อารัมภบทของหายนะที่คืบคลาน และจุดเริ่มต้นของการสูญเสียเป้าหมายในชีวิต
"ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ตัวผมเองกำลังค่อย ๆ สลายไปจากโลกใบนี้อย่างช้า ๆ ราวกับว่าตัวเองกำลังถูกหลอมรวมเข้ากับ 'ความสกปรก' และ 'โสมม' ที่ถูกสร้างขึ้นจากสิ่งที่ให้กำเนิดชีวิตของผมขึ้นมา"
เราทุกคนต่างล้วนรู้กันดีถึงช่วงเวลาที่สักวันหนึ่ง 'ความตาย' จะพลัดพรากพวกเราไป
หากแต่สิ่งที่เรากลับไม่สามารถรู้ได้นั่นคือ 'อะไร' จะเกิดขึ้นภายหลังจากที่เราได้เสียชีวิต ใครบางคนที่อยู่ด้านหลัง การต้องแบกรับภาระจากคน ๆ หนึ่งที่พยายาม 'ทิ้ง' บางสิ่งบางอย่าง โดยคาดหวังว่าสักวันหนึ่งพวกเขาจะได้ใช้ประโยชน์จากมัน
ต้องขออภัยเป็นอย่างสูงสำหรับการที่ผมอาจไม่ได้แวะเวียนเข้ามาเขียนเล่าถึงเรื่องอะไรบ่อยนัก
ช่วงเวลาของเดือน 5 ค่อนข้างทำพิษในหลาย ๆ เรื่อง จนเป็นเหตุทำให้ต้นเดือน 6 นี้มันเริ่มต้นด้วยการที่ผมพยายาม 'หักดิบ' บางสิ่งบางอย่างที่ผมติดพันมันอยู่เป็นระยะเวลานาน
อันที่จริง...ผมติดพันกับของพวกนั้นมาได้แล้วสักระยะ หากแต่แน่นอนว่าสาเหตุหนึ่งของการติดพันกับสิ่งเหล่านั้น มันก็ไม่ใช่เหตุผลอะไรที่สำคัญมากไปกว่าการเข้าไปเพื่อ 'หลบเลี่ยง' และ 'ดื่มด่ำ' กับการได้ใช้ชีวิตอยู่ในโลกจำลองที่มันถูกสร้างขึ้นเพื่อจุดประกาย 'จินตนาการ' ของตัวเอง
อย่างไรก็ดี ช่วงเวลาเหล่านั้นผมคงไม่อาจเรียกได้ว่ามันคือช่วงเวลาที่ 'ไร้สาระ' เฉกเช่นเดียวกับที่ผมพยายามทำเรื่องบางอย่างอยู่คนเดียวมาตลอดเป็นระยะเวลากว่าหลายสัปดาห์ และหลายปี
ว่ากันตรง ๆ การเติบโตขึ้นในช่วงของวัย 27 สำหรับผม แม้จะพูดว่ามันคือ 'หมุดหมายสำคัญ' ของการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตแบบเดิม ๆ หากแต่ในทางกลับกัน สภาพแวดล้อม รอบกายของผมมันค่อนข้างชวนให้ผมรู้สึกละเหี่ยใจอยู่เสมอ และหนึ่งในนั้นมันเริ่มต้นจากเรื่องของ 'สถาบันในครอบครัว' ที่มันอาจไม่ได้ร้ายแรงถึงขั้นชวนเลือดตกยางออก หากแต่อย่างไรเอง มันกลับทำให้ผมอดรู้สึกเป็น 'กังวล' ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องราวที่มันยังมาไม่ถึง
หนึ่งในปัญหาหลักสำคัญที่ผมมักถูกโดนว่าอยู่เสมอ คงหนีไม่พ้นการที่พวกเขาพยายาม 'กดดัน' หรือ 'บังคับ' ให้ทำในสิ่งที่ผมไม่ได้อยากจะทำ
ที่จริงมันก็นานมากแล้วกว่าที่ผมพอจำความได้ เอาเข้าจริง เรื่องพวกนี้มันยากมากที่ตัวผมเองจะพยายามพูดถึงสิ่งที่เกี่ยวกับ 'ตัวเอง' และแน่นอนว่าหากคิดกันตามหลัก 'จิตสามัญสำนึก' สิ่งที่เรียกว่า 'ครอบครัว' มันย่อมถือเป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวเราเอาไว้ไม่ให้ตระหนักและรับรู้ได้เสมอ เปรียบได้ดั่ง 'เครื่องหมายเตือนใจ' ที่โดยมาก (หรือส่วนใหญ่) ให้ความสำคัญกับมันมาเป็นอันดับหนึ่งก่อนเสมอ
และผมคงไม่ 'ตัดสิน' ว่านั่นเป็นความคิดที่ถูกต้องหรือผิด (เพราะอย่างไรเอง ผมคงไม่ต่างจากคนทั่วไปที่คิดแบบเดียวกัน)
อย่างไรเอง การยึดติดกับสิ่ง ๆ นั้น มันก็มีผลที่ทำให้ตัวผมเองยิ่งรู้สึก 'สูญเสียเป้าหมายในชีวิต' ของตัวเองไปด้วยในคราวเดียวกัน
มัน... ค่อนข้างทำใจได้ยากลำบากนิดหน่อย ถ้าหากผมจะบอกว่า 'ครอบครัว' สำหรับผมมันไม่ได้ดีเลิศ และอาจเพราะด้วยสาเหตุที่มันทำให้ผมมี 'ปมในใจ' บางอย่างที่มันข้องเกี่ยวกับ 'ความเกลียดชังแบบฝังรากลึก' ไปด้วยแล้ว นั่นยิ่งอาจทำให้ตัวตนของผมดูกลายเป็น 'คนแย่' เข้าไปใหญ่
ถึงอย่างนั้นมันคือ 'ความสัตย์จริง' ที่ผมอยากแสดงออกมาตรง ๆ
ผมคงไม่พูดว่าการที่ตัวเองเกิดขึ้นมาเป็นแบบนี้ ทั้งหมดมันเป็นเพราะการตัดสินใจที่ผิดพลาด หรือเป็นเพราะเพียงแค่เรายัง 'พยายาม' ไม่มากพอ หลายครั้งผมเองก็ตั้งคำถามเรื่องนี้มาอยู่ตลอดเกี่ยวกับเรื่องของ 'ความพยายามของตัวเอง' หากแต่ในท้ายที่สุดผมก็ตัดสินใจเมินเฉยคำถามนั่นไป
คำว่า 'มากพอ' ในบางครั้งมันก็ขึ้นอยู่กับตัวของผู้พูด ที่อาจแฝงมาด้วย 'ทัศนคติ' บางอย่างที่มันติดตัวจากประสบการณ์ + เรื่องราวในชีวิตที่พวกเขาได้เจอมา
อย่างไรเอง ณ ในโลกของความเป็นจริงนั้นสิ่งที่เรียกว่า 'ความพยายาม' แท้จริงแล้วมันไม่เคยมีมาตราวัดอย่างชัดเจนว่าต้องมีจำนวนมากแค่ไหน และต้องทุ่มเทมากถึงเพียงใด ถึงจะสามารถทำให้สิ่งที่มันถูกมองว่า 'ห่วย' กลายเป็น 'ดี' ขึ้นมาได้โดยที่ทำให้ผู้คนมองเห็นถึงความตั้งใจ ณ ตรงนั้น
"จงรักในสิ่งที่ทำ แล้วสิ่งนั้นจะประสบผลสำเร็จออกมาเอง"
หากว่าผมได้ยินใครพูดประโยคนี้ในช่วงเมื่อตอนที่ยังมีอายุได้เพียงแค่ 15 - 16 ปี ตัวตนของผมเองก็คงไปได้ไกลมากกว่านี้เป็นหลายร้อยเท่า อย่างน้อยที่สุด ผมคงรู้สึก 'มีความสุข' กับสิ่ง ๆ นั้นมากกว่าที่จะต้องถูกแรงกดดันจากสังคมรอบนอกที่ต่างคาดหวังว่า 'ผม' จะมอบความต้องการให้กับพวกเขา
(ซึ่งมันก็ไม่เคยมีเลยสักครั้ง และมันก็เป็นเรื่องที่ดี...ไม่อย่างนั้นแล้ว ผมคงจะตกเป็น 'ทาส' ของการถูกใช้งานเป็นแน่แท้)
ถึงกระนั้นเอง ความรักในผลงาน และการรักในสิ่งที่ตัวเองทำ มันย่อมพ่วงมาพร้อมกับ 'ความเสี่ยง' ที่มันอาจเป็นได้ทั้ง 'รุ่ง' และ 'ร่วง' เอาเสมอ
เป็นเรื่องธรรมดาหากว่าสุดท้ายแล้ว ชีวิตจะไม่เป็นดั่งหวังมากกว่าสมหวัง หากแต่ในมุมกลับกัน ความไม่สมหวังเหล่านั้นมันก็ได้ 'เปิดโอกาส' ในการที่ทำให้ผมเรียนรู้ไปทีละขั้นตอนว่าจะเอาตัวเองออกไปจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ได้อย่างไร
สำหรับหัวข้อของโพสต์นี้คงไม่มีอะไรบอกเล่า หรือหยิบประเด็นอะไรมาพูดถึง นอกเสียจากทั้งหมดมันเกิดขึ้นจากการที่ผม 'แทบ' ไม่ได้คุยกับคนเป็นระยะเวลามากกว่าหลายเดือน สิ่งที่เรียกว่า 'Deep Conversation' แทบเรียกได้ว่ามีน้อยเอามาก ๆ โดยเฉพาะกับคนที่ชอบเก็บตัว และเลือกจะอยู่ติดกับ Echo Chamber ที่ตัวเองสร้างขึ้นมา มากกว่าเปิดรับความคิดใหม่ ๆ จากพวกคนที่มาจากแตกต่างสถานที่กัน
อย่างไรเอง นั่นไม่ได้หมายความว่าผมจะมีความสุขที่จะติดแหง็กอยู่กับที่ตรงนี้เป็นเวลานาน
ผมยังคงค่อย ๆ ทลายกำแพง Echo Chamber ของตัวเองอยู่เสมอ และด้วยความรู้สึกของการพยายามอยากหลบหนีออกจากสถานที่ ๆ ถูกคุมขังไว้อยู่ ผมคิดว่าถ้าหากเมื่อวันเวลาที่ผมได้ออกไปเพื่อใช้ชีวิตของตัวเองจริง ๆ ถึงเวลานั้นผมอาจคงไม่ได้กลับมาเขียนอะไรแบบนี้มากเท่าไหร่นัก
ซึ่งก่อนที่วันนั้นมาถึง ทำไมเราไม่มานั่งจิบน้ำอุ่นแล้วหันมาคุยกันสักหน่อยล่ะ จริงไหม? :)
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น