[บอกเล่าประสบการณ์] ถนนหนทางที่เต็มไปด้วยความหลัง ความหลงใหลในห้องเครื่องยนต์ และการจากลาที่ไร้สัญญาณเตือน (Forza, The Crew และ Need For Speed Franchise)
อาจเป็นอะไรที่ค่อนข้างกะทันหันไปเสียหน่อย หากแต่มีข่าวร้าย (และข่าวดี) เรื่องหนึ่งที่ผมอยากจะบอก
นั่นคือในวันที่ 15 ธันวาคม 2024 เกมแข่งรถที่มีชื่อว่า Forza Horizon 4 จะถูกถอนออกจากหน้าร้านค้าดิจิทัล โดยเฉพาะตั้งแต่ใน Microsoft Store และ Steam
และแน่นอน... ผมอยากให้พวกคุณได้สัมผัสถึงเกม ๆ นี้ ก่อนที่มันจะหายไป
Forza Horizon 4
[เข้าสู่เนื้อหาสำหรับการบอกเล่าประสบการณ์]
หากคุณลองสังเกตดี ๆ ไม่ว่าจะโพสต์ที่ผ่านมาหรือแม้แต่กระทั่งในหน้าตัวงานเขียนนิยายของผม (ซึ่งอาจมีการลงช่องทางติดตามในช่วงท้ายหลังโพสต์นี้จบลง) แน่นอนว่าสิ่งที่พวกคุณเห็นคงหนีไม่พ้นการที่ผมมักชอบการนำเอาภาพจากวิดีโอเกมมาเป็น 'ภาพประกอบ' สำหรับการสื่อสารข้อความต่าง ๆ ที่มันแทบไม่เกี่ยวกับเนื้อความข้างในอยู่เสมอ
ทั้งหมดมันเป็นผลพวงจากการที่ผมเกิดความ 'หลงใหล' ในเรื่องของทัศนีย์ภาพ และแน่นอนว่าอีกสิ่งหนึ่งที่มันเป็นความชอบมากที่สุดคือเรื่องของ 'รถยนต์' อันเป็นหนึ่งในนวัตกรรมล้ำสมัยที่มนุษย์คิดค้นขึ้นมาเป็นระยะเวลานานกว่าหลายปี
ผมคงสาธยายถึงเหตุผลมันไม่ได้ว่าเพราะอะไร ถึงได้รู้สึกหลงใหลในเรื่องของรถยนต์เหล่านี้ อย่างไรเองเรื่องหนึ่งที่ผมพอสามารถอธิบายเกี่ยวกับมันได้ นั่นคงอาจเป็นเพราะความเร็ว เสียงเครื่องยนต์ รวมไปถึงระบบการทำงานของมันที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ตราบไปจนถึงมันแสดงออกให้เห็นถึงความเป็นศิลปะ ท่ามกลางกลไกการทำงานที่ผ่านการคิดค้นมานับแต่ยุคที่โลกเริ่มนำเอาพลังงานที่เรียกว่า 'น้ำมัน' มาใช้ ซึ่งนั่นเองถือเป็นแหล่งพลังงานที่มันเริ่มลดน้อยลงไป ณ เวลาปัจจุบัน
อย่างไรเอง เราคงปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าเพราะสิ่ง ๆ นี้ มันจึงถึงทำให้อำนวยความสะดวกสบายของเราได้จวบจนช่วงเวลา ณ ปัจจุบัน
ย้อนกลับไปยัง ณ ช่วงสมัยที่ผมเริ่มรู้จักกับวิดีโอเกมแนวแข่งรถครั้งแรก อาจคงต้องพูดถึงเกมแนวประเภท Arcade Racing ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในหมู่ของผู้ชื่นชอบและรู้จักกับเครื่องยนต์และรถสวย ๆ เป็นไม่ได้อย่าง 'นีด ฟอร์ สปีด (Need For Speed)' ซึ่งนี่น่าจะถือเป็นหนึ่งในแฟรนไซส์เกมรถแข่งอีกหนึ่งเกมที่ยังคงมีการสร้างภาคต่อมาจนถึงปัจจุบัน
ประวัติของเกมนี้ค่อนข้างยาวนานมากกว่าอายุอานามที่ผมเกิดขึ้นมาลืมตามองดูโลกได้ หากแต่อย่างไรเอง เราจะไม่มาพูดถึงเรื่องราวของประวัติศาสตร์ 'เกมแข่งรถ (Racing Games)' ที่ผมคิดว่าสิ่งเหล่านี้คุณสามารถไปหาดูเอาได้ตามคลิปวิดีโอในยูทูปที่มีเหล่าบรรดา Creator หลายคนได้ทำการรวบรวมเอาไว้เป็นจำนวนมาก และแน่นอนว่าสำหรับโพสต์นี้ ผมแค่อยากมาเล่าถึง 'ประสบการณ์' และ 'ความผูกพัน' ระหว่างผมกับเกมแนวแข่งรถที่มันเป็นจุดเริ่มต้นและขับเคลื่อน 'แรงปรารถนา' บางอย่างในจิตใจทำให้ผมรู้สึกหลงใหลสิ่งนี้ชนิดที่ว่ามันเทียบได้กับ 'ฝันเปียก (Wet Dream)' ที่อาจเป็นสิ่งที่มีความหมายมากกว่าแค่การเป็นยานพาหนะทั่วไปที่มีไว้เพื่อเดินทางจากจุด A ไปยังจุด B
การเดินทาง (Journey)
ณ ช่วงชีวิตของทุกสรรพสิ่งล้วนแล้วแต่ต้องคุ้นเคยกันดี แม้แต่กระทั่งในชีวิตประจำวันของพวกเรา
หลายครั้งแล้วมันเปรียบได้กับคือ 'ส่วนสำคัญ' ที่ช่วยให้เราไปถึงเป้าหมายที่ต้องการ บ้างบางครั้งก็อาจเป็นการค้นพบเจอสิ่งใหม่ ประสบการณ์ใหม่ หรือแม้แต่ช่วยให้เราได้เรียนรู้และเข้าใจโลกได้มากขึ้น
อย่างไรเองก็ดี การเดินทางนั้นล้วนมีหลากหลายวิธีการ หากแต่หนึ่งในวิธีการหนึ่งที่ผมเชื่อว่าทุกคนต้องเคยประสบพบเจอมานั่นคือการเดินทางด้วยรถยนต์ หรือ 'การขับรถ (Driving)' อันเป็นหนึ่งในทักษะสำคัญในชีวิตประจำวันของคนเป็นส่วนใหญ่
สารภาพกันตามตรง ที่ผ่านมาผมค่อนข้างไม่ได้เป็นคนประเภทออกเดินทางบ่อยครั้งนัก อย่างไรเสียแล้ว ไม่ช้าก็เร็ว ผมคิดว่าอาจมีบางช่วงเวลาหนึ่งในชีวิตที่ผมมีความจำเป็นต้องควบยานพาหนะเพื่อออกไปประกอบกิจกรรมบางอย่าง (ซึ่งส่วนนี้ล้วนไม่ได้มี 'สาระสำคัญ' มากเท่ากับเรื่องราวระหว่างทางที่ได้เจอะเจอไป) แน่นอนว่าถ้าใครสักคนถามผมว่า 'คุณชอบขับรถหรือไม่' ผมเองคงสามารถตอบได้ว่า 'เฉย ๆ' เนื่องจากมันถือเป็นแค่ 'ส่วนเล็ก ๆ' ที่ไม่ได้สลักสำคัญไปมากกว่าการมองหางานทำหรือการออกไป 'เปิดหูเปิดตา'
อย่างไรเอง หากเป็นเรื่องของ ณ อีกฝั่งหนึ่งของโลกวิดีโอเกม แน่นอนว่ากิจกรรมการขับรถถือเป็นสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกเพลิดเพลินเป็นอย่างมาก บางทีอาจมากเสียกว่าการจับปืนยิงศัตรูภายในวิดีโอเกม หรือการฟาร์มเลเวลตัวละครในเกม RPG ที่ได้เห็นพัฒนาการตัวละครเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ไปซะอีก
Go Fast
Go Slow
Going to the Destination
แม้จะไม่มีความรอบรู้มากในด้านของเครื่องยนต์กลไก อย่างไรเองก็ตามที เรื่องหนึ่งที่มันทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองเริ่มหลงใหลในเรื่องการขับรถ ประเภทของรถยนต์แต่ละประเภท หรือแม้แต่การได้สัมผัสกับ 'ความเร็ว (Speed)' และ 'อะดรีนาลีน (Adrenaline)' ที่สูบฉีดผ่านการแข่งขัน มันอาจฟังดูอันตรายมากเกินไปเสียหน่อย หากแต่ในทางกลับกัน ผมถือว่ามันคือ 'ประสบการณ์ (Experience)' ที่นาน ๆ ครั้งถึงจะได้สัมผัสถึงมันในชีวิตจริง
อย่างไรเองก็ดี ประสบการณ์บนท้องถนนในชีวิตจริงกว่า 99% ล้วนแล้วแต่มีความเสี่ยงอันตรายมากกว่าในโลกวิดีโอเกมเป็นอย่างมาก และผม ไม่แนะนำ ให้พวกคุณควบยานพาหนะของตัวเองออกไปเพื่อเสี่ยงขับรถบนท้องถนนความเร็วสูง เพราะนั่นอาจนำมาซึ่งอุบัติเหตุที่มีการสูญเสียเป็นอย่างมาก และที่สำคัญอาจไม่ใช่แค่ชีวิตคุณ แต่รวมไปถึงคนรอบข้าง สังคม หมายรวมไปถึงมันก่อให้เกิดปัญหาในประเทศที่ตามมามากมาย แม้แต่การใช้ชีวิตของเหล่าผู้คนทุกเพศทุกวัย
ฉะนั้นเพื่อเป็นการดีที่สุด จงใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง ปฏิบัติตามกฎจราจร และสำคัญเสมอ 'จงมีสติ' อยู่ตลอดเวลา...
กลับมา ณ ยังเรื่องของโลกวิดีโอเกมอีกครั้ง ณ ปัจจุบันแล้ว เกมรถแข่งนั้นมีอยู่หลากหลายประเภท นับไปตั้งแต่การแข่งขันบนท้องถนน (Street Racing) การแข่งขันในสนามแข่ง (Track Racing) การแข่งขันรถวิบาก (Rally Racing) และการแข่งขันรถฟอร์มูล่า (Formula Racing) ฯลฯ
อย่างไรเอง ผมจะขอข้ามรายละเอียดการแข่งบางส่วนออกไป และพูดถึงเรื่องของประเภทการแข่งขันภายในเกมที่เราเองน่าจะคุ้นเคยกับมันอยู่บ่อย ๆ อย่างเรื่องของ 'การแข่งขันบนท้องถนน (Street Racing)' อันเป็นหนึ่งในหัวใจหลักของเกมแข่งรถที่มีมาตั้งแต่ช่วงอดีตจนถึงปัจจุบัน
ชีวิตที่ก้าวเดินไปข้างหน้าแต่ละก้าวเดินของชีวิต ผมคุ้นเคยกับเกมอยู่มากมายหลายประเภท หากแต่หนึ่งในประเภทหนึ่งที่ผมมีความชื่นชอบมากที่สุด เห็นทีคงเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก 'เกมแข่งรถ' ที่ผมมักจะหยิบมันมาเล่นในช่วงเวลาที่ผมโหยหาความรู้สึกของการได้สัมผัสกับบรรยากาศของการได้เป็น 'ความเร็ว' ที่มันเองหาได้ยากในชีวิตจริง
แต่ละเกมแข่งรถที่ผมเล่นโดยมาก มักจะมีจุดร่วมกันอยู่หนึ่งหรือสองอย่าง นั่นคือโดยมากคือการนำเอารถที่ผมมักไม่ค่อยได้เห็นตามท้องถนนปกติในชีวิตประจำวัน ศิลปะของการแต่งรถ และที่ขาดไม่ได้คือ 'การแข่งขัน' ที่มันไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นได้บ่อยนัก
สามสิ่งเหล่านี้ ล้วนเป็นส่วนประกอบหลักของเกมแข่งรถประเภท Arcade Racing ที่ผมคิดว่ามันเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ผมเกิดความหลงใหลในรถยนต์ได้อย่างไม่ยากเย็น ทั้งนี้อาจขึ้นอยู่กับการนำเสนอและการเสริมใส่รายละเอียดเข้าไปในตัวเกมที่มันอยู่ที่ 'ฝีมือ' ของสตูดิโอแต่ละเจ้า และการทุ่มเทงบประมาณเป็นจำนวนมากในการพัฒนามันออกมาเพื่อตอบสนองให้กับผู้เล่นได้ดีที่สุดเท่าที่พวกเขาสามารถทำได้
อย่างไรก็ดี หากให้พูดถึงข้อเสียสำคัญของเกมแนวแข่งรถ เห็นทีมันคงจะหนีไม่พ้นความที่มันเป็นเกมที่ถูกออกแบบมาให้มี 'ตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market)' มากกว่าแนวอื่น ๆ ที่ส่วนมากมันสามารถดึงดูดฐานผู้เล่นเป็นจำนวนมากได้หลายเท่า
ทว่าหากมองข้ามในส่วนของยอดขายไป ผมเองก็เข้าใจได้ถึงเหตุผลว่าทำไมเกมแข่งรถส่วนใหญ่จึงมักถูกมองว่ามัน 'เฉพาะกลุ่ม' หากเทียบกับเกมอีกประเภทหนึ่งคือแนว 'มุมมองบุคคลที่หนึ่ง (First Person Shooter)' ที่ตัวมันเองอาจเรียกได้ไม่เต็มปากว่าเฉพาะกลุ่มจ๋า ๆ ไปทีเดียว หากแต่มันถือเป็นเกมประเภทที่มีคนเล่นเยอะอยู่เป็นจำนวนมากในท้องตลาดวิดีโอเกมเช่นเดียวกัน
ธุรกิจเกี่ยวกับวิดีโอเกมถือว่าสร้างเม็ดเงินได้เยอะมากกว่าธุรกิจหลากหลายประเภท อย่างไรเองด้วยผลกำไรที่เข้ามามาก ก็ล้วนมีโอกาสที่มันเองอาจมี 'ความเสี่ยง' ที่การลงทุนของมันเองหากขาดซึ่งการวางแผนที่ดี ก็มีโอกาสล้มเหลวจนถึงขั้นล้มละลายได้ ไม่ต่างอะไรจากธุรกิจอีกหลายประเภททั้งขนาดเล็กและใหญ่
ทว่าเหนือสิ่งอื่นใด เรื่องเหล่านี้ผมมองว่ามันล้วนเป็นเพียง 'สิ่งเล็กน้อย' หากมองไปยังอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้แนวเกมแข่งขันรถยนต์มันค่อนข้างมีกลุ่มคอมมูนิตี้เล็กกว่ากลุ่มประเภทเกมยิง เกมโมบ้า หรือแม้แต่กับหนึ่งในคอมมูเกมประเภท ๆ หนึ่งที่คุ้นหูกันในหมู่ของสายคนเล่นเกมทุกประเภทอย่าง 'เกมกาชา (Gacha Games)' ที่ตัวมันเองมีจุดเด่นในการ 'สุ่มดวง' อันเป็นจุดขายของตลาดวิดีโอเกมในยุคปัจจุบัน
Live Fast Drive Faster Win Fastest
หากว่ากันด้วยจริตส่วนตัวของผมกับเกมแนวแข่งรถ นอกเหนือจากความรู้สึกของการได้ขับแซงนำหน้าคู่แข่งเพื่อเข้าชิงความเป็นหนึ่งเดียวของสนามแข่งแล้ว เรื่องหนึ่งที่มันเองเริ่มจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการได้เล่นเกมแนวแข่งรถได้ไม่นาน นั่นคือการได้สัมผัสกับกราฟฟิกที่สวยงามและสมจริง รวมไปถึงบรรยากาศภายในเกมแข่งรถแต่ละเกม ซึ่งแน่นอนว่ามันได้มอบประสบการณ์ที่แตกต่างกันไปตามแต่ละเกมที่ผมได้เล่นมา
หนึ่งในประสบการณ์ที่ยังคงติดอยู่ในหัวผมมากที่สุด คงหนีไม่พ้นเกม The Crew และ The Crew 2 ที่ผมมักจะหยิบเอาสองภาพนี้มาเพื่อประกอบบทความของผมอยู่บ่อยครั้ง
ผมรู้จักกับพวกมันเมื่อครั้งหลังจากที่ตัวเองได้คลุกคลีอยู่กับซีรี่ส์คู่บุญอย่าง Need For Speed ที่ตัวมันเองช่วงระยะหลังเริ่ม 'หมดความขลัง' ลงไปมากกว่าเดิม ซึ่งอาจเพราะเนื่องจากตัวมันมีปัญหาในหลาย ๆ ด้านไปก็ดี หรือไม่เพียงเพราะมันยืนอยู่ในวงการเกมแนว Arcade Racing เป็นระยะเวลาที่นานเกินไป จนเป็นเหตุทำให้ซีรี่ส์เกมแนวรถแข่งอื่น ๆ มักไม่ค่อยได้มีโอกาสเฉิดฉายมากเท่า นั่นเลยจึงเป็นสาเหตุสำคัญที่มันทำให้ผมได้ 'พลาด' เกมแข่งรถในแบบเดียวกันอีกหลาย ๆ เกมที่มันสร้างขึ้นมาดีกว่าเกมเดิมที่ตัวผมเองคุ้นชินมันตั้งแต่เด็ก วัยรุ่น จนมาถึงผู้ใหญ่ ณ ช่วงเวลาปัจจุบัน
The Crew เป็นเกมแข่งรถที่มีธีมการนำเสนอที่ไม่ได้มีความแตกต่างไปจากตัวของ Need For Speed มากเท่าไหร่นัก โดยหลักของมันส่วนมากล้วนหนีไม่พ้นการที่เนื้อหาส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการแข่งขันบนทางถนน หากแต่จุดขายหลักของมันคือการนำเอาแผนที่ 'อเมริกาเหนือ (North America)' ทั้งทวีปมาเป็นฉากการแข่งขัน ต่างกันจากตัวของ Need For Speed ที่ส่วนใหญ่มักสร้างแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้นมาจากการหยิบเอาองค์ประกอบต่าง ๆ จากถนนในชีวิตจริงหรือออกแบบใหม่ขึ้นด้วยเหตุผลบางอย่างที่อาจเกี่ยวข้องกับการสนับสนุนการแข่งขันรถยนต์แบบผิดกฎหมาย (ที่ผมอาจหาข้อมูลส่วนนี้ได้ไม่มากพอนัก)
อย่างไรเองแล้ว ช่วงเวลาของการที่มันมีเกมแนว Arcade Racing ออกมาเพื่อชนกับ Need For Speed นั้น ถือได้ว่าเป็นอีกช่วงเวลาหนึ่งเลยทีเดียวที่มันก่อให้เกิดการแข่งขันกันในหมู่ของผู้เล่นเกมแนว Arcade Racing ด้วยกัน
รายละเอียดของการนำเกมสองเกมมาเปรียบเทียบกัน แน่นอนว่านั่นคือสิ่งที่หนีไม่พ้น ผมอาจจำรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ไม่ชัดเจนนัก หากแต่มันเคยมีการที่มีคนนำเอา Need For Speed (ที่ต่อจากนี้จะขอเรียกด้วยตัวอักษรย่อว่า NFS เพื่อให้เข้าใจตรงกัน) กับ The Crew (ที่จะขอเรียกด้วยตัวอักษรย่อแทนว่า TC) เนื่องด้วยเพราะความคล้ายคลึงกันในการนำเสนอ
หลายสิ่งหลายอย่างของทั้งสองเกมนี้ หากเมื่อมองดูผิวเผิน มันอาจมีส่วนที่เหมือนกันก็จริง ทว่าสิ่งหนึ่งที่ทำให้ TC มีความได้เปรียบมากกว่า NFS คือการที่มันไม่ได้จำกัดตัวเองแค่การแข่งขันบนท้องถนน หรือแม้แต่การหาชิ้นส่วนตกแต่งรถยนต์เพื่อเสริมประสิทธิภาพของตัวรถให้ดีมากขึ้น
แต่มันคือการเพิ่มกิจกรรมเสริมต่าง ๆ เข้าไปเป็นจำนวนมากมาย มากกว่าเพียงแค่การขับกวดหนีตำรวจ หรือแม้แต่การแข่งขันทางตรง การแข่งขันแบบเซอร์กิต สปิริน (Sprint) หรือโหมดการแข่งขันแบบจับเวลา (Time Attack)
ระบบตัวเกมของ TC ค่อนข้างมีความหลากหลายกว่ามากสำหรับตัวเกม NFS ที่ในช่วงปี 2014 มันมีเกมแข่งรถอีกหลายเกมมากที่มันแทบจะ 'กลบรัศมี' ความเป็น NFS ได้ชนิดที่แทบจะไม่เห็นฝุ่น ไล่ไปตั้งแต่ Asphalt หรือว่า Real Racing 3 ที่ ณ ช่วงเวลาหลังจากนั้นหนึ่งปีทางบริษัท EA ถึงได้เข็นเกม NFS: No Limits ที่ตัวมันเองเป็นเกมมือถือที่พัฒนาขึ้นโดยทีมงานเดียวกับที่พัฒนาเกม Real Racing 3 (ที่ตัวมันเองไม่ถือว่าเป็นแนวการแข่งขันบนท้องถนน แต่กลับเป็นในสนามแข่งแทน ซึ่งเราไม่ขอพูดถึงเรื่องนี้)
แน่นอนว่าผมเองค่อนข้างที่จะชื่นชอบเกมแข่งรถที่นอกเหนือจากการแข่งขันบนท้องถนนอยู่เป็นส่วนหนึ่ง หากไม่นับในเรื่องที่ว่าช่วงเวลาดังกล่าวเอง ถือเป็นช่วง 'หัวเลี้ยวหัวต่อ' ในชีวิตของตัวเองที่ยังกำลังศึกษาอยู่ด้วย เกมแข่งรถในโทรศัพท์มือถือ มันค่อนข้างเป็นอะไรที่เปิดประสบการณ์ผมอยู่พอตัว
อย่างไรเอง เนื่องด้วยโมเดลธุรกิจของเกมมือถือส่วนมากล้วนจะ ไม่ใช่ ตัวของเกมแบบเสียเงินซื้อในเครื่องพีซีและในคอนโซล ด้วยเหตุนั้นแล้วผมจึงเลยเลือกที่จะ 'ปล่อยผ่าน' พวกมันไปด้วยเหตุผลที่มันถูกสร้างมาเพียงเพื่อเน้นทำเอากำไรมากกว่าเปิดประสบการณ์ให้กับคนที่ผ่านการเล่นเกมแนว Arcade Racing มาเป็นระยะเวลานาน ซึ่งมันไม่ได้ตอบโจทย์ความต้องการที่มากพอสำหรับผม
และด้วยเหตุนี้ TC1 จึงถือเป็นอะไรที่ทำให้มัน 'เปิดโลก' ในการเล่นเกมรถแข่งเอามาก ๆ แม้ว่าจะเพิ่งได้มีโอกาสได้จับมันจริง ๆ ในช่วงเวลาปี 2019 ณ เวลาที่มันเคยแจกฟรีใน Uplay (หรือ Ubisoft Connect ในปัจจุบัน)
อย่างไรเองแล้ว จุดดีของเกม The Crew 1 นั้นอาจมีเยอะไปก็จริง หากแต่จุดด้อยเองก็ใช่ว่าจะไม่มีเลย
หนึ่งในนั้นสำหรับผมคงหนีไม่พ้นการที่ 'เพลงประกอบ (Soundtrack)' มันไม่ค่อยน่าจดจำและลืมเลือนไปได้ง่าย ๆ ต่างกันชัดเจนจากตัวของ NFS ที่ช่วงเวลาหนึ่งของเกมมันมักจะมีเพลงประกอบที่มีเอกลักษณ์มาตั้งแต่ภาคก่อนหน้านั้นอีกหลาย ๆ ภาค ซึ่งไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลอะไร เกมที่เราชอบเล่นในวัยเด็กมักจะมี 'อัตลักษณ์' บางอย่างที่มันชวนให้เราหวนคิดถึงมันทุกครั้งเรื่อยไป แม้ว่าต่อให้เราจะเติบโตและผ่านประสบการณ์ในการเล่นเกมมากขนาดไหน หากแต่สิ่งหนึ่งที่มันมักโผล่เข้ามาในหัวเราบ่อย ๆ ล้วนหนีไม่พ้นด้วยการที่มันมักมี 'ช่วงเวลาน่าจดจำ (Memorable Moments)' ที่ตัวมันเองเสมือนว่าเข้ามาทักทายเราในความฝันอยู่ตลอด
และเจ้าเพลงประกอบนี่เอง มันทำให้ผมรู้สึกว่ามันกลายเป็น 'จุดขาย' สำหรับ Need For Speed ที่ผมคิดว่า ณ ปัจจุบันยังไม่มีเกมแข่งรถเกมไหนสามารถเทียบเคียงได้
นอกเหนือจากเรื่องราวระหว่าง NFS กับ TC1 ที่มีความแตกต่างกันในด้านรายละเอียดส่วนประกอบย่อย ภายในช่วงชีวิตหนึ่งของเกมแข่งรถอีกหนึ่งเกมที่ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นชื่อที่ทุกคนคุ้นเคย ณ ตั้งแต่สมัยเกมตู้ จวบจนมายังถึงปัจจุบันที่มันชวนน่าหวนถึงอีกคือ Burnout Series ที่มันเองถือเป็นอีกหนึ่งเกมคุณภาพจาก Electronic Arts ที่เรียกได้ว่าแม้ตัวมันจะไม่ได้เด่นดังเท่า หากแต่ในด้านของการนำเสนอฟิสิกส์การทำลายล้างก็เรียกได้ว่ามันเองก็ 'น่าจดจำ' ไปไม่น้อย...
ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ และอาจต้องแปะ Disclaimer สักเล็กน้อยว่าการบอกเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับเกมแข่งรถของผม ค่อนข้างมี 'ความยาว' มากกว่าหลาย ๆ เกมที่ผ่านมา
'ถนนหนทางแห่งความหลัง' มักดูเป็นอะไรชวนน่าสวยงามและย้อนกลับไปคิดถึง แม้ว่ามันจะผ่านพ้นมานานจนแทบหลงลืมมันไปแล้ว หากแต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรไปก็ตาม ภาพจำของกลิ่นไหม้บนทางลาดยาง สิ่งกีดขวางที่ถูกทำลายทิ้งไปอย่างไร้เยื่อใย การไล่ล่าอันแสนดุเดือดเลือดพล่านที่ไม่ว่าจะเกิดขึ้นกี่ครั้ง ความตื่นเต้นเหล่านี้มันล้วน 'พิเศษ (Unique)' สำหรับเด็กคนหนึ่งที่ไม่เคยแม้แต่จะได้อยู่หลังพวงมาลัยในโลกของความเป็นจริง
ทว่าเรื่องราวความน่าหลงใหลของเกมรถแข่งมันกลับได้ถูกหยุดชะงักลง เมื่อผมได้หันเหไปสนใจเข้ากับเกมอีกแนวหนึ่งที่มันมาแทรกกลางตัวผมกับมัน ซึ่งนั่นคือเกม FPS ที่มันกลับเป็น Top Priority หลักที่มันน่า 'ดึงดูด' กว่าเกมแนวแข่งรถมากกว่าหลายขุม
หากใครที่ยังได้ตามอ่านบล็อกของผมในโพสต์ที่ผ่าน ๆ มา คุณเองคงเข้าใจว่าส่วนใหญ่แล้วผมมักจะกล่าวถึงหรือพูดถึงเรื่องของ 'ความรุนแรง (Violence)' อยู่บ่อยครั้ง ซึ่งแน่นอนว่าผมเองคงไม่ปฏิเสธว่ามันคือหนึ่งสิ่งที่ผมเคย 'เสพติด (Addicted)' มันในระดับเข้าเส้นเลือด จน ณ บางครั้งผมรู้สึกว่าการอยู่กับมันกลายเป็น 'ส่วนสำคัญในชีวิต' ที่หากขาดซึ่งการควบคุมหรือความยั้งคิด มันจะนำพามาซึ่งความสูญเสียที่อาจยากยิ่งจะลืมเลือน ซึ่งสำหรับในส่วนของโลกวิดีโอเกมแล้ว ผู้คนมักล้วนติดกับภาพจำในด้านของ 'ความรุนแรง' มากกว่าเป็นตัวของ 'เพศ (Sex)' ที่สองสิ่งนี้มันดันเกี่ยวพันกันชนิดที่ยากจะแยกออกจากกันได้ยากในช่วงเวลาที่วงการวิดีโอเกมกำลังกลายเป็นที่คุกรุ่นกันในสังคมของเหล่าผู้หลักผู้ใหญ่ (หรือแม้แต่กับในบางประเทศ ที่กว่าจะเปิดกว้างเรื่องนี้ก็ช้าเกินไปเป็นหลักสิบปีได้)
'ความรุนแรงในโลกวิดีโอเกม' กลายเป็นหนึ่งในหัวข้อการพูดคุยที่มีการกล่าวถึงอย่างมาก ณ ช่วงเวลาที่สื่อบันเทิงหลากหลายชนิดมันได้ผุดขึ้นมา ตลอดทุกครั้งของช่วงเวลาในวัยเด็กที่ผมยังคงวุ่นอยู่กับการเล่นเกม ข่าวเรื่องว่าด้วยประเด็นของการนำเอา 'อาชญากรรม' กับ 'วิดีโอเกม' ค่อนข้างเกิดขึ้นได้บ่อยและในทุกครั้งมันดันตกกลายเป็น 'จำเลยสังคม' จนมันทำให้ภาพลักษณ์ของคนที่ชื่นชอบในการเล่นเกมถูกมองว่าเป็นพวก 'ติดเกม (Game Addict)' อยู่ทุกครั้งเรื่อยไป
ครอบครัวหลายครอบครัว เลือกที่จะกีดกั้นไม่ให้ลูกเข้าถึงสิ่งเหล่านี้ พวกเขาพยายามอ้างว่ามันเป็นส่วนที่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและตัวของลูกเขาจนขาดซึ่งการเข้าสังคม ขาดการออกกำลังกาย ขาดความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว นั่นเพราะว่าลูกของพวกเขากลับเลือกจะหันเหเข้าสู่โลกของวิดีโอเกม มากเสียกว่าที่จะเลือกใช้เวลาอยู่กับคนที่พวกเขาได้ให้กำเนิดขึ้นมา (ซึ่งแน่นอน...ผมเข้าใจดี ณ ปัญหาเรื่องนั้น)
ทว่าสิ่งหนึ่งที่ผมเองอยากจะขอแก้ต่างเสียหน่อย สำหรับเหล่าพ่อและแม่ หรือแม้แต่ผู้ใหญ่คนไหนก็ตามที่ยังคิดว่า 'วิดีโอเกม' คือส่วนหนึ่งที่มันได้ทำลายลูกหลานที่พวกเขารัก ผมเองก็อยากจะบอกพวกเขาด้วยประโยค ๆ หนึ่งที่ผมขอหยิบยืมจากใครคนหนึ่งในโลกอินเตอร์เน็ตที่ผมได้รู้จักกับเขา ชายผู้ที่มีอิทธิพลทางความคิดของผมมากที่สุด
เกมกับสังคมไม่ได้ขัดแย้งกัน
เพียงแต่สังคมยังเยาว์วัยเกินกว่าจะเข้าใจ
- ขอรบกวนทั้งชุดนอน
ความรุนแรงในโลกของวิดีโอเกม เป็นเพียงสิ่งสมมุติที่สร้างขึ้นเพื่อมอบประสบการณ์ที่ในชีวิตจริงเราไม่สามารถหามันได้ และต่อให้ประสบการณ์นั้นมันจะสมจริงมากแค่ไหน แต่สิ่งหนึ่งที่แตกต่างไปจากโลกความเป็นจริงอย่างชัดเจน นั่นคือมันไม่ได้ส่งผลกระทบใด ๆ ต่อ ณ ช่วงเวลาปัจจุบันที่เรากำลังอาศัยอยู่
ผมยังคงหวนถึงช่วงเวลาของการได้นึกจินตนาการว่า 'จะเป็นอย่างไร ถ้าหากวิดีโอเกมในอนาคตอีก 1 ปี 2 ปี หรืออีกสัก 10 ปีหลังจากนี้ มันจะดันกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเราไป?'
หากสมมติว่าช่วงเวลาที่เรากำลังดำเนินอยู่ ณ ปัจจุบัน ทุกอย่างมันคือ 'วิดีโอเกม' ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยฝีมือของสิ่งมีชีวิตระดับทรงภูมิปัญญาเหนือล้ำเกินกว่าที่มนุษย์เราจะนึกถึงได้ ไม่แน่ว่าบางทีแล้วโลกที่เรากำลังดำเนินอยู่นี้ อาจเป็นเพียง 'กลไกเกม (Game Mechanics)' ที่สร้างขึ้นด้วย 'กฎเกณฑ์ทางธรรมชาติ (Rule Of Nature)' ที่มนุษย์เราต่างพยายามหาทางเพื่อเอาชนะมันก็เป็นได้... จริงไหม? ¯\_(ツ)_/¯
*Back to the Topic*
กลับเข้าสู่การบอกเล่าประสบการณ์ของผมกับเกมแข่งรถอีกครั้ง...
The Crew 1 อาจเป็นการเปิดประสบการณ์ของการได้เล่น Arcade Racing แบบใหม่ที่ทำให้ผมเอนเอียงไปอยู่ในฝั่งของมันได้อย่างไม่ลังเล อย่างไรเองเรื่องน่าเศร้ามันได้เกิด เมื่อช่วงเวลาที่ผ่านมา ตัวเกมมันได้ถูกปิดตัวลง หลงเหลือไว้เป็นเพียง 'ความทรงจำ' ที่น่าหวนถึง
มันคือการปิดตัวลงไปชนิดที่ไม่มีแม้แต่คำร่ำลา คอมมูนิตี้ของต่างประเทศมากมายต่างล้วน 'สาปแช่ง' ในความเห็นแก่ได้ของบริษัทแม่อย่าง 'ยูบิซอฟท์ (Ubisoft)' ที่มันได้ตกเป็นประเด็นร้อนในการด่าทอ ถกเถียง ชนิดที่ว่าต่อให้ไม่หยิบยกกรณีเรื่องของ The Crew 1 มา แต่ก็หนีไม่พ้นการที่ตัวบริษัทมันเองมักจะชอบในการ 'ทำในสิ่งที่แฟนเกมไม่ได้ร้องขอ' อยู่บ่อยครั้ง จนช่วงหนึ่งเองเกิดประเด็นวิพากษ์วิจารณ์อย่างเผ็ดร้อนในหน้าโซเชียลมากว่าด้วยการใส่ระบบ 'RPG Element' เข้าไปในเกมและอ้างว่ามันเป็น 'ประสบการณ์ใหม่' ที่ทำกันมากว่าหลายต่อหลายเกม
ถึงอย่างไรแล้ว จะโทษว่าเป็นเพราะความเห็นแก่ได้อย่างเดียวคงไม่ได้นัก เพราะหากมองไปถึงอีกมุมหนึ่งเอง ทางบริษัทก็ต้องเจอกับอุปสรรคทางการเงิน (Financial Problem) อยู่เหมือนกัน กลายเป็นว่าการมองถึงมุมเพียงด้านเสีย ๆ อย่างเดียว ผมมองว่านั่น 'ไม่ใช่' สิ่งที่ถูกต้องไปทั้งหมด
การเติบโตของบริษัทเกมยักษ์ใหญ่กว่าหลายเจ้า ล้วนต้องมีช่วงที่ตัวเองมี 'ขาขึ้น' และ 'ขาลง' อยู่เป็นเรื่องธรรมดาตามวัฐจักรการขยายตัวของเศรษฐกิจที่มันได้มีขนาดใหญ่มากขึ้น แต่เดิมที่เกม ๆ หนึ่งถูกสร้างด้วยเหตุผลเรื่องของ 'ความสนุก' เพียงอย่างเดียว แปรเปลี่ยนกลายมาเป็นการทำเพื่อประคองให้บริษัทสามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ โดยอาศัยการนำเอาเหล่าผู้พัฒนามากหน้าหลายราย หรือสร้างมันขึ้นกลายเป็นบริษัทย่อย ๆ เป็นจำนวนมาก ด้วยจุดประสงค์ที่ต้องการกระจายอำนาจในการผลิตหรือสร้างสรรค์วิดีโอเกม ๆ หนึ่งออกมาเพื่อตอบสนองผู้เล่นหลากหลายแบบ สร้างเม็ดเงินเข้าบริษัท และนำเม็ดเงินเหล่านั้นไปเป็นสิ่งที่เอาไว้สำหรับการจุนเจือเหล่าครอบครัวผู้สร้างวิดีโอเกมมาให้กับเรา โดยเฉพาะกับ 'เหล่าผู้พัฒนา (Developers)' ที่หลายครั้งก็ถูกกระทำชำเราจากบรรดาแฟนเกมเป็นจำนวนมาก ถึงการตัดสินใจที่เรียกได้ว่าแทบจะทำลายภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือมากโขไปเลยทีเดียว (ซึ่งบางกรณีมันเป็นอะไรที่น่าเสียดายมากสำหรับผม)
หากแต่ทุกความผิดพลาดล้วนต้องได้รับการแก้ไข ทุกการเปลี่ยนแปลงล้วนมีการต้องยอมแลก 'บางสิ่ง' เพื่อที่จะนำเอา 'บางสิ่ง' ที่มันเองอาจไม่ได้ตอบสนองต่อกลุ่มผู้บริโภคหน้าเก่า หากแต่กลับเลือกที่จะหันไปดึงดูดคนกลุ่มใหม่ ๆ ที่พวกเขาเหล่านั้นอาจไม่ได้สนใจในเรื่องของ 'วิดีโอเกม' มาตั้งแต่แรก
อย่างไรก็ดี ผมเชื่อว่าพวกคุณคงทราบกันดีว่าผลลัพท์ที่ออกมามันเป็นยังไง จริงไหม?
The Crew 2 ถือเป็นอีกหนึ่งภาคต่อจาก The Crew 1 ที่ตัวมัน 'แตกต่างอย่างสิ้นเชิง' ไปจากตัวภาคแรกที่มันเองแทบไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเลยกับจำนวนตัวเลขหน้าชื่อของมัน
หลายคนอาจไม่ได้โปรดปรานหรือชื่นชอบในความหลากหลายของยานพาหนะในเกมนี้นัก ทว่าสำหรับผมแล้วกลับมองว่าการที่ทางสตูดิโอเลือกที่จะเบนเข็มไปใน 'เส้นทางที่แตกต่าง' ถือได้ว่าเป็นการตัดสินใจที่ค่อนข้างเสี่ยงอันตรายต่อตัวบริษัทหรือทิศทางความก้าวหน้าของทางสตูดิโอไปไม่ใช่น้อย ๆ
อย่างไรเองก็ตาม ผลลัพท์ของความเสี่ยงที่จะเลือกทำในสิ่งที่แตกต่างไปจากเดิมก็นำพามาซึ่งการที่ทำให้ตัวเกมของ The Crew 2 ในปัจจุบันก็ดำเนินมาเป็นเวลากว่า 7 ปี จนทำให้ปัจจุบันมันได้ถูกเข็นภาคใหม่ออกมาในชื่อว่า The Crew Motorfest
ผมอาจยังบอกเล่าไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องนี้ เนื่องด้วยสาเหตุที่ยังไม่ได้มีโอกาสได้ลองสัมผัสมัน ฉะนั้นจะขอข้ามรายละเอียดในการพูดถึงเกี่ยวกับเกมภาคนี้ ๆ ไป
การดำเนินไปของเกมแข่งรถแนว Arcade Racing ณ เวลาตอนนี้ยังถือว่าอยู่ในขั้นที่เรียกได้ว่า 'ยาวนาน' กว่าที่ฐานกลุ่มชุมชนเกมจะขยายใหญ่ไปสู่จุดที่เรียกได้ว่าเป็นจุดที่ตัวมันเข้ามายืนเคียงข้างกับแนวเกมอีกหลายเกมที่ผมได้พูดถึงไปข้างต้น อย่างไรก็ดี หากใครเองได้สังเกตว่าเทรนด์แนวเกมแข่งรถระยะหลังส่วนใหญ่ ตัวมันเองกลับมี 'บางสิ่งบางอย่าง' ที่มีจุดร่วมกันคือการนำเสนอตัวเกมในรูปแบบที่เน้นการแข่งขันในแบบที่ไม่ใช่ 'การแข่งขันใต้ดิน (Underground Racing)' หากแต่กลับกลายเป็น 'การแข่งขันโลกเปิด (Open-World Racing)' ไปแทน คุณจะสังเกตได้ว่าแนวเกมเหล่านี้มันเริ่มกลายเป็นอีกหนึ่งแนวที่มันได้เปิดทางให้ผู้เล่นใหม่ได้สัมผัสถึงตัวเกมของมัน ต่างกันราวฟ้ากับเหวชัดเจนกับตัวของอย่าง Need For Speed ที่แม้ว่าภาคล่าสุดอย่าง Unbound ที่มันอาจมีอัปเดตใหม่เข้ามาและพยายามคงไว้ซึ่งคอนเซปต์เดิม ๆ อย่างธีมการแข่งขันใต้ดินไป หากแต่เป็นที่น่าเสียใจที่ผมอาจคงต้องสารภาพมา ณ ที่นี้ด้วยว่า 'จากลากัน ณ ตรงนี้'
ความพยายามในการยืนหนึ่งในวงการเกมแข่งรถ Arcade Racing ของ Need For Speed ที่จริงมันควรจบลงไปตั้งแต่ช่วงตอนที่ภาค Heat เปิดตัวหลังจากภาค Payback หากแต่มันกลับถูกจุดขึ้นมา ณ ช่วงเวลา ๆ หนึ่งคือปี 2016 ที่ทาง EA ได้เริ่มนำเอาความเป็นธีมการแข่งขันบนท้องถนนออกมาให้เราได้หายคิดถึง ภายหลังจากช่วงเวลาที่ผ่านมาพวกเขาได้เลือกนำเอาความเป็น 'การแข่งขันบนท้องถนน' ออกไป โดยเปลี่ยนมาเป็นการกำหนดเส้นทางแบบตายตัวที่บังคับให้ผู้เล่นวิ่งไปให้ถึงเป้าหมาย และสอดแทรกฟิสิกส์การทำลายล้างและการชนอย่างรุนแรง (ที่มันมาจากทีมผู้สร้างเกม Burnout ใช่ เกมในเครือเดียวกันในบริษัทแม่ของ EA นั่นแหละ)
เนื่องด้วยเพราะการที่ช่วงเวลา ๆ หนึ่ง Need For Speed มันได้เบนเข็มออกไปจากความเป็นแนวแข่งขันรถในโลกเปิดไป ทำให้เกมแนวเดียวกันที่มันเคยได้ 'จุดประกาย' ขึ้นมาได้มามีพื้นที่ยืนแทนที่ตัวมันเอง ซึ่งอย่างไรเองก็ดี ผมคิดว่าการทำแบบนี้ถือเป็นผลดีต่อทางตัวบริษัทเองเหมือนกัน เพราะนั่นหมายถึงมันทำให้ผมไม่จำเป็นต้องยึดติดกับ 'ภาพลักษณ์เก่า ๆ' ที่มันเคยเป็น เสมือนเปลี่ยนเมนูอาหารจาก 'ผัดกะเพราไก่' เป็น 'ผัดเครื่องแกงไก่' หรือว่า 'ผัดพริกไก่' ซึ่งแม้ตัววัตถุดิบจะแตกต่างกันไปบ้าง หากแต่สิ่งที่มีเหมือนกันคือระดับความเผ็ดร้อนและเนื้อความเป็น 'ไก่' ที่มันเป็นเมนูที่ทานง่ายและมีโภชนาการสูง
ทว่าก็เป็นอีกครั้ง (อีกแล้ว) ที่ประสบการณ์ในการเล่นเกมแนว Arcade Racing ของผมกลับต้องสั่นสะเทือนไปอีกครั้ง นั่นคือว่าด้วยเกม ๆ หนึ่งที่ผมแทบไม่เคยได้ยินชื่อ ไม่เคยรู้จัก และแทบจะไม่เคยได้แตะมันเลยแม้แต่ครั้งเดียว
เป็นหนึ่งในเกมแข่งรถแนวโลกเปิด ที่ตัวมันกลับไม่ได้รับการพูดถึงมากนักในตลาดของเกมแนวเดียวกัน หากแต่กลับมีเสน่ห์ที่น่าหลงใหลอย่างเหลือเชื่อ เปรียบเหมือนมันทำให้มุมมองเดิมที่ผมเคยมีมันได้เปลี่ยนแปลงตัวผมไป แม้เพียงจะเป็นช่วงเวลา ๆ หนึ่งก่อนที่มันเองจะหายไปจากหน้าอินเตอร์เน็ตในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
เกมที่ทำให้ผมสลัดภาพจำเดิม ๆ ของ Arcade Racing ที่ผมรู้จักทิ้งไปเสียหมด
เกมที่ทำให้ผมรู้สึกเกลียดมันในช่วงเวลายามแรกพบ และหลงรักมันเมื่อยามได้แตะต้องมันอีกครั้ง
เกมที่ทำให้ผมรู้สึกถึง 'การมีชีวิตชีวา' และ 'ความหวัง' ในการได้เห็นเกมแนว Arcade Racing กลับมามีบทบาทอีกครั้งหนึ่ง
ซึ่งเกม ๆ นั้นก็คือ Forza Horizon 4
สารภาพหนึ่งอย่างเกี่ยวกับเกมนี้ อย่างแรกคือการที่ผม 'ประเมินต่ำเกินไป (Underrated)'
และอย่างที่สองที่ผมได้ค้นพบจากการได้กลับไปเล่นมันอีกครั้งก็พบว่ามันเป็นเกมที่ 'สุดยอด (Amazing)' เอามาก ๆ ในหลายความหมาย
เนื่องด้วยความที่ตัวมันเองมีระบบการเล่นที่หลากหลาย บวกรวมเข้ากับภาพกราฟฟิกที่มีความไหลลื่นมากเสียจนนึกไม่ถึงว่าเมื่อได้ลองสัมผัสเล่นมันจริง ๆ กลับเป็นเกมที่มัน 'ต่างจาก' บรรดาเกมที่เหลือที่ผมได้พูดถึงมันมา และแน่นอนว่าแม้ตัวเกมของมันจะไม่มีการนำเอาระบบอย่าง 'ไนตรัส (Nitrous)' ซึ่งถือเป็นอีกระบบเกมเพลย์ที่ Arcade Racing ส่วนใหญ่จะมีติดมา แต่สำหรับกรณีอย่าง Forza Horizon 4 นั้น แทบเรียกได้ว่ามันไม่จำเป็นเลยด้วยซ้ำที่คุณต้องใช้มัน
ตลอดระยะการเล่นเกมในช่วงครั้งที่สองที่ผมมีต่อตัว FH4 (ชื่อย่อจาก Forza Horizon 4) ล้วนถือเป็นประสบการณ์รูปแบบใหม่ที่มันดันทำให้ผมเกิดความรู้สึกถึงการได้เปลี่ยนแปลงการเล่นแบบเดิม ๆ ไป เป็นครั้งแรกที่ผมได้เปลี่ยนการควบคุมจากเพียงแค่การใช้เกียร์ 'ออโต้เมติก (Automatic)' ที่มีอยู่แทบจะในทุกเกม กลายมาเป็นการใช้เกียร์ 'ธรรมดา (Manual)' ที่มันเปลี่ยนวิธีการเล่นแบบเดิม ๆ ของผมไปอย่างสิ้นเชิง
จุดเล็ก ๆ ที่กลับเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่น่าเชื่อ จุดที่ทำให้ผมรู้สึกสนุกกับเกมมัน ภายหลังจากติดภาพจำเดิม ๆ ของการที่เป็นติ่งเกม NFS กลับกลายมาเป็นการที่ผมเริ่มได้รู้จักกับมันไปจริง ๆ ซึ่งแน่นอนว่า ณ เวลาตอนนี้ผมอาจยังสำรวจระบบการเล่นหรืออะไรต่าง ๆ ของมันได้แบบไม่ครบถ้วนมากนัก อย่างไรก็ตาม ผมค่อนข้างมั่นใจเป็นอย่างมากว่า Forza Horizon 4 ถือเป็นอีกหนึ่งเกม 'น้ำดี' ที่มันได้เปลี่ยนแปลงประสบการณ์การเล่นเกมแนวแข่งรถของผมไปอย่างสิ้นเชิง
ความดีงามของ Forza Horizon ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่เพียงแค่การแข่งขัน แต่ตัวของมันกลับมีความพิเศษที่มากกว่าการเป็นเกมแข่งรถธรรมดา ๆ ทั่วไปที่มีดีแค่ภาพสวยเพียงอย่างเดียว
ฟิสิกส์และความสมจริงของมันเองคือหนึ่งในนั้น อาจเป็นได้ทั้ง 'ข้อดี' และ 'ข้อเสีย' สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มหัดเล่นเป็นครั้งแรก ซึ่งผมขอสารภาพ ณ ตรงนี้ว่าตรงจุดนี้มันทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย ณ ช่วงเวลาหนึ่ง อย่างไรเองก็ตามความหงุดหงิดตรงนี้มันกลับค่อย ๆ ถูกลดทอนลงไป ด้วยกิจกรรมและการนำเสนอภายในตัวเกมที่มันออกแบบมาเพื่อให้ 'คนทุกเพศทุกวัย (E for Everyone)' สามารถเข้าถึงมันได้อย่างง่ายดายและแทบไม่มีระบบการเล่นที่ซับซ้อนอะไรเลย
เกมเพลย์ที่สามารถปรับแต่งได้ตลอดเวลา ระบบการควบคุมที่อยู่กึ่งกลางระหว่างความเป็น 'ซิมูเลเตอร์' และ 'อาร์เคด' ที่เมื่อนำสองอย่างนี้มาผสมผสานเข้าด้วยกัน กลับทำให้มันเป็นเกมแข่งรถที่สนุกอย่างน่าเหลือเชื่อ แม้เพียงตัวมันจะไม่ได้มีความเป็น 'หนังแอคชั่น (Action Movie)' มากกว่าบรรดาเกมที่เหลือ หากแต่ในด้านของความที่ตัวมันเองเป็นเกมแนวเน้นการดื่มด่ำและเสพบรรยากาศของธรรมชาติที่ใช้ฉากหลังจากการนำเอาพื้นที่แห่งหนึ่งในสกอตแลนด์และประเทศอังกฤษมายำรวมกัน ก่อให้เกิดกลายเป็นเมืองสมมุติแห่งใหม่ เสมือนกับการนำองค์ประกอบการสร้างเมืองมาจากเกมรุ่นพี่อย่าง Need For Speed ที่ปรับเปลี่ยนจากการนำเอาส่วนประกอบสมมติ กลายเป็นการนำส่วนที่มีอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงมาซ้อนทับกับโลกในวิดีโอเกมไว้ นับว่ามันค่อนข้างเป็นอะไรที่ 'เหลือเชื่อ' และ 'เข้ากันได้อย่างลงตัว' จนเกือบทำให้ผมเชื่อว่ามันมีอยู่จริง ๆ
นอกเหนือไปจากส่วนของฉากหลังของเกม สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้คือจำนวนรถภายในเกมที่มันมีมากกว่า 400 คัน ซึ่งแต่ละคันล้วนมาจากแบรนด์ยี่ห้อดังทั้งที่มีชื่อเสียงโด่งดัง จวบจนไปถึงแทบเป็นรู้จักกันน้อยเมื่อลองสังเกตดูถึงชื่อรถของแต่ละคันที่มันเองถูกรังสรรค์ขึ้นมา
ผมคงไม่ลิสต์ว่ารายชื่อรถทั้งหมดมีอะไรบ้าง แต่แนะนำให้เดาหรือลองหาข้อมูลได้ว่ามันมีรถยี่ห้อไหน
อย่างไรเองสิ่งที่นอกเหนือไปจากจำนวนรถที่มาก อีกสิ่งหนึ่งที่ผมไม่พูดถึงคือการที่มันเปิดโอกาสให้มากกว่าแค่การแข่งขันบนท้องถนน
อาจฟังดูน่าเหลือเชื่อไปหน่อย แต่สิ่งหนึ่งที่ผมอยากบอกคือระบบภายในตัวเกมมีมากมายและหลากหลายชนิดที่มันตอบโจทย์สำหรับผู้เล่นทุกแนว
ทุกกิจกรรมภายในเกมล้วนแล้วแต่เป็นการเพิ่มประสบการณ์ให้กับผู้เล่น แม้ว่าคุณจะไม่ได้เก่งกาจหรือเชี่ยวชาญในระบบการขับรถภายในเกมมาก หากแต่มันยังมีเรื่องของการแต่งรถ การจัด Build สำหรับการแข่งขัน การออกแบบลายรถสวย ๆ งาม ๆ ผ่านเครื่องมือภายในเกม การถ่ายภาพ ออกแบบสนามแข่ง หรือแม้แต่สำหรับเหล่าผู้ที่ไม่ได้โปรดปรานสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้นอกจากการได้ 'สะสมรถ' ที่ตัวเองชื่นชอบ ผ่านการเข้า 'บ้านประมูล (Auction House)' ที่มันมีกิจกรรมการประมูลรถภายในเกมอยู่ตลอดเวลา เหมาะสำหรับผู้ต้องการหาเงิน (ในเกม) อย่างรวดเร็วเพื่อให้ได้มาซึ่งรถในฝันของตัวเอง
ตลอดทุกกิจกรรมภายในเกมที่ดำเนินไปมันล้วนแล้วแต่ทำให้ชีวิตชีวาของเกม Forza Horizon 4 แทบไม่เคยจางหายไปเลยแม้แต่นิดเดียว ปัจจุบันที่ผมกำลังพิมพ์สาธยายถึงความดีงามของมันอยู่ จำนวนผู้เล่นของเกมภาคนี้พุ่งสูงมากกว่าตัวเกมภาคปัจจุบันอย่าง Forza Horizon 5 เป็นอย่างมาก ซึ่งนี่ถือเป็นโอกาสอันดีที่ผมอยากส่งต่อเกมแข่งรถแนว Arcade Racing ให้พวกคุณได้ไปลองสัมผัสกัน (ทางลิงก์ด้านบน)
โอเค และนั่นคือทั้งหมดแบบคร่าว ๆ ตราบเท่าที่ผมสามารถพูดถึงประสบการณ์เกี่ยวกับเกมรถแข่งแนว Arcade Racing ของตัวเองได้ในเวลาตอนนี้
ยอมรับว่าความเป็นจริงผมยังมีอีกเยอะมากที่อยากบอกเล่าถึงการได้สัมผัสกับเกมแนวนี้เป็นระยะเวลานานตั้งแต่ตอนเด็ก ๆ ตราบไปจนถึงปัจจุบัน หากแต่ครั้นจะหยิบยกเกมอื่น ๆ มา ดูแล้วมันก็คงมีเป็นจำนวนมากที่มันอาจไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับแนวเกมที่ตัวผมเองชื่นชอบมากนัก เรียกว่าอาจพอเล่นและสนุกกับมันไปพอถูไถ หากแต่ถ้าจะให้ใส่ 'ความหลงใหล (Passion)' ลงไปในตัวเกมทั้งหมดที่ตัวเองสนใจ ถึงคราวนั้นผมคงอาจไม่ได้มาเขียนบล็อกนี่ไปพอดี (ฮา)
ผมยังคงมีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องของวิดีโอเกมอีกมากที่อยากพูดถึง ไม่ได้จำกัดเพียงแต่แนวเกมที่ตัวเองชื่นชอบหรือเล่นมันบ่อย ๆ แต่อาจรวมไปถึงแนวเกมแปลก ๆ อีกมากที่น้อยคนน่าจะพูดถึงมัน
เรื่องราวทั้งหมดส่วนใหญ่ ล้วนแล้วแต่เป็นเพียง 'มุมมองส่วนบุคคล' ที่แน่นอนว่ามันอาจไม่ถูกต้องไป 100% ทว่าเหนือสิ่งอื่นใด เจตนารมณ์ของการสร้างหัวข้อ 'บอกเล่าประสบการณ์' มันเปรียบเสมือนกับการได้ย้อนกลับไปมองดูช่วงเวลาการเติบโตของตัวเองที่ 'จุดสตาร์ท (Starting)' ที่คลาคล่ำไปด้วยฝูงชนมากมายที่ล้วนจับตามองดูการแข่งขัน โดยในสนามแข่งที่เราเรียกกันว่า 'โลก (Earth)' ก็ยังมีเหล่านักแข่งขันอีกเป็นจำนวนมากที่พวกเขาล้วนแต่คาดหวังชัยชนะไม่ต่างอะไรจากเรา
เส้นทางของเราอาจไม่เหมือนกันก็จริง เหมือนอย่างการเข้าไปถึง 'จุดเส้นชัย (Goal)' ที่ตัวมันเองขึ้นอยู่กับ 'คำนิยาม' และ 'เป้าหมายเฉพาะส่วนบุคคล' ตามแต่ที่นักแข่งแต่ละคนพึงพอใจ หากแต่แน่นอนว่าเมื่อมันอยู่ในสนามแข่ง คนที่กำหนดเป้าหมายและเส้นชัยนั้นกลับเป็นไปตาม 'ค่านิยมในสังคม' ที่มันถูกกำหนดขึ้นมาด้วยเหตุผลของการที่มีนักแข่งก่อนหน้านี้เคยทำสำเร็จมาแต่เก่าก่อน
แม้ว่าที่จริงเองแล้ว...นั่นอาจเป็นเพียง 'อดีตอันหอมหวาน ณ ช่วงยามเวลาหนึ่ง' หาใช่มันคือสิ่งที่ทุกคนเองจะต้องการในแบบเดียวกัน
ผมคงไม่ขอตอบคำถามหรือทิ้งท้ายแนวคิดอะไรใด ๆ ว่าด้วยเรื่องของการดำเนินชีวิตให้ตรงไปตามเป้าหมายที่ตัวเองต้องการ เพราะผมเองก็ไม่ต่างอะไรไปจากมนุษย์คนอื่น ๆ อาจมีส่วนที่ 'ด้อยกว่า' มาก เนื่องด้วยความที่ผมคือประชากรส่วนน้อยที่จะชื่นชอบการอยู่ท่ามกลางฝูงชน ซึ่งมันขัดกับภาพลักษณ์ความเป็น 'นักแข่งขัน (Racer)' ที่พวกเขาส่วนใหญ่จะถูกจับตามองในสื่อสาธารณะอยู่เป็นประจำ
แต่กระนั้น ในโลกของวิดีโอเกมมันได้สอนให้ผมเรียนรู้ว่าสิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่การไปถึง 'เป้าหมาย' แต่กลับเป็น 'ประสบการณ์ระหว่างทาง' ที่เราได้ดำเนินไปต่างหาก ใครจะรู้ว่าบางทีเวลาที่เราเล่นเกมแนวสวมบทบาท เราอาจใช้เวลาในการเก็บเกี่ยวค่าประสบการณ์ อุปกรณ์ หรือแม้แต่กับการ 'อัปเกรด' อาวุธที่เราได้มา มากกว่าจะเอาเวลาส่วนนั้นไปตบบอสภายในเกมไปซะอีก ;p
และนั่นคงเป็นทั้งหมดสำหรับการบอกเล่าประสบการณ์ที่ผมมีเกี่ยวกับ 'ถนนหนทาง' 'เครื่องยนต์กลไก' และ 'การจากลา' ที่ทั้งสามสิ่ง กลับกลายเป็นอะไรที่มันทำให้ผม 'พึงพอใจ (Satisfied)' ในรูปแบบที่ช่วยหล่อเลี้ยงให้ชีวิตของผมเองไม่จมปลักกับความเศร้ามากจนเกินไป
ดั่งเป็นงานอดิเรกอีกชิ้นหนึ่งในชีวิต รองลงมาจาก 'งานเขียน' ที่มันเกิดขึ้นเมื่อครั้งตอนที่ผมเกิดความประทับใจในการได้อ่านวรรณกรรมเรื่องแรกในชีวิต ทั้งที่ผ่านมาแทบไม่เคยสนใจเกี่ยวกับการอ่านหนังสือเสียด้วยซ้ำ
ขอบคุณที่อ่านจนจบ เล่นเกมให้สนุก
และสิ่งสำคัญที่สุด
Stay Hunger Stay Determinated ครับ 😀
[ช่องทางสำหรับติดตามงานเขียนอื่น ๆ]
ReadAWrite - https://ChaoticVoice.readawrite.com
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น