[บอกเล่าประสบการณ์] ความเป็นไปได้อันไร้ที่สิ้นสุด การเดินทางในโลกซิมูเลชั่น และจักรวาลอนันต์ (No Man's Sky)

 



"We are an impossibility in an impossible universe."


อีกหนึ่งความสนใจหนึ่งของผมที่แม้จะไม่ถึงขั้นเรียกได้อย่างเต็มปากว่า 'เชี่ยวชาญ' หรือ 'รอบรู้' จนสามารถเขียนเล่าถึงมันได้ นั่นคือเรื่องราวของสิ่งที่เรียกว่า 'อวกาศ' และ 'จักรวาล' ที่อยู่ไกลออกไปจากโลกของเราไปหลายล้านปีแสง

ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ผมให้ความสนใจเรื่องนี้ แต่อย่างไรเอง แม้จะสนใจมันมากขนาดไหน แต่เรื่องหนึ่งที่ผมกลับไม่ถนัดมันเอาเสียเลย คือการพยายามทำความเข้าใจเกี่ยวกับ 'ความเป็นไปของจักรวาล' ที่ส่วนมากมันดันโยงไปถึงความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์ ดาราศาสตร์ หรือในอีกหลาย ๆ องค์ความรู้ที่มันดู 'ขัดแย้ง' กับด้านที่ผมไม่เคยซึมซับมันอย่างจริง ๆ จัง ๆ ซึ่งอย่างไรก็ดี ผมคิดว่านี่อาจเป็นผลพวงจาก 'ความผิดพลาดในวัยเยาว์' ที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องของความรู้และการศึกษามากเท่าที่ควรนัก

หากแต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร หากลองคิดในมุมกลับกัน เรื่องเหล่านี้มันล้วนอยู่ในขอบเขตของ 'องค์ความรู้' ที่มนุษย์สร้างขึ้น เพื่ออธิบายถึงสิ่งต่าง ๆ ให้คนรุ่นหลังเข้าใจ หรือเพื่อเป็นใบเบิกทางไปสู่ 'ความเป็นไปได้' ที่อาจนำพาเราพัฒนาไปสู่อีกขั้นหนึ่งก็ได้ในอนาคต

และหนึ่งในเกม ๆ นั้นที่มันได้เปิดโลกกว้างทางจินตนาการให้กับผม นั่นคงหนีไม่พ้นเกม ๆ หนึ่งที่ชื่อว่า

No Man's Sky




ความเวิ้งว้างของจักรวาลที่ไร้ขีดจำกัด พ่วงมาพร้อมกับ 'จินตนาการ' อันสุดล้ำสมัยที่ยากยิ่งจะมีใครเปรียบเทียบได้

หนึ่งในผลงานของทีมงานค่ายสตูดิโอขนาดเล็ก นามว่า Hello Games ซึ่งมีจุดเริ่มต้นมาจากความเบื่อหน่ายของการผลิตผลงานในบริษัทผลิตวิดีโอเกมขนาดใหญ่ที่ทุกคนคุ้นหูกันอย่างนี้ว่า Electronic Arts (EA)

เช่นเดิม ผมขออนุญาตในการข้ามเรื่องของประวัติสตูดิโอไป รวมไปถึงเรื่องราวของการถือกำเนิดของ 'ยุคทองวิดิโอเกม' ไปด้วยเช่นเดียวกัน

No Man's Sky เป็นเกมแนว Action-Adventure Sandbox Survival ที่เนื้อหาของมันถือว่ามีความน่าสนใจในแง่ของการนำเสนอรูปแบบที่เกี่ยวกับการนำเอาองค์ประกอบความเป็น Sci-Fi และความเป็น Fantasy ที่เหนือล้ำและเข้าใจได้โดยใช้ระยะเวลาเพียงไม่นานในการเรียนรู้

ภายในเกมดังกล่าว เราจะได้รับบทบาทเป็น Traveller ที่มีรูปร่างคล้ายคลึงกับ 'มนุษย์' (ที่สามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์ได้ในภายหลังจากเล่นเกมไปได้แล้วระยะหนึ่ง) โดยตัวเกมในช่วงแรกเราจะมีหน้าที่ในการตามหาทรัพยากรเพื่อพยุงชีพ พร้อมทั้งการซ่อมแซมอุปกรณ์ ตามหายาน รวมไปถึงการออกสำรวจเพื่อมองหาเบาะแสความเป็นไปหลายสิ่งหลายอย่างภายในโลกแห่งนั้น

ในแง่ของเนื้อเรื่อง อาจเป็นที่น่าเสียดายอยู่หน่อยที่มันไม่ได้ทำให้ผมรู้สึก 'เชื่อมต่อติด' กับมันได้ชนิดที่ว่าเป็นอะไรน่าจดจำ อย่างไรก็ดี สิ่งหนึ่งที่ผมชื่นชอบเกี่ยวกับ No Man's Sky นั้นกลับไม่ใช่ในแง่ของเกมเพลย์ เนื้อเรื่อง หรือว่าบรรดา Soundtrack ต่าง ๆ ภายในเกมที่มันพอช่วยให้รู้สึก Immersive ไปกับตัวเกม

ทว่ากลับเป็นในแง่ของการสร้าง 'บรรยากาศ (Ambient)' ที่ในทุกครั้งของการออกลงยานสำรวจในพื้นผิวดาวต่าง ๆ หรือแม้แต่กระทั่งการเข้าถึง 'สถานีอวกาศ' ภายในเกมนั้น มันค่อนข้างให้ความรู้สึกน่าพิศวงและประหลาดใจในคราวเดียวกัน


แม้จะฟังดูน่าเหลือเชื่อไปหน่อย หากแต่ถ้าผมบอกว่าภาพที่คุณเห็นทั้งหมดคือการสุ่มของระบบภายในตัวเกม คุณคงอาจอ้าปากค้างเอาก็ได้

ในแต่ละพื้นผิวของดาวแต่ละดวงที่คุณได้ไปเยือนในตัวเกม แทบมีอยู่น้อยมากที่มันจะปรากฎออกมาอยู่ในรูปแบบเดียวกัน สภาพแวดล้อม บรรยากาศ สิ่งมีชีวิต เกือบทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วถูกรังสรรค์ขึ้นมาจากการ 'สุ่ม' แทบทั้งหมด แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้เมื่อเทียบกับจำนวนพื้นที่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ที่กินเพียงแค่ 15 GB กว่า ๆ ถือว่าเป็นอะไรที่ชวน 'อึ้ง' มากสำหรับคนที่มองมันเพียงแค่จากภายนอก

ท่ามกลางวงการเกมในยุคปัจจุบัน สิ่งหนึ่งที่เลี่ยงไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องของการจัดการพื้นที่จัดเก็บของเกมนั้น ถือได้ว่าเป็น 'ปัญหา' ที่แม้จะฟังดูอาจดูเล็กน้อยสำหรับผู้ที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์สเปคระดับสูง หากแต่สำหรับตัวของผมที่การจะครอบครองสิ่งเหล่านั้นได้ อาจต้องแลกมาด้วย 'เงินทุน' ที่มีจำนวนเยอะพอสมควร

ยิ่งไม่ต้องนับไปถึงการได้สัมผัสกับการเล่นเกมที่กินกราฟฟิกระดับสูง นั่นยิ่งแทบเป็นไปได้ยากมากสำหรับผู้ที่มีงบจำกัด

หากแต่อย่างไรเอง ผมคงไม่ขอเล่าถึงเรื่องนี้ เพราะอาจฟังดูเป็นการ 'บ่นระบาย' ที่มากเกินไป แต่อย่างไรเสีย หากครั้นจะบอกถึงเรื่องของประสบการณ์ในเกมที่มันได้ 'เปิดพื้นที่จินตนาการ' ให้กับผม เห็นทีคงจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากตัวของ No Man's Sky ที่ตัวมันเองมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จากจุดเริ่มต้นที่สตาร์ทออกมาได้ 'แย่' เกินคาด จนกระทั่งมันกลายเป็นหนึ่งในเกมที่ปัจจุบันยังมีผู้คนเข้าไปเล่นอยู่เรื่อย ๆ ตลอดทุกวัน


ผิวเผินอาจดูไม่มีอะไรพิเศษ หากแต่มันคือเรื่องของการได้ 'สัมผัส' ถึงบางสิ่งบางอย่างที่มันถือเป็น 'ปัจเจกบุคคล' ของผู้ที่ได้เข้าไปเล่นเกมนี้

ณ ปัจจุบันตัวเกมยังคงมีการอัปเดตอยู่ และแน่นอนว่าได้มีการเพิ่มระบบใหม่ ๆ รวมถึงคอนเทนต์อีกจำนวนมากมายที่จะให้เล่าออกมาตรงนี้คงพูดได้ไม่หมด ซึ่งเทียบกับราคาเต็มเพียง 1,100 บาท (และตอนลดราคาที่จะอยู่เหลือราว ๆ 500 บาท) นี่ถือเป็นหนึ่งในเกมที่มีความคุ้มค่าเป็นอย่างมาก และเหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบในการได้สำรวจอวกาศ หรือการได้สวมบทบาทเป็น 'ใคร' ก็ได้ตามที่ตัวเองต้องการ

การได้เปิดกว้างในการสร้างเรื่องราวเป็นของตัวเอง ถือเป็น 'หนึ่ง' ในเสน่ห์อย่างหนึ่งของนิยามความเป็นเกม Open-World ในมุมมองสำหรับผม และแม้มันอาจไม่ตรงกับนิยามโดยทั่วไปมากนัก แต่อย่างไร ผมเชื่อว่าสิ่งหนึ่งที่ผมในฐานะของ 'นักเล่นเกม' คนหนึ่ง ผมค่อนข้างเชื่อมั่นว่าเราทุกคนล้วนเคยมีความรู้สึกที่อยากจะสวมบทบาทเป็น 'บางสิ่งบางอย่าง' ที่อาจแตกต่างจาก 'ตัวตนในโลกความเป็นจริง' อย่างที่เราเคยเป็นอย่างสิ้นเชิง

และนั่นแหละ ตรงจุดนั้นที่มันถึงทำให้ผมเริ่มสนใจแนวเกมประเภท RPG ขึ้นมา. . .

อย่างไรก็ดี วิดีโอเกมแนว RPG นั้นมีทั้งที่ 'ดี' และ 'แย่' หากแต่การจะแยกมันออกมานั้นคงเป็นสิ่งที่ขึ้นอยู่กับ 'จริต' ของผู้เล่นแต่ละคนที่ผมไม่ขอยุ่งเกี่ยวในรสนิยมเหล่านั้น ทว่าเรื่องหนึ่งที่ช่วงระยะหลังที่ผ่านมาผมเองกลับรู้สึก 'เบื่อหน่าย' มากที่สุด เห็นทีคงเป็นการที่วิดีโอเกมแนวนี้ค่อนข้างจะมีจำนวน 'เกร่อ' และ 'เยอะ' มากเกินความจำเป็นไปหน่อย

ซึ่งหากมีโอกาส ผมคงอาจจะได้บ่นระบายถึงเรื่องราวในมุมมองของการเพิ่มจำนวนที่เยอะมากขึ้นของเกมแนว RPG และแน่นอนว่านั่นอาจพ่วงรวมไปถึงหนึ่งใน 'ประเด็นร้อน' ที่มันข้องเกี่ยวกับเกม ๆ หนึ่งที่ผมเชื่อว่ามันกำลังกลายเป็นกระแสด้วยอยู่ ณ เวลานี้

แต่กว่าจะถึงตอนนั้น ผมคงอาจต้องอยู่เพื่อรอดูท่าทีตราบจนกว่าที่ 'ตัวเกม' จะออกมายลโฉมให้เห็นก่อนจะเป็นการดีเสียกว่า...


ความคิดเห็น