีวิตของผมเองห่างเหินไปจากการคิดฆ่าตัวตายมากขึ้น

และแน่นอนว่าการเขียนเรื่องราวของตัวเองลงบนบล็อกโพสต์นี้ ก็ถือเป็นอีกวิธีหนึ่งในการที่ผม 'เลือก' จะทำ


Suicide is an option, not necessary nor answer

ผมอาจจำเป็นต้องมีการย้ำถึงตรงนี้ก่อนว่าการที่ผมเลือก 'เปิดใจ' พูดสิ่งนี้ขึ้นมาไม่ได้ทำเพื่อในการสร้างแรงจูงใจใด ๆ หากแต่มันเป็นเพียง 'มุมมอง' จากคนที่กำลังชั่งใจในการเลือกระหว่าง 'มีชีวิตอยู่ต่อไป' หรือ 'ทิ้งดิ่งลงสู่เหวลึกที่ไม่มีทางปีนกลับมาได้' ซึ่งแน่นอนว่าในทุกทางเลือกในชีวิตของผม ผมมักจะเกิดความรู้สึกว่ามันคือ 'จุดที่หันหลังกลับไม่ได้ (Point of No Return)' อยู่ตลอดเวลา

เช่นเดียวกันกับงานเขียน บางครั้งแล้วการที่ผมเลือกจงใจที่จะพยายามดำดิ่งหาข้อมูลเบื้องลึกของมัน ก็อาจ 'ไม่ใช่' สิ่งที่เหมาะแก่คนทุกคนมากนัก

ทุกตัวอักษรที่ผมเรียงร้อยขึ้น มันไม่ได้มาจาก 'จินตนาการ' ที่ผมสร้างเพียงอย่างเดียว

ทว่ามันคือ 'ความเจ็บปวด' และ 'บาดแผลแห่งความโศกเศร้า'

ส่วนที่เหลือตกค้างไว้จากช่วงเวลาในอดีตที่หลุดหายไปในกาลเวลา


ผมจะยังคงมีแวะเวียนเข้ามาในบางช่วง และอาจห่างหายไปนานเป็นพิเศษ ด้วยเหตุผลที่ว่ามีความจำเป็นต้องเจียดตัวเองลุกขึ้นจากเตียง และเผชิญหน้ากับความรู้สึกแย่ ๆ ในทุกเมื่อเชื่อวัน

ผมคงไม่คาดหวังว่าจะมีวันไหนที่ 'โชคลาง' เข้าข้างให้กับตัวผม นอกเหนือจากเพียงแต่ผมอาจจำเป็นต้องทิ้งท้ายไว้ล่วงหน้าเสมอว่า 'เมื่อใดเองที่บล็อกนี้ไม่มีการอัปเดตความคืบหน้าใด ๆ เป็นระยะเวลามากกว่าหนึ่งเดือน' ขอให้รับรู้เป็นที่ทั่วกันว่าผมเองอาจได้กำลัง 'ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข' หรือไม่ก็คง 'หลุดหาย' ไปจากสารบบแล้วเป็นที่เรียบร้อย

ขอบคุณที่รับฟัง ขอบคุณสำหรับการอ่านมาจนถึงช่วงท้าย

และที่สำคัญ...

จงยอมรับในการตัดสินใจ 

แด่ 'อ้อมกอด' ครั้งสุดท้ายถึงเหล่าผู้จากลาโดยไร้สัญญาณ


ความคิดเห็น