Let's talk about DEATH

 


กลับมาสู่ ณ จุดตั้งต้นอีกครั้ง...

เดือนนี้อาจเป็นอีกหนึ่งเดือนที่ผมค่อนข้างปั่นงานเขียนตัวเองหนักมากกว่าเดือนที่แล้ว อย่างไรเอง ผมอาจต้องขอบคุณตัวเองที่ได้ตัดสินใจ 'พูดในสิ่งที่คิด' ตั้งแต่บทความก่อนหน้านี้ที่ผมได้บอกไป

อย่างไรเอง ผมอยากขอใช้พื้นที่ตรงนี้อีกครั้ง หากแต่มันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องของ 'แนวความคิดการฆ่าตัวตาย (Suicide Ideation)' หรือลงลึกไปยันถึงเรื่องการพยายามเสาะหา 'วิธีการ (Method)' ที่ผมคิดว่ามันอาจฟังดูค่อนข้าง Extreme มากไปสักหน่อยสำหรับการพูดถึงหรือบอกถึง

ผมกำลังจะพาพวกคุณไปสู่จุดตั้งต้นของเรื่องราวทั้งหมด จุดเริ่มต้นที่อาจทำให้คุณได้ 'ฉุกคิด' ถึงความหมายของการมีชีวิตอยู่อีกครั้ง

เรามาพูดถึงเรื่อง 'ความตาย' กันดีไหม? :)


อาจฟังดูเป็นหัวข้อสนทนาที่ไม่ค่อยเป็นมงคล อย่างไรเอง ครั้นจะไม่พูดถึงมันเลยคงเป็นไปไม่ได้ เพราะแน่นอนว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวพันกับชีวิตของผู้คน ความเป็นอยู่ในสังคม และแน่นอนว่ารวมถึง 'คุณ' ที่กำลังอ่านบทความนี้ และ 'ผม' ที่กำลังนั่งละเลงตัวอักษรลงบนหน้ากระดาษเปล่า ๆ นี้ไป

สาเหตุหรือจุดเริ่มต้นเกี่ยวกับการจุดประเด็น Topic เรื่องนี้ มันเริ่มต้นขึ้นจากการที่เมื่อสามวันที่แล้ว ผมได้มีโอกาสในการฟังพอตแคสต์ที่สนทนาเกี่ยวกับหัวข้อทางปรัชญา ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเรื่องที่ผมค่อนข้างให้ความสนใจในประเด็นหลากหลายอย่าง ไม่ว่าจะทั้งหลักวิธีการคิด แนวทางการดำเนินชีวิต หรือแม้แต่การพยายามคิด วิเคราะห์ ถึงในเรื่องของประเด็นที่ถูกมองข้ามไป ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของโลกทั้งใบที่ตอนนี้มันค่อย ๆ ปะทุไฟลุกโชนขึ้นในทุกวินาที

เหตุการณ์ลอบสังหารอดีตประธานาธิบดี เหตุการณ์ความรุนแรงในสงครามที่ตะวันออกกลาง การเพิ่มตัวของสื่อประเภทคลิปวิดีโอสั้น ๆ การมีอยู่ของระบบ 'อัลกอริทึ่ม (Algorithm)' ที่เป็นได้ทั้งคุณประโยชน์และโทษในเวลาเดียวกัน หรือการลดจำนวนของประชากรโลกที่ตัวมันเองสวนทางกับการเพิ่มตัวขึ้นของประชากรโลกเองก็ตาม

ผมอาจพูดถึงเรื่องนี้โดยละเอียดไม่ได้เยอะมากเท่ากับ 'ผู้เชี่ยวชาญ' หากแต่ถ้าคุณสังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ไม่ว่าจะทั้งในโซเชียลหรือตามข่าวที่ฉายขึ้นผ่านโทรทัศน์ (ซึ่งคุณอาจเสพมันมากกว่าผมที่นาน ๆ ครั้งถึงจะตามข่าวคราวบ้าง) ก็คงรู้กันได้ไม่ยากว่าหลายครั้งแล้ว ความคิดเกี่ยวกับเรื่องของ 'ความตาย' มันมักจะถูกทำให้มันมีความ 'โรแมนติก (Romanticize)' มากกว่าในความเป็นจริงที่มันกลับขั้วกันไปมาก ซึ่งนั่นคือ 'เศร้าโศก (Sorrow)'

แน่นอนว่าผมเองคงพูดได้ไม่เต็มปากนักว่า 'ความตาย' คือสิ่งที่มันดูเย้ายวนใจ อย่างไรเองแล้ว ผมคงไม่อยากให้ตัวเองต้องจบชีวิตลงทั้งที่ยังทำตามเป้าหมายที่วางไว้ไม่สำเร็จเป็นรูปเป็นร่าง หรือแม้ต่อให้มันเกิดขึ้นมาแล้ว ถึงกระนั้นผมคงไม่มีเหตุผลมากพอในการที่จะเลือกจบชีวิตตัวเอง (ถ้าไม่ใช่เพราะว่าด้วยฐานะทางสังคม + ความสัมพันธ์ของคนรอบข้าง และบรรดาสื่อบันเทิงต่าง ๆ มากมายในโลกที่เหมือนจะดึงเอาความคิดอยากจบชีวิตของตัวผมเองไป)

นัยหนึ่ง ผมอาจคิดว่าตัวเองคงมีชีวิตอยู่ไม่ถึงจนช่วงเวลาที่ได้รู้สึกถึงการได้ 'ใช้ชีวิต' ไปจริง ๆ ทว่าเรื่องหนึ่งที่ผมสามารถพูดได้ตามประสบการณ์เกี่ยวกับตัวเอง นั่นคือการที่ผมได้ตระหนักว่าผมควรที่จะเอาใจใส่และเตรียมตัวในเรื่องของ 'ความตาย' ให้รัดกุมมากกว่าเดิม ไม่เพียงแต่การเตรียมตัวเรื่องนั้น แต่มันเป็นการที่ผมต้องทำให้แน่ใจด้วยว่าสิ่งที่เรียกว่า 'ความตาย' นั้นมันจะเป็นไปอย่างที่ผมต้องการ

หลายครั้ง 'มัน' ก็มักจะเข้ามาเยือนหาโดยที่ผมไม่รู้ตัว หลายครั้ง เจ้าสิ่งที่เรียกว่า 'ความตาย' มันไม่เคยที่จะปราณีสิ่งใด แม้แต่กระทั่งตัวมันเอง



แต่ถึงยังไงเอง ผมคงไม่ได้สนับสนุนในเรื่องของการจบชีวิตตัวเอง หรือสร้างเหตุผลเพื่อหาความชอบธรรมในการเป็น 'กระบอกเสียง' ให้กับคนที่ต้องการอยากจะจบชีวิตตัวเองด้วยเช่นกัน สำหรับผมแล้วมันเป็นเรื่องที่ผมยังคงมีมุมมองว่า 'ทุกชีวิตล้วนมีอิสระ มีเสรีภาพ และตัวเลือกในการตัดสินใจ' หากเพียงแต่ในบางครั้งนั้น สิ่งเหล่านั้นอาจกลับถูกมองเพียงแค่มุมมองด้านเดียว (หรือด้านใดด้านหนึ่ง)

มันอาจเป็นได้ทั้งด้านของคนที่มองว่าเป็นสิ่งที่สมควร แต่อีกด้านกลับมองว่าชีวิตคือสิ่งที่มีคุณค่า และมนุษย์ไม่สมควรที่จะจบชีวิตของตัวเอง

โลกแห่งความเป็นจริงมันซับซ้อนกว่าที่คิด ว่าไหม?

เผลอ ๆ แล้วสิ่งที่ซับซ้อนยิ่งกว่าอาจเป็นเรื่องของสภาพจิตใจและการทำงานของสมองมนุษย์ของเราเอง...



ความคิดเห็น