[บอกเล่าประสบการณ์] ความรุนแรง และสายเร่งด่วนของเมืองแห่งแสงสีเสียง (Hotline Miami Series)

 

"แสงสีสลัวของหลอดไฟนีออน หวนชวนทำให้รู้สึกเพลิดเพลิน และในเวลาเดียวกันมันก็จุดประกาย ความรุนแรง ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว"

เป็นอีกครั้งหนึ่งสำหรับการบอกเล่าในประสบการณ์ที่ทางผู้เขียนมีต่อ 'วีดิโอเกม' ที่มันคือส่วนสำคัญในการส่งมอบความประทับใจและแรงบันดาลใจบางอย่างชนิดที่เรียกว่ามันเกือบกลายเป็นสิ่งที่ถูก 'หลงลืม' ไปแล้ว

ชื่อของมันคือ Hotline Miami และ Hotline Miami 2 : Wrong Number


สำหรับคนที่อาจยังไม่คุ้นเคยหรือรู้จักกับเกมนี้ ผมจะขอบอกถึงรายละเอียดของมันเพียงสั้น ๆ และเช่นเดียวกัน ถ้าหากคุณสนใจอยากที่จะไปลองหามาเล่นดู แน่นอนว่ามันมีอยู่ในช่องทางถูกลิขสิทธิ์มากมายที่คุณสามารถไปหามันมาเล่นได้ (และผมเองคงไม่จำเป็นต้องบอก ในฐานะที่รู้ ๆ กันอยู่แล้ว)

Hotline Miami เป็นเกมแนวเดินหน้ายิงรูปแบบมุมมอง Top-Down Shooter ที่มีระบบการเล่นแบบ Fast-paced เน้นในการตอบสนองที่รวดเร็ว ฉับไว กล่าวได้ว่ามันคือหนึ่งในเกมที่มีความยากอยู่ในระดับหนึ่ง อันเนื่องมาจากมันเป็นเกมที่ผู้เล่นสามารถตายได้ด้วยการถูกโจมตีเพียงไม่กี่ครั้ง และนั่นหมายความว่าหนทางเดียวที่ทำได้คือการต้องกลับไปเริ่มต้นเล่นใหม่ตั้งแต่ต้นสถานเดียว

ตัวเกมถูกนำเสนอออกมาในช่วงยุคเริ่มต้นราว 1980 - 90s อันเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่มีประเด็นในเรื่องของ 'สงครามเย็น (Cold War)' หากแต่ทั้งนี้เองเกมจะไม่ได้บอกเล่าเรื่องราวของสงครามแบบตรง ๆ แต่จะนำเสนอในแบบคล้ายคลึงกับ 'หนัง' ที่มีการดำเนินเนื้อเรื่องไปตามตัวละครที่ได้รับมอบหมาย ในส่วนของเกมเพลย์ของภาคแรก จะมีกิมมิคของเกมที่ผู้เล่นสามารถเลือก 'หน้ากาก' ที่แต่ละใบจะมีความสามารถเฉพาะตัวที่แตกต่างกัน และในแต่ละด่าน การเลือกหน้ากากถือเป็นส่วน 'สำคัญ' สำหรับการเล่นผ่านไปแต่ละด่านให้ได้

แตกต่างกันจากตัวของภาค 2 ที่ถูกทดแทนด้วยการเลือกเป็นตัวละคร หรือ 'อาวุธ' ในการปฏิบัติการไปแทน

ส่วนของเรื่องราวและเนื้อหาทั้งหมดของเกม ผมคงขออนุญาตข้ามรายละเอียดตรงส่วนนี้ไป ไม่ใช่เพราะมันซับซ้อนหรือยืดยาวเสียเกินกว่าจะทำความเข้าใจ หากแต่ในตัวของมันกลับมีการนำเสนอที่เรียกได้ว่า 'จบ ครบ สมบูรณ์' ชนิดที่ต่อให้คุณเล่นเกมนี้จบไปแล้ว คุณจะพอเข้าใจมันได้ไม่ยากว่าเกมต้องการจะนำเสนออะไรให้กับคุณ

เฉกเช่นเดียวกัน เรื่องหนึ่งที่ผมจะไม่พูดถึงเลยไม่ได้นั่นคือ 'ความรุนแรง' ของเนื้อหาในตัวเกม

Hotline Miami นำเสนอความรุนแรงในรูปแบบที่เรียกว่า 'ค่อนข้างฉาวโฉ่ (ในหลาย ๆ ความหมาย)' หากแต่ทั้งนี้มันกลับอยู่ในกราฟฟิกที่มีรูปแบบเป็นเพียง Pixel Arts ที่ช่วยลดทอนความรุนแรงลงไปในระดับหนึ่ง อย่างไรเองก็ตาม มันกลับไม่ได้ลดทอนในความกล้านำเสนอความรุนแรงในแบบที่ 'เกมสมัยปัจจุบัน (Modern Gaming)' กล้าคิดที่จะทำ

สังเกตได้จากในฉากช่วงแรกของเกม มอบหมายให้คุณต้องทำการ 'ฆ่า' คน ซึ่งมันถือเป็นกลไกเกมทั่วไปที่ใช้เวลาทำความเข้าใจได้ไม่ยาก อย่างไรเอง นั่นเป็นเพียงแค่ 'จุดเริ่มต้นของความวิปลาศ' ที่เมื่อคุณเริ่มถลำลึกลงไปในตัวเกมนั้นเป็นเวลานาน ๆ มันจะทำให้คุณรู้สึกดื่มด่ำและเป็นส่วนหนึ่งของ 'ความรุนแรง' ที่เกมมันตั้งใจถ่ายทอดออกมา (โดยที่มันยังคงอยู่ในบริบทเดิมของการเป็นวิดีโอเกมอยู่)

หากใครที่ยังจำกันได้ ผมเองเคยพูดถึงเรื่องนี้ไปแล้วประมาณช่วงสองเดือนที่ผ่านมา อย่างไรเอง ผมอาจจะมาขยายความเกี่ยวกับเรื่องของ 'ความรุนแรง' กันอีกครั้ง


ความรุนแรง ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่มีอยู่ในสัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิตแทบทั้งหมด 

ไม่ว่าคุณจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวหรือไม่ คุณไม่มีทางเลยที่จะปฏิเสธได้ว่า 'ความรุนแรง' คือของคู่กันที่ธรรมชาติมันได้แทรกซึมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในลักษณะนิสัยของเรา

โดยมากแล้วสาเหตุของความรุนแรงนั้นอาจเกิดขึ้นได้หลากหลายปัจจัย ทว่าการจะมองหาถึง 'ความเป็นเหตุเป็นผล' ของมันนั้นกลับดูช่างเป็นสิ่งที่ไม่อาจทำความเข้าใจได้แม้แต่นิดเดียว...

การแสดงออกถึงความรุนแรงหลายครั้งมันเป็นไปได้ทั้งในทางที่สร้างสรรค์ แต่ ณ ระยะเวลากลับกัน สิ่งเหล่านี้เองก็สามารถถูกมองได้ว่ามันคือ 'ความก้าวร้าว' และ 'ความแข็งกร้าว' ที่อาจก่อให้เกิดซึ่งความขัดแย้งตามมาที่มันกลับทำให้ความรุนแรงทวีคูณมากขึ้นกว่าเดิมหลากหลายเท่า

อย่างไรเอง มันกลับถูกสะกดกลั้นไว้ได้ด้วยสิ่งที่ถูกเรียกว่า 'กฎหมาย' และ 'ศีลธรรม'

ความรุนแรงของเกม Hotline Miami เป็นความรุนแรงในรูปแบบของ Gore Violence ที่นำเสนอในรูปแบบของการตายอย่างน่าสยดสยอง การกระทำที่แสนป่าเถื่อน การแสดงออกถึงความแข็งกร้าว และหมายรวมไปถึงการใช้สารเสพติดอย่างโจ่งแจ้งโดยปราศจากการถูก 'ปิดกั้น (Censored)' แน่นอนว่าด้วยการที่ผมยกคำพูดที่แสดงออกถึงความรุนแรงเหล่านี้มา หากเมื่อมาเทียบเคียงกันกับเรื่องราวในชีวิตประจำวัน แทบเรียกได้ว่ามันเป็นแค่ 'ส่วนหนึ่ง' ที่เราสามารถเห็นและเรียนรู้กันได้อย่างไม่ยากเย็น

ทว่าถึงอย่างนั้น ผมคงอาจต้องขอเตือนไว้ว่าสิ่งเหล่านี้ที่ถูกนำเสนอออกมาทุกอย่างล้วนเป็น 'เรื่องในจินตนาการ' ที่มันหมายความว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับความเป็นจริงแทบทั้งหมด

เมื่อกล่าวถึง 'ความรุนแรง' หลายครั้งผู้คนคงจะนึกถึงการกระทำอันสุดโต่งต่าง ๆ มากมาย อย่างไรเองก็ตาม นั่นกลับเป็นเพียง First Step ของการที่มันจะนำไปสู่การล่มสลายของอารยธรรมมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิต ความรุนแรงที่เกิดขึ้นโลกใบนี้มีจำนวนอยู่มากมาย และในหลายครั้งมันเองกลับ 'สมจริง' เกินไปจนน่ากลัวและหวาดผวากว่าที่จะหันมองดู

หากแต่ไม่ว่ามันจะดูเป็นสิ่งแย่มากแค่ไหน หากแต่ในเวลากลับกันมันก็ถือเป็น 'ห้วงอารมณ์หนึ่ง' ที่มันช่วยเป็นแรงผลักดัน รักษา รวมถึงมันคือกระบวนการในการ 'ปลดปล่อยความเคร่งเครียด' ที่ล้วนขึ้นตรงอยู่กับการทำงานของสมองและการยับยั้งชั่งใจ

สิ่งหนึ่งที่ผมชื่นชอบมากใน Hotline Miami หากนอกเหนือจากเรื่องของความรุนแรง สิ่งหนึ่งที่มันขาดไปไม่ได้คือ 'ซาวด์เพลงประกอบ' ที่ค่อนข้างชวนให้เกิดการ 'เสพติด (Addictive)' ได้ง่าย ด้วยจังหวะของเพลงแนวอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นจังหวะ BPM ระดับกลางค่อนไปเร็ว (ซึ่งหลังจากนี้ผมจะขอเรียกว่ามันคือ Synthwave)

Synthwave ถือเป็นแนวเพลงที่เกิดขึ้นมาในช่วงระยะเวลายุคเริ่มแรกในช่วงปียุค 80s - 90s เป็นต้นไป หากแต่ในระยะเวลาต่อมามันกลับมีความนิยมมากขึ้นเป็นพิเศษภายหลังจากช่วงยุค 2000 ขึ้นไป ซึ่งแน่นอนว่ามันคือหนึ่งในแนวเพลงและดนตรีที่มีเอกลักษณ์กว่าแนวอิเล็กทรอนิกส์ทั่วไป (ที่เกิดหลังช่วงเวลานั้น)


ความทรงจำสำหรับผมที่มีต่อเกม Hotline Miami นั้น เรียกได้ว่าแม้มันจะพร่ามัว หากแต่กลับ 'น่าจดจำ (Memorable)' และมันคือแรงปัจจัยอย่างหนึ่งที่ช่วยเปิดโลกในการฟังเพลงของผมมากในระดับที่ไม่คาดคิดว่าตัวเองจะสามารถ 'อิน' ไปกับมันได้อย่างไม่รู้สึกขัดหู

ยิ่งประกอบกับด้วยความเป็นแสง สี เสียง ท่ามกลางของเมือง ๆ หนึ่งในรัฐของประเทศสหรัฐอเมริกาด้วยแล้ว เรียกได้ว่าส่วนประกอบของทั้งสามอย่างนั้นค่อนข้างผสมเข้ากันได้อย่างลงตัวโดยแทบไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าตัวเกมนั้นจัดว่าเป็นประเภท 'เกมอินดี้ (Indies)' ชนิดที่ไม่ต้องสืบ

ผมจำได้ว่าช่วงเวลาครั้งแรกของ ณ ตอนที่ได้รู้จักกับชื่อของ 'Miami (ไมแอมี)' เริ่มต้นขึ้นจากการที่ตัวเองได้ลองเล่นเกมแนว Open-World แรก ๆ ที่มีนามว่า Grand Theft Auto : Vice City

หากแต่กรณีของมันกลับเป็นเพียงแค่ Vibe (บรรยากาศ) และ Violence (ความรุนแรง) ที่ผมได้รับมา ซึ่งแม้มันอาจจะไม่ 'สุดโต่ง' เท่ากับเกมแนวภาพ Pixel แต่ก็ชวนให้ความรู้สึกที่น่ากลัวพอใช้ได้

อย่างไรเองก็ดี เหนือเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพูดถึงตัวเกมและบรรยากาศของ Hotline Miami เรื่องหนึ่งที่ผมรู้สึกว่ามันคือ 'บทเรียน' มากที่สุด นั่นคือฉากจบของเรื่องราวในตัวเกมภาค 2 ที่มีชื่อว่า Wrong Number

***อาจมีการสปอยล์เนื้อหาเล็กน้อยหลังจากนี้เป็นต้นไป หากใครที่ต้องการเสพบรรยากาศด้วยตัวเอง แนะนำว่าให้หยุดอ่านตั้งแต่โพสด้านบน***


"ณ ตอนนั้น ภาพเก่า ๆ ทั้งหมดมันได้ย้อนเข้ามาในหัวสมองของผมอย่างรวดเร็ว ราวกับว่ามันกำลังจะบอกอะไรบางอย่างให้ผมฟัง น่าเสียดายที่ดูเหมือนว่าผมกลับไม่ใส่ใจภาพต่าง ๆ เหล่านั้น หากเพียงแต่เลือก 'ยิ้ม' ใส่มัน ไม่ใช่รอยยิ้มของความสุขหรือความเศร้า แต่เป็นความโล่งใจที่ ณ ท้ายที่สุด ทุกอย่างมันก็ได้จบลง"

การจากลาโลกนี้ไป ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดหรอก...

แม้จะไม่ใช่ฉากจบที่หลายคนต่างคาดหวัง อย่างไรเองแล้วสำหรับผม นี่ถือเป็นหนึ่งในฉากจบที่เสมือนเป็นการ 'ปิดเรื่องราว' ทั้งหมดของความรุนแรงที่ดำเนินมาเป็นระยะเวลานานได้ในแบบที่สร้างความพึงพอใจและ 'สะเทือนใจ' ณ เวลาเดียวกัน

ผลลัพท์ที่เกิดจากความรุนแรง ล้วนจบลงด้วยความรุนแรงอยู่เสมอ ๆ หากแต่มันจะเป็น 'ฉากจบที่แท้จริง' หรือไม่? ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับอนาคตที่ดำเนินไปข้างหน้าและยากยิ่งเกินกว่าจะรู้

การพยายามทำความเข้าใจถึงฉากจบของเกม Hotline Miami ไม่ต่างอะไรจากการพยายามมองหาถึงเหตุผลว่า 'ทำไมสงครามและความขัดแย้งถึงยังเกิดขึ้นตลอดเวลา' หรือแม้แต่การตั้งคำถามเกี่ยวกับ 'จุดจบของความรุนแรง' ที่ไม่มีใครอาจรู้ได้แน่ชัดเจนว่าท้ายสุดแล้วมันจะหยุดลงไปเมื่อไหร่

ณ ช่วงเวลาปี ค.ศ. 2024 ที่โลกกำลังดำเนินอยู่ในปัจจุบัน ปัญหาต่าง ๆ มากมายเกิดขึ้นแทบทั่วทุกที่ และหนึ่งในสิ่งที่มันถือเป็นเรื่องปกติไปแล้วคือ 'ความรุนแรง' ที่มันได้นำพาให้เกิดการสูญเสียชีวิตมากมายมานับครั้งไม่ถ้วน แน่นอนว่าความสูญเสียเหล่านี้ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่มันกลับได้กลายเป็น 'ส่วนหนึ่ง' ของชีวิตประจำวันมนุษย์ไป เหมือนอย่างที่ตัวตนของผมกลับพยายามตั้งข้อสงสัยถึงมันอยู่ตลอดเวลา เพื่อเตือนสติให้ตัวเองรู้อยู่ตลอดเกี่ยวกับ 'การกระทำ' ที่มันมาจาก 'ความรุนแรง' อันเป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของสิ่งมีชีวิตมาก่อน

ตลอดทุกครั้งของการที่ผมผลุบตาหลับลง หรือแม้แต่การได้อยู่ตามลำพัง การได้นึกถึง 'จุดจบหลังโลกล่มสลาย' ถือเป็นสิ่งที่ช่วยทำให้ตัวผมเองได้มี 'ความหลงใหล (Passion)' ในการได้จินตนาการถึงวิธีการ ชีวิตความเป็นอยู่ หรือไปจนถึงกระทั่งเผ่าพันธุ์ของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตยุคหลังอารยธรรมของมนุษย์ โดยมากแล้วมันล้วนแต่ดำเนินไปในรูปแบบชวน 'ซึมเศร้า (Depressed)' หากแต่กลับมี 'ความงาม (Beauty)' อันก่อให้เกิดกลายเป็นสุนทรีย์ภาพที่ผมไม่อาจละความคิดเหล่านั้นไปได้แม้แต่นิดเดียว

อย่างไรเองก็ตามแต่ นั่นกลับเป็นเพียง 'จินตนาการ' ที่แม้มันจะยังไม่เกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้ ทว่ามันเองก็ชวนให้เกิดความตระหนักถึงเป้าหมายของการมีชีวิตอยู่ที่ไม่ได้หมายถึงการมีชีวิตที่ยืนยาว แต่กลับเป็นการมองหา 'หนทางการตาย (Way to Die)' ในรูปแบบที่มันสงบสุขมากที่สุด และปลดซึ่งพันธนาการที่มันถูกเรียกว่า 'ภาระ (Burden)' ออกไปจากตัวของผมเอง

ผมคิดถึงเรื่องของความตายมานับครั้งไม่ถ้วน หากแต่ในหลายครั้งก็เป็นเรื่องยากที่ผมจะมีความกล้ามากพอในการลงมือ 'อัตวินิบาตกรรม (Suicide)' ตัวเอง แม้ว่าจะเคยอยู่ในเหตุการณ์ที่ผมเองเคย 'เกือบ' ทำแบบนั้น (ทั้งตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ) มาแล้ว

ไว้สักวันเราอาจจะมาพูดถึงเรื่องของการ 'อัตวินิบาตกรรม' และ 'สุญนิยม' ที่สองเรื่องนี้ผมอาจไม่ได้มีความเชี่ยวชาญมากนัก ทว่าคิดซะว่ามันเป็นเพียงการตั้งคำถามเพื่อมองหา 'ข้อสงสัย' ไปเสียแล้วกัน

ฉากจบของเรื่องราวใน Hotline Miami 2 : Wrong Number ถือเป็นการสร้างความตราตรึงใจมากในระดับหนึ่ง เฉกเช่นเดียวกับเรื่องราวในนวนิยายแนวโศกนาฏกรรมหลายเรื่องที่มันอาจดูเป็นเรื่องน่าเศร้า ประกอบกับสร้างความจิตตกให้กับผู้ที่ได้สัมผัสเป็นครั้งแรก หากแต่มันกลับเป็นเรื่องน่าประหลาดใจที่ 'ความจิตตก' นั้นกลับเป็นสิ่งที่ชวนให้เกิดความสงสัยมากมาย และมันก็ได้จุดประกายที่ทำให้เกิดสิ่งใหม่ ๆ หลายอย่างตามมา

เครดิตผู้สร้างที่โผล่จากล่างขึ้นบน ประกอบกับพื้นหลังสีขาวที่มีเสียงสัญญาณถูกตัดขาดคล้ายกับเสียง 'ซ่า' ของโทรทัศน์ ผสมผสานเข้ากับเพลงประกอบจังหวะเนิบช้าที่เนื้อหาของมันแสดงนัยยะของจุดสิ้นสุด ถือได้ว่าชวนให้รู้สึก 'ขนลุกซู่' ในหลายความหมาย และหากไม่นับกับการที่มันมีฉาก End Credit ส่งท้ายที่เสมือนเป็นเพียงการสร้างขึ้นจากความขบขันของทีมงานผู้สร้าง แน่นอนว่าอีกหนึ่งฉากที่ผมจะพูดถึงไม่ได้คือการเริ่มต้นเล่นเกมใหม่เป็นครั้งที่สอง

'จุดจบที่เราต่างรู้อยู่แล้วว่ามันจะลงเอยเช่นไร'

เป็นที่น่าเสียดายที่ส่วนนี้ผมอาจพูดอะไรไม่ได้มากนัก เนื่องจากมันเป็นเพียงฉากสั้น ๆ ที่สื่อความหมายเหมือนกับฉากจบของเกม หากแต่มันเป็นเพียง 'คำเตือน' ที่ไม่ได้พูดกับตัวละครในเกมเพียงอย่างเดียว แต่กลับเป็นการตอกย้ำถึง 'เรา' ในฐานะของการเป็น 'ผู้เล่น (Player)' ที่คาดหวังในการอยากเปลี่ยนแปลงเรื่องราวต่าง ๆ ไม่ให้มันซ้ำรอยจบแบบเดิม หากแต่นั่นกลับเป็นสิ่งที่ 'หลีกเลี่ยงไม่ได้ (Inevitable)' เพราะไม่ว่าคุณจะพยายามอย่างไรมากแค่ไหน ท้ายสุดเกมมันก็จะจบลงในรูปแบบเดียวกับการที่คุณเล่นมันจบเป็นครั้งแรก (โดยไม่เกี่ยงว่านั่นจะเป็นโหมดปกติหรือ Hardmode ไปก็ตามที)

------------------------------------------------

และนั่นคือเรื่องราวและการบอกเล่าประสบการณ์ทั้งหมดที่ผมมีต่อเกม Hotline Miami ทั้งสองภาคครับ :)

อาจเป็นการปรากฎตัวที่แปลกประหลาดไปเสียหน่อย อย่างไรแล้ว สาเหตุหนึ่งของการเขียนบล็อกบอกเล่าประสบการณ์นี้ขึ้นมา อันที่จริงมันก็ไม่มีเหตุผลอะไรเป็นส่วนตัว นอกเสียจากเมื่อช่วงเวลายามดึกที่ผ่านมา ถือเป็นช่วงเวลาที่งาน Xbox Game Showcase 2024 ปรากฎขึ้นภายในงานที่ได้มีการเข็นเกมต่าง ๆ ทั้งฟอร์มใหญ่และฟอร์มเล็กออกมามากมาย และแน่นอนว่าดูเหมือนว่าหนึ่งในเกมที่ถูกเข็นออกมานั้น กลับมีอยู่เกม ๆ หนึ่งที่ทางผู้เขียนสนใจมากเป็นพิเศษด้วย (ไม่บอกหรอกนะว่าเกมอะไร ;P)

ซึ่งแน่นอนว่ามันตรงกับช่วงเวลาของเดือน Pride Month หรือเดือนไพร์ดที่เกี่ยวข้องกับเหล่าชุมชนชาว LGBTQ+ ที่แม้ว่ามันจะไม่ได้ข้องเกี่ยวกับตัวของทางผู้เขียนโดยตรง แต่อย่างไรในเมื่อมันถือเป็นเดือนที่พอเหมาะสำหรับการเขียนเนื้อหาอะไรที่มัน 'เข้ากัน' ได้ถึงของเดือนแห่งผู้มีความหลากหลายทางเพศ ทางผู้เขียนจึงเลยเกิดความตั้งใจอยากที่จะเขียนเกี่ยวกับหัวข้อ 'บอกเล่าประสบการณ์' เกี่ยวกับเกม ๆ หนึ่งอีกเกมที่มันถือได้ว่าเป็น 'การแสดงออก (Representation)' ว่าด้วยมุมมองที่เกี่ยวข้องกับ 'การตื่นรู้ (Wokeness)' ภายในสังคมที่ถือได้ว่าเป็นประเด็นร้อนฉ่าในโลกโซเชียลหรือโลกแห่งความเป็นจริงมากในระดับที่มันใกล้ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตอยู่ประมาณหนึ่ง

ทั้งนี้ผมอาจจำเป็นต้องแปะ Disclaimer ไว้ก่อนว่าหัวข้อเกี่ยวกับเรื่องนี้ เป็นเพียงแค่ 'มุมมองความเห็นส่วนตัว' ที่มันเกิดจากความรู้ ความเข้าใจ ในแบบฉบับของตัวผมเองที่มีต่อสังคมกลุ่มคน LGBTQ+ ซึ่งผมจะพยายามบอกเล่าออกมาให้มันมีรูปแบบที่เน้นเข้าใจได้โดยง่าย และไม่ใช้ภาษาซับซ้อนเพื่อไม่ให้เกิดความสับสน (ทั้งตัวผู้อ่าน และผู้เขียนเองด้วย) นะครับ

สุดท้ายนี้ก็คงไม่มีอะไรจะพูด นอกจากเพียงแค่ว่าเรียกได้ว่าเดือนมิถุนายน ถือเป็นเดือนหนึ่งที่จุดไฟในการเขียนงานของตัวผู้เขียนไปอีกครั้ง และนั่นหมายความว่ามีความเป็นไปได้ว่าในส่วนของ 'งานหลัก' ที่ทางผู้เขียนยังคงหันไปจับมันอยู่เป็นระยะ ๆ คงถึงคราวน่าจะได้ฤกษ์สำหรับการอัปโหลดลงไปแล้ว อย่างไรก็ดี กำหนดการของมันอาจไม่เป็นที่แน่นอนนัก ฉะนั้นแล้วขอให้อดใจรอกันสักระยะหน่อย เพื่อที่ทางตัวผู้เขียนจะได้ทำการ Cooking มันให้ออกมาหอมกรุ่นและเต็มอิ่มกว่าที่เคยเป็นมา

หวังว่าอาจจะได้พบกันไม่นานเกินรอนี้ Stay Determinated ครับ :D



ความคิดเห็น