ความทุกข์ทรมานของการเป็นผู้ชายในปี 2024

 


"แด่ผู้ชายที่ถูกโลกทอดทิ้ง 

แด่ความเดียวดายอันเป็นนิจนิรันดร์"

เดือนมิถุนายน เดือนของเลขที่ 6 เดือนแห่งกลางปีสำหรับการส่งสัญญาณบ่งบอกถึงช่วงเวลาการเลี้ยงฉลองของเหล่าคนผู้มีความหลากหลายทางเพศ การแสดงออกถึงสิทธิทางด้านร่างกาย ความคิด หรือหมายรวมไปถึงการเปิดเผย 'ความเป็นตัวเอง' ออกมาสู่สาธารณชน

ในมุมหนึ่ง สำหรับผู้ที่ไม่ได้คลุกคลีกับเรื่องนี้มากนัก แน่นอนว่าผมคงไม่ปฏิเสธเท่าไหร่ว่าการมีอยู่ของเหล่าผู้คนและกลุ่มคอมมู LGBTQIA+ จะเป็นอะไรที่ค่อนข้างแคบในแถบประเทศตะวันตก อย่างไรเองสำหรับส่วนของประเทศฝั่งตะวันออกที่ผมอยู่นั้น แท้จริงมันล้วนเป็นสิ่งที่ค่อนข้างเห็นได้จน 'ชินตา' ไปแล้ว นับตั้งแต่เรื่องของประวัติศาสตร์ ความเป็นมาต่าง ๆ หรือวัฒนธรรมในบางวัฒนธรรมที่มีการนำเรื่องของการ 'รักร่วมเพศ' มาเป็นส่วนหนึ่งในพิธีกรรม

อย่างไรก็ดี ท่ามกลางกระแสของเดือน Pride Month ที่กำลังเกิดขึ้น ณ เวลาตอนนี้ มีเรื่อง ๆ หนึ่งที่โดยส่วนตัวผมเองอยากจะมาแบ่งปันเสียสักหน่อย และมันเองก็เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับช่วง ณ เดือนที่ผ่านมาด้วยเช่นกัน

หนึ่งในนั้นคือว่าด้วยปัญหาและการตระหนักรู้ถึงเกี่ยวกับ 'ปัญหาสุขภาพจิต (Mental Health Problem)' และเรื่องราวของการเป็น 'ผู้ชาย (Man)' ณ วันที่กระแสสังคมต่างพยายามหันเหไปสนใจกับเรื่องราวการเคลื่อนไหวของผู้มีความหลากหลายทางเพศ


"มันเป็นเรื่องยากที่จะนิยามคำว่า 'ความเป็นชาย (Masculinity)' นั้นมีความหมายที่แท้จริงว่าอะไร อย่างไรก็ดีทุกคำนิยามล้วนผันเปลี่ยนไปตามกาลเวลา และมันเป็นเรื่องสำคัญที่เราควรตระหนักรู้เป็นอย่างดีถึงความหมายแฝงในคำนิยามนั้น ๆ เพื่อที่จะไม่ให้ตกอยู่ในกรอบความเชื่อที่อาจเป็น 'มุมมองอันคับแคบ' จากเพียงแค่มุมมองด้านเดียว"

หากว่าใครที่ยังจำเมื่อ ณ ช่วงท้ายของบทความก่อนหน้าได้ เกี่ยวกับการที่ผมพูดเกริ่นไว้ถึงเรื่องราวของการบอกเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับเกม ๆ หนึ่งต่อไปที่ผมจะเขียน คุณคงพอทราบกันดีว่ามันเกี่ยวกับเกมอะไร และเนื้อหาที่ผมต้องการสื่อถึงเกมนั้น มันคงล้วนหนีไม่พ้นเรื่องราวของการ 'ตื่นรู้ (Woke)' ทางวัฒนธรรมที่ช่วงหลังมันเริ่มจะกัดกร่อนความคิดของคนไปทีละนิด ๆ

ความทุกข์เพียงอย่างหนึ่งของการเติบโตขึ้นเป็นบุรุษ ณ ช่วงปี 2024 ส่วนใหญ่ล้วนมีต้นสายปลายเหตุมากมายจากหลายปัจจัย หากแต่หนึ่งในปัจจัยที่สำคัญสุด ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องค่านิยมและคำเรียกที่พยายามแบ่งประเภทของผู้ชายออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ อยู่ทั้งหมด 2 ประเภท (ซึ่งแน่นอนว่าความเป็นจริงอาจมีมากกว่านั้น)

'ชายแท้' และ 'ชายเทียม'

ประเภทแรก ถือได้ว่ามันกลายเป็นคำเรียกที่มักใช้เอาไว้เพื่อเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือ คำด่าทอ คำเสียดสี หรือบ้างไปจนถึงการนำเอามาโจมตีเพียงเพื่อหวังผลในการทำลายภาพลักษณ์ของ 'ความเป็นชาย' ที่มันเคยถูกมองว่าเป็นเพศที่มีความเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว และกล้าเผชิญหน้ากับอุปสรรค

โดยที่ ณ ช่วงระยะเวลาหนึ่ง สังคมอาจรับรู้ได้น้อยมากว่าแท้จริงแล้ว สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเพียงมุมมองที่เกิดขึ้นจากการที่ธรรมชาติมันหล่อหลอมขึ้นมา ไม่ต่างอะไรไปจาก 'ความเป็นหญิง (Femininity)' หรือแม้แต่ 'ความเป็นมนุษย์ (Humanity)' ซึ่งทั้งสามอย่างที่ผมว่ามาทั้งหมด ล้วนเป็นเพียง 'ปรากฎการณ์' ที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่ที่พวกเราเริ่มรู้จักการใช้สมองของตัวเองในการสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ ขึ้นมา

ทุกระบบการปกครอง ทุกระบบการเรียนรู้ ณ ทุกสิ่งทุกอย่างที่มันถูกสร้างขึ้นมานับแต่ยุคดึกดำบรรพ์ ยาวนานมาจวบจนกระทั่งถึงยุคโลกาภิวัฒน์นี้ ล้วนแล้วมี 'ผู้ชาย (Men)' เป็นส่วนสำคัญ

และใช่...ทั้งหมดที่ผมกล่าวถึงมามันคือ 'ความจริง (Fact)' ที่ผมคงไม่ปฏิเสธว่ามันมีความน่าเชื่อถือมากกว่าสิ่งใดสิ่งอื่น

อย่างไรเองก็ดี นั่นไม่ได้หมายความว่า 'ผู้หญิง (Women)' จะมีบทบาทน้อยลงไปจากช่วงเวลาที่เหล่าผู้ชายต่างได้ออกมาเฉิดฉายอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์โลกนาน กล่าวกันว่า ณ ทุกความสำเร็จของผู้ชายนั้นล้วนมีผู้หญิงอยู่เบื้องหลังเสมอ แน่นอนว่านี่เองก็ถือเป็นชุดความเชื่อหนึ่งอย่างที่เราเองคงปฏิเสธมันไปไม่ได้เช่นเดียวกัน

โดยสรุปแล้วนั้น ไม่ว่าจะทั้ง 'ชาย' หรือ 'หญิง' พวกเราทุกคนต่างล้วนถือเป็นหมากตัวสำคัญในการขับเคลื่อนโลกทั้งใบนี้ไปพร้อมกันทั้งหมด และแม้ว่าจะตัดเอาความอคติส่วนตัวออกไป หรือแม้แต่กระทั่งเรื่องของ 'เพศตามคำนิยาม' ที่ถูกสร้างขึ้นมากมายและเริ่มมีจำนวนเยอะมากขึ้นเรื่อย ๆ ท้ายสุดมันก็หนีความเป็นธรรมชาติที่มันสร้างพวกเราขึ้นมาไม่ได้อยู่ดีว่าแท้จริง พวกเราทุกคนคือ 'มนุษย์ (Homosapiens)'

เราถูกวิวัฒนาการขึ้นมาเป็นระยะเวลานานเกือบหลายล้านปี หลังการสูญพันธ์ุครั้งใหญ่ที่เปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมและธรรมชาติทั้งหมด ความอุดมสมบูรณ์จากเมื่อครั้งหนึ่งศตวรรษ ไม่อาจเทียบเท่าได้กับ ณ เวลาปัจจุบันที่วิทยาการล้ำสมัยและการพยายามเอาชนะธรรมชาติในสภาพแวดล้อมอันมีขีดจำกัด แน่นอนว่าของเหล่านี้เองเป็นสิ่งที่มีความมหัศจรรย์อย่างมาก แม้เพียงแค่มันเป็นช่วงระยะเวลาอันรวดเร็ว

ซึ่งการเปลี่ยนแปลงบางอย่างนั้นมันก็ทำให้โลกก้าวไปข้างหน้า แต่ในอีกมุมหนึ่ง มันก็ทำให้ 'ปัจจัยภายใน' ของตัวมนุษย์เองกลับถดถอยไปด้านหลังด้วยเช่นเดียวกัน



'ค่านิยม' ใด ๆ ก็ตามที่เมื่อถูกสั่งสมเป็นระยะเวลานาน ๆ และไม่ได้มีการหันไปตระหนักถึงหรือย้อนดูจำนวนของมัน หลายครั้งการละเลยถึงความคิดเห็นต่าง ๆ หรือแม้แต่กระทั่งการไม่แยแสต่อความเปลี่ยนแปลงทั้งหมด มันก็ไม่ต่างอะไรจากการกักเก็บ 'ความเป็นพิษ (Toxicity)' เข้าไปเป็นระยะเวลานานมาก ๆ จนแทนที่มันควรส่งผลในทางที่ดีขึ้น แต่กลับยิ่งเกิดคำถามมากขึ้นไปอีก จนสุดท้ายมันก็ลงเอยด้วยการกระทำอันสุดโต่งและรุนแรง เฉกเช่นเหตุการณ์ในปัจจุบันหลาย ๆ เหตุการณ์ที่เรามองเห็น

ผมคงไม่เลือกจะนิยามตัวเองว่ามีความเชื่อในทางฝั่งไหนมากที่สุด หากเพียงแต่อยากบอกเพื่อให้ทุกคนได้รับรู้ว่า 'ผู้ชาย' เช่นเรานั้นก็ล้วนไม่ต่างจาก 'ผู้หญิง' ที่ต้องแบกรับสิ่งต่าง ๆ มากมาย เจอะเจอเรื่องราวชวนให้เกิดความกังวล ท้อแท้ สิ้นหวัง โศกเศร้า และนั่นหมายรวมไปถึงการที่เราต่างเผชิญหน้ากับปัญหาทางด้านความคิด ความไม่เข้าใจ อันเป็นสิ่งที่ผู้หญิง (บางคน) หลายครั้งเขาไม่ได้เข้าใจถึงจุดที่เรายืนอยู่ จุดที่เราทำได้เพียงแต่หันมองและไร้ซึ่งเรี่ยวแรงที่จะแก้ไขมันได้ด้วยตัวเอง

ยิ่งการมาถึงของเหล่าชุมชนผู้มีความหลากหลายทางเพศด้วยแล้ว นิยามของ 'ความเป็นชาย' เองก็ยิ่งถูกบิดเบือนออกไปจากความหมายเดิมมากขึ้นไปใหญ่ ผมสังเกตเห็นถึงบรรดาเหล่านัก Content Creator เป็นจำนวนมากในช่องทางโซเชียลที่ส่วนใหญ่พยายามสร้างคลิปวิดีโอแนวสร้างเรียกขวัญกำลังใจ สร้างแรงผลักดันในแง่บวก สร้างแนวคิดบางอย่างของการปฏิเสธสังคมสมัยใหม่ และน้อมรับถึง 'ความเป็นชาย' โดยหลงลืมไปถึงนิยามความเป็นจริงที่ว่ามันได้ถูก 'บิดเบือน' ไปเป็นอย่างมาก จนส่งผลทำให้ ณ เวลาทุกครั้งที่ผมได้เห็นคอนเทนต์เหล่านี้ มันเริ่มทำให้ผมตั้งข้อสงสัยถึงเรื่องที่ว่า

เหตุใดเราถึงต้องเป็นศัตรูด้วยกันเอง? 

เหตุใดเราถึงเลือกปฏิเสธผู้มีความคิดเห็นที่ไม่เหมือนกับเรา?


ความเป็นจริงอย่างหนึ่งที่ผมคิด นั่นคือบางทีแล้ว ศัตรูดั้งเดิมของมนุษย์อาจเริ่มต้นจากการที่เราเอาชนะ 'ธรรมชาติ (Nature)' ที่มันเองคือสิ่งที่ต้องใช้ระยะเวลาและทำความเข้าใจมันให้ถึงในระดับหนึ่ง ก่อนที่จากนั้นเราจะคิดค้นสิ่ง ๆ หนึ่งที่เปรียบได้กับ 'อาวุธ' ในการต่อกรกับสิ่งเหล่านี้ที่มันฉุดรั้งขีดจำกัดไม่ให้เราไปไกลมากกว่าความโลภของเราที่ต้องการ

แต่ในมุมกลับกัน การต่อสู้กันโดยธรรมชาติ นั่นก็พ่วงมาพร้อมกับการสร้างศัตรูกลุ่มใหม่ พวกเขาเป็นศัตรูที่เคยอยู่ภายใต้อำนาจของเราและถูกกดขี่มาโดยตลอด และในวันนี้ วันที่พวกเขาได้รับสิทธิและโอกาสในการลุกขึ้นเผชิญหน้ากับเราอีกครั้ง เป้าหมายที่พวกเขาต้องการจึงจ้องจะโจมตีไปยังหนึ่งในหลักความคิดและ 'ค่านิยม' แรกเริ่มที่มันเกิดขึ้นจาก 'บรรพบุรุษ' อันเป็นผู้ถือกำเนิดและสร้างสิ่งต่าง ๆ เพื่อให้พวกเขาสามารถลืมตาอ้าปากได้จนทุกวันนี้

ความต้องการของคนอีกกลุ่มหนึ่ง คาดหวังเพื่ออยากให้ได้ซึ่งสิ่งที่มันมีอยู่มาแต่เพียงโบราณกาล โดยหลงลืมไปว่าแท้จริงพวกเขามีมันไปตั้งแต่แรก ปฏิเสธการมีอยู่ของ 'สัญชาตญาณสัตว์ป่า (Primal Instinct)' และ 'เจตจำนงอิสระ (Free Will)' อันเป็นอีกหนึ่งคำถามอภิปรัชญาถึงการมีตัวตนอยู่ของมันว่า 'จริงหรือไม่ (Truth or not)'

การต่อสู้กันทางความคิดอันดำเนินมานานอยู่หลายชั่วนานแรมปี การมองหาถึงข้อสรุปอันชัดเจนนั้นคือความท้าทายของเหล่านักคิด นักปรัชญา นักตรรกศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ หรือแม้แต่เหล่านักเขียนมากมายที่ล้วนแล้วต่างพยายามมองหาถึงสัญญะความเป็น 'เจตจำนงอิสระ' ที่มันเองยังแทบหาจุดที่ลงตัวยังไม่ได้

ผมคงไม่มีคำตอบสำหรับเรื่อง ณ ตรงนี้ และด้วยในฐานะที่ตัวผมเองยังเป็นเพียง 'ผู้ชาย' คนหนึ่งที่เฉกเช่นเหมือนกับมนุษย์ในสังคมทั่วไป ความทุกข์ทรมานของเหล่าบุรุษผู้ที่มักถูกมองเป็น 'ผู้กระทำ' มันอาจยังคงอยู่สืบเนื่องไปตราบเสียกว่าที่โลกจะผันเปลี่ยน ตราบเสียกว่าที่ 'กระแสสังคมโลก' จะถูกมองกลับไปยังอีกฝั่งหนึ่ง

ไม่มีใครให้คำตอบเรื่องนี้ได้ เว้นเพียงแต่สิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะบอกมากที่สุด แด่เหล่าผู้ชายทุกคนที่ล้วนถูกทอดทิ้งให้โดดเดี่ยว แด่เหล่าผู้ชายทั้งหลายคนที่กำลังสับสนกับความคิดของตัวเอง ยืนอยู่ท่ามกลางคำนิยามมากมายที่สังคมต่างพยายามผลักดันให้คุณเข้ากับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

"คุณคือตัวของคุณ อย่าให้ใครหรืออะไรก็ตามแต่มากำหนดนิยามเกี่ยวกับสิ่งที่คุณเป็น จงเชื่อในสัญชาตญาณ ความรู้สึก และอย่าได้หลงลืมสิ่งสำคัญที่สุดของตัวคุณเองไป"

และสิ่ง ๆ นั้นมันคือ 'เป้าหมาย (Purpose)' และ 'การมีชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง (Living for Ourselves)'



ความคิดเห็น