[บอกเล่าประสบการณ์] การถูกล่อลวงและการต่อสู้ทางจิตใจ สงครามที่ไม่มีวันจบ และความเกลียดชังที่หยั่งรากถึงก้นบึ้งลึก (Doom, Wolfenstein Series)

 


"Against all the evil that Hell can conjure, all the wickedness that mankind can produce, we will send unto them... only you. Rip and tear, until it is done."

อาจเป็นเรื่องน่าแปลกไปเสียหน่อย เพราะถ้าหากจะให้ผมพูดตามตรงจากใจจริง ๆ ที่มีเกี่ยวกับเกมประเภทแนวยิงกันแล้ว เรื่องหนึ่งที่ผมไม่เคยพูดหรือกล่าวถึงเลย นั่นคือมันเป็นหนึ่งในเกมแนวที่ผม 'คุ้นชิน' กับมันมากเป็นพิเศษมาตั้งแต่ช่วงเยาว์วัย หากแต่ในระยะเวลาเดียวกันความคุ้นชินนั้นหลายครั้งมันกลายเป็น 'ความเบื่อหน่าย (Boredom)' ที่ทำให้ผมหันเหไปสนใจอีกเกมนึงแทน

'ดูม (Doom)' และ 'วูฟเฟ็นสไตน์ (Wolfenstein)' คือสองเกมเริ่มแรกที่ทำให้ผมก้าวเข้าสู่วงการ FPS แบบจริงจัง


(ภาพจาก GZDoom หรือ 'ม็อด' ไม่ใช่ตัวเกมจริงแต่อย่างใด)


หนึ่งในเกมยิงสุดคลาสสิกที่ผมคิดว่าไม่ว่าคุณจะเป็น 'เกมเมอร์' ยุคไหนก็ตามล้วนต้องเคยได้ยินชื่อมัน

แน่นอนว่าในที่นี้ผมจะไม่ขอพูดถึงในส่วนของเกมอย่าง Doom Eternal ที่ผมถูกจัดให้มันเป็น 'ดูมยุคใหม่ (Modern Doom)' ที่มีระบบการเล่นต่างจากภาคก่อนหน้านั้นอย่างชัดเจน หากแต่จะขอพูดถึงส่วนของความเก๋าของ 'ดูมยุคคลาสสิก (Classic Doom)' ที่อาจมีการพ่วงถึงเนื้อหาเกี่ยวกับตัวเกมรุ่นพี่อย่าง 'วูฟเฟ็นสไตน์ (Wolfenstein)' ที่มันคือเกมที่ผมเล่นตั้งแต่ตอนเยาว์วัย (และได้รู้จักชื่อมันก็ช่วงที่มันได้ถูกรีบูทใหม่ในชื่อของ Wolfenstein : The New Order)

ดูม เป็นเกมยิงที่มีเนื้อหาไม่ต่างอะไรจาก 'หนังสำหรับผู้ใหญ่ (Adult Movies)' ดั้งเดิมตัวของเนื้อเรื่องมันถูกจัดว่าเป็นเรื่องรองและไม่ได้มีการเพิ่มเสริมหรือปรุงแต่ง Lore ลงไปในช่วงยุคคลาสสิก หากแต่อย่างไรเองสำหรับใครที่เคยผ่านเนื้อเรื่องของเกม Doom 2016 และ Doom Eternal มาก่อน (ซึ่งแน่นอนว่าทางผู้เขียนคงไม่ได้สนใจเรื่องส่วนนี้มากนัก แต่เชื่อว่าถ้าคุณผู้อ่านท่านใดได้คลุกคลีกับตัวเกมมันได้มากพอ ค่อนข้างมั่นใจว่าตัวมันเองถือว่ามีเนื้อเรื่องที่ 'ลึก' ลงไปมากกว่าที่เห็นพอสมควร)

อย่างไรผมจะไม่ขอพูดถึงเนื้อเรื่องของเกมนี้ เนื่องจากด้วยหลาย ๆ สาเหตุที่ส่วนใหญ่แล้วตัวมันถูกผลัดเปลี่ยนหรือว่ามีการบอกเล่าที่ไม่ค่อยชัดเจนมากนัก อย่างไรก็ตามเพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกัน ขอให้คิดไว้เสียว่า 'ดูม' คือเกมที่บอกเล่าเรื่องราวของทหารผู้หนึ่งที่ต้องต่อสู้ฟันฝ่าเหล่าปีศาจชั่วร้ายด้วยอาวุธบนมือที่เขามี โดยมีเป้าหมายคือเพื่อป้องกันการรุกรานของมันที่อาจส่งต่อมาสู่โลกที่ตัวเขาอาศัยอยู่แล้วกัน

สำหรับประสบการณ์สำหรับเกมดูมนั้น ผมถือว่ามันคือหนึ่งในเกมที่มีเสน่ห์ของความนำเอาความ 'น่าสะอิดสะเอียน' และ 'สุนทรีย์ภาพ' ที่สองอย่างนี้เองมันคือผลพวงจากแรงบันดาลใจจากหนังเอเลี่ยนในยุค 90 และความรุนแรงในช่วงยุคแบบเดียวกันที่มันนำเสนอมาด้วยกราฟฟิกแบบ 16 Bits ซึ่งแน่นอนว่าตัวของมันเองถือว่าเป็นที่ 'โจษจัน' อยู่ช่วงเวลาหนึ่ง ณ ตอนที่วงการเกมมันยังคงเป็นหนึ่งในสิ่งที่ผู้คนต่างถกเถียงเกี่ยวกับ 'ความรุนแรงของวิดีโอเกมส์' กันอยู่เป็นเรื่องปกติ

อย่างไรเอง ผมคงต้องขอข้ามเรื่องนี้ไปอีกเช่นเดิม ทว่าอยากจะพูดถึงเรื่องอะไรสักอย่าง หนึ่งในสิ่งที่ผมกำลัง 'ต่อสู้' กับมันผ่านมุมมองของตัวเอกผู้ถูกเรียกขานว่า 'ดูมสเลเยอร์ (Doom Slayer)'



(ปล. ภาพตัดต่อไม่มีอยู่ในตัวเกมจริงแต่อย่างใด)

"พวกเราต่างมีความเป็น นักฆ่า (Slayer) อยู่ในตัว"


แม้อาจไม่ได้เป็นการประดิษฐ์คำที่สวยหรูนัก หากแต่สำหรับชีวิตของผู้ที่ประสบพบเจอกับความเจ็บปวดมาเป็นระยะเวลานานแสนนาน การเผชิญหน้ากับระบบสังคมที่มากไปด้วยเหล่า 'ปีศาจในคราบมนุษย์' ผู้ที่ไม่สำคัญว่าจะเป็น 'ปีศาจ' หรือ 'เทวทูต' ต่างล้วนเหมือนกันแทบทั้งหมด

พวกมันไม่เคยเข้าใจความทุกข์ยากที่มนุษย์อย่างเรากำลังเผชิญ สิ่งเดียวที่พวกมันทำคือการมองเราด้วยเลนส์มุมมองด้านเดียว และหมายมุ่งเพื่อที่จะครอบครองโลกนี้ให้ตกอยู่ในกำมือของพวกมัน

'ดูม สเลเยอร์' คือชื่อของนักรบในตำนานผู้กำราบ และพิชิตชัยโลกใบนี้ด้วยพลังอำนาจทัดเทียมได้ดั่ง 'มนุษย์กึ่งเทพ' เปี่ยมด้วยความจงเกลียดจงชังต่อพวกปีศาจทั้งปวงด้วยสาเหตุของการที่พวกมันได้พลัดพรากสัตว์เลี้ยงแสนที่รักของเขาไป (และนั่นอาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ความจงเกลียดจงชังในเหล่าปีศาจของดูม สเลเยอร์เพิ่มพูนมากขึ้นไปอีกหลายเท่า)

เป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจถึงพื้นเพเบื้องหลังของตัวละครจากเกมยิงในช่วงยุค 90 - 2000 อันเนื่องมาจากโดยมากมันถูกนำเสนอในรูปแบบของการเปิดโอกาสให้ผู้เล่นสวมบทบาทไปเป็นในสิ่งที่พวกเขาไม่คาดคิดว่าจะได้ทำและได้เป็น มุมมองของผมที่มีต่อเกม 'ดูม' มีส่วนคล้ายคลึงกับตัวของ 'วูฟเฟ่นสไตน์' ตรงที่ตัวละครทั้งสองนั้นต่างมีเป้าหมายแบบเดียวกัน หากแต่ในด้านของการแสดงออกทางอารมณ์กลับมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ซึ่งส่วนนี้เกม 'วูฟเฟ่นสไตน์' จะแสดงออกมาได้ดีและมองเห็นภาพรวมได้มากกว่าตัวของ 'ดูม' หลายเท่า

อย่างไรเอง ผมคงไม่ขอบอกว่าเกมไหนนั้น 'ดีกว่า' หรือ 'แย่กว่า' เพราะในท้ายที่สุด คนที่ตัดสินใจไม่ได้ขึ้นอยู่กับคะแนนรีวิวจากช่องสำนักดัง ๆ จากเหล่านักวิจารณ์ที่อ้างตัวว่ามีประสบการณ์เล่นเกมมานานหลายปี จากใครก็ตามในโลกอินเตอร์เน็ตที่กำลังบอกให้คุณ 'อย่าซื้อเกม ๆ นั้น' ด้วยการหยิบยกเหตุผลสุดเท่าที่จะคิดได้

ตัวของคุณ เรื่องราวของคุณ การตัดสินใจทั้งหมดคือ 'ของคุณ'

พวกเราทุกคนต่างมีความเป็น 'นักฆ่า' ในเรื่องราวของจินตนาการที่เราสร้างมันขึ้นมา และมันควรอยู่ในโลกแห่งนั้น


------------------------------------------------

อาจเป็นการจบเรื่องเล่าที่ค่อนข้างสั้นห้วนเกินไปสักนิด เนื่องด้วยจากตอนนี้ทางตัวของผู้เขียนกำลังขลุกตัวอยู่กับการเล่นเกม No Man's Sky บวกกับด้วยเจียดเวลาส่วนหนึ่งสำหรับการเขียน 'รีบูท' เรื่องราวของ Codename 5567 ในตอนเก่า ๆ ซึ่งอาจใช้พลังงานสมองเยอะเป็นพิเศษในช่วงเดือนกรกฎาคมนี้ไปแทบทั้งเดือน

ทั้งนี้ยังไม่นับกับปัญหาในชีวิตที่เจออีก มันเลยค่อนข้างที่จะ 'วุ่นวาย (Chaotic)' สมกับเป็นชื่อของนามปากกาที่ทางผู้เขียนตั้งขึ้น #ฮา

อย่างไรเอง อาจเรียกได้ว่าการที่งานเขียนก้าวหน้าไปแบบนี้ ย่อมถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการที่มันหมายความว่าผมคงอาจได้ฤกษ์กลับไปสู่ ณ จุด ๆ หนึ่งที่ผมได้ห่างเหินไปจากมันเป็นระยะเวลานานพอสมควร นับแต่ที่เริ่มตัดสินใจในการ 'ตัดขาดโลกโซเชียล' ไปเกือบสองเดือนได้ แน่นอนว่ามุมหนึ่งของการทำ Social Detox มันช่วยกลั่นกรองความเป็นพิษออกไปจากในหัวสมองของทางผู้เขียนได้ดี แต่ก็แลกมาพร้อมกับการที่ต้องขาดซึ่งสิ่งที่เรียกว่า 'การเชื่อมต่อกับผู้คน (Human Connection)' ไปด้วยเช่นกัน

ซึ่งหากปล่อยไว้นั่นอาจเป็น 'ข้อเสีย' ที่มันอาจทำให้ผมติดและชินชากับการทำให้ตัวเองกลายเป็นพวก 'ปลีกวิเวก (Isolationist)' และหลงมนต์สะกดของความสันโดษจนหลงลืมไปว่ามันยังมี 'บางสิ่ง' ที่ผมทิ้งเอาไว้อยู่ข้างทางโดยไม่รู้ตัว...

อย่างไรเอง ผมยังคงเกิดความชั่งใจอยู่ไม่ใช่น้อย ยิ่งด้วย ณ เวลานี้ที่เรื่องราวในโลกโซเชียลเองนั้นมันค่อนข้างมีประเด็นหลายเรื่องที่มีความร้อนแรงและ 'อินเตอร์เน็ตดราม่า (Internet Drama)' ที่ตัวมันถือได้ว่าส่งผลกระทบต่อผู้คนมากมายอยู่พอสมควร ซึ่งนี่ยังไม่นับไปกับการต้องคลุกคลีกับเหล่าผู้ใหญ่ภายในบ้านที่พวกเขามักชอบเปิดสื่อโซเชียลที่คอนเทนต์พวกนั้นมันค่อนข้าง 'บั่นทอนเซลล์สมอง' จนผมอดไม่ได้ที่จะรู้สึกรำคาญมันไปด้วย (และมันแค่ 'ส่วนหนึ่ง' ของปัญหาที่ผมเจอภายในสภาพแวดล้อมรอบกายตัวเอง)

หากแต่ถึงเป็นแบบนั้น อย่าได้เป็นห่วงว่าผมจะเผลอจบชีวิตตัวเองไป ไม่ ยังไม่ใช่สำหรับเวลาตอนนี้ ยังไม่ใช่สำหรับเวลาที่ผมจะทำแบบนั้น

ในบล็อกถัดไป เราอาจวกกลับไปสู่การบอกเล่าถึงประสบการณ์เกี่ยวกับเกม 'บลู อาร์ไคฟ์' อีกครั้ง และแน่นอนว่าในครั้งนี้ผมจะไม่ได้พูดถึงประเด็นเรื่องของ 'ความเป็นผู้ใหญ่' หากแต่จะไปเป็นในส่วนของประเด็นเรื่องของ 'การสร้างความมั่นใจในตัวเอง (Self-Esteem)' และ 'ปัญหารถราง (Trolly Problem)' ซึ่งมันคือเรื่องที่ผมแอบสะกิดใจชวนให้เกิดคำถามน่าคิดมากมายเกี่ยวกับมัน

อาจไม่ได้มากและละเอียดนัก ทว่าอย่างไรแล้ว ผมเคยพูดไว้นี่ว่าเกม Blue Archive เป็นหนึ่งในเกมกาชาที่มันได้มอบอะไรมากกว่าแค่การเสพไวฟุอย่างเดียว (ใช่หรือเปล่า? อาจไม่ก็ได้ หรือใช่นะ xD)

อาจไม่ใช่ตอนนี้ วันหน้า หากแต่สักวันหนึ่งผมคงจะเขียนถึงเรื่องนี้อีกครั้ง...

ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ :D




ความคิดเห็น