ความสัมพันธ์ทางไกล และการเข้ามาสู่โลกอันไร้พรมแดน (Longing Relationship & Parasocial Relationship)
(Credit - 짜장-bollzzalguy)
อีกไกลแค่ไหนคือใกล้
อีกใกล้แค่ไหนถึงเรียกว่า ‘ความแน่นแฟ้น’
เป็นที่น่าสังเกตว่าในช่วงเกือบหลายปีที่ผ่านมา รูปแบบความสัมพันธ์ของมนุษย์นั้นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไปมากกว่าที่มันเคยเกิดขึ้นในช่วงเวลาอดีต ก่อนที่การมาถึงของ ‘อินเทอร์เน็ต’ จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตของเราเสียจนขาดมันไม่ได้
ผมยังคงจดจำได้เป็นอย่างดีถึงการทำความรู้จักกับคนแปลกหน้าเป็นครั้งแรก แน่นอนว่าช่วงเวลาตอนนั้นถือว่ามันเป็นการเข้าหากันที่ค่อนข้าง ตรงไปตรงมา อยู่พอสมควร แม้ว่าในเรื่องของเจตนารมณ์แต่ละคนจะไม่เหมือนกันไปก็ตาม หากแต่ในท้ายที่สุด ลักษณะนิสัยของผู้คนจะเปิดเผยออกมาก็ต่อเมื่อเราได้ทำความรู้จักกับพวกเขานานในระดับหนึ่ง
อย่างไรเองแล้ว สิ่ง ๆ นั้นมันก็ไม่ได้สลักสำคัญ เท่ากับหัวข้อถัดไปที่ผมจะพูดหลังจากนี้
Good Morning, Good Afternoon, Good Evening
It's been a long time...
(Credit - AdachiT)
กราบสวัสดีอีกครั้ง เหล่าผู้รอดชีวิต…
ต้องขออภัยสักหน่อยที่ดูเหมือนว่าช่วงนี้ผมจะหายหน้าหายตาไปจากการเขียนบล็อกนี้ไปพอสมควร อันเนื่องมาจากเกิดเหตุการณ์คาดฝัน (แน่นอนว่ามันคือสิ่งที่ผมคาดคิดไว้แล้ว) ด้วยเหตุที่ว่า ณ เวลาในตอนนี้ขณะที่ผมกำลังจะเริ่มจุดหัวข้อประเด็นสำหรับการพูดคุยนั้น แล็ปท็อปที่ผมใช้งานอยู่เป็นประจำมีอาการผิดปกติบางอย่าง และอาจเป็นเหตุที่ทำให้ผมอาจจำต้องตัดสินใจในการ ‘ซื้อเครื่องใหม่’ สักวันหนึ่ง
ไม่ใช่ตอนนี้ ไม่ใช่ ณ เวลานี้
แต่เป็นเมื่อไหร่? นั่นคือคำตอบที่ผมกำลังมองหา
ความจริงแล้วคือ ระยะหลังจากการที่ห่างหายไปจากหน้าโซเชียลหรือแม้แต่การเล่นเกมของผม แน่นอนว่ามันก็มีช่วงเวลาที่ตัวผมเองได้หันไปใช้เวลาสำหรับการเขียนงานของตัวเองผ่านโทรศัพท์ ความน่ารำคาญเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ คือตัวอักษรที่มันค่อนข้างเล็ก ทว่านั่นอาจไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับหัวข้อการพูดคุยเสียหน่อย
สำหรับเดือนนี้ ผมอยากมาพูดถึงเรื่องของ ‘ความสัมพันธ์’ กัน :))
"ความสัมพันธ์" อาจเป็นได้ทั้งกับคนรัก ครอบครัว หรือแม้แต่กับคนรู้จัก ไม่ว่าใครก็ตามแต่ล้วนถือกำเนิดมันขึ้นมาพร้อมกับมัน อย่างไรเอง รูปแบบของความสัมพันธ์นั้นมักจะแตกต่างกันไปตามแต่ ‘บริบท’ ของแต่ละคน แต่ละสถานที่ และในแต่ละแห่งหน อย่างไรเอง ในทุก ๆ รูปแบบของความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นมักจะตามมาด้วยสิ่งที่เรียกว่า ‘ความผูกพัน’ อยู่อย่างเสมอ
เป็นเรื่องปกติทั่วไปสำหรับมันที่จะเกิดขึ้น หากแต่จะเป็นอย่างไร ถ้าหากว่าความผูกพันเหล่านั้นกลับกลายเป็นการเสพติดขึ้นมา?
Parasocial Relationship (ความสัมพันธ์แบบกึ่งมีส่วนร่วมทางสังคม)
(Credit - AdachiT)
เชื่อว่าอาจยังมีหลายคนคุ้นเคยกันบ้างไม่มากก็น้อย ความหมายของสิ่งที่เรียกว่า ‘ความสัมพันธ์แบบกึ่งมีส่วนร่วมทางสังคม’ มันหมายถึงอะไร
เพื่อที่จะให้สรุปแบบง่าย ๆ และได้ใจความสำคัญ โดยหลักแล้วมันหมายถึงการที่ผู้คนมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกัน โดยผ่านจากการรับรู้ตัวตนของคน ๆ นั้นเพียงแค่ด้านในด้านหนึ่ง หากจะให้เห็นภาพแบบง่ายคือการยกตัวอย่างระหว่าง ‘นักแสดง’ และ ‘คนดู’ ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างเปรียบเสมือนกับเป็นสิ่งที่ไม่อาจสามารถแยกจากกันได้ขาดโดยถาวร
ความสัมพันธ์แบบกึ่งมีส่วนร่วมทางสังคม ถือเป็นหนึ่งในปรากฏการณ์ที่มันเริ่มปรากฏขึ้นมาในช่วงไม่กี่ร้อยปีที่ผ่านมา หรืออาจนานกว่านั้น อย่างไรเองในแง่ของการที่ผู้คนจะรู้จักกับปรากฏการณ์เช่นนี้ย่อมมีจำนวนที่น้อยเกินกว่าจะเรียกว่ามันเป็น ‘ปรากฏการณ์’ ได้ จวบจนกระทั่งในช่วงเวลาช่วงปี 2019 ที่ผ่านมา สิ่งที่เรียกว่า Parasocial Relationship เริ่มเป็นที่พูดถึงมากขึ้นในหมู่ของนักสังคมวิทยา
หากจะถามว่าสิ่ง ๆ นี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง? เกรงว่าผมคงอาจต้องย้อนไปถึงเรื่องราวสมัยช่วงก่อนการมาถึงของโซเชียลมีเดีย
หากแต่อย่างที่ผมเคยบอกไว้ การย้อนรำลึกเพื่อเล่าถึงอดีตพวกนั้นมันไม่ได้สลักสำคัญเท่าไหร่ ประกอบกับด้วยอีกหนึ่งเหตุผลที่ผมเลือกจะไม่พูดถึงสิ่งนั้น นอกจากว่ามันมีประเด็นหัวข้อความน่าสนใจบางอย่าง ที่ผมอยากจะขอกล่าวถึงและบอกเล่าเอาไว้ อนึ่งคือเพื่อเป็นการย้ำเตือนถึง ‘เส้นแบ่ง’ ระหว่าง ‘ผู้สร้างผลงาน’ กับ ‘ผู้เสพผลงาน’ ที่ในหลายครั้งมันได้นำไปสู่โศกนาฏกรรมอันไม่คาดคิด
เมื่อช่วงราว ๆ ประมาณสัปดาห์กว่าก่อนหน้าที่ผมจะเริ่มกลับมาเขียนบล็อกอีกครั้ง ผมได้ไปเห็นข่าว ๆ หนึ่ง เนื้อหานั้นมันว่าด้วยเรื่องราวของ ‘สตรีมเมอร์สาว’ ชาวเกาหลีท่านหนึ่ง (ที่เธอได้ทำการจัดรายการอยู่ในแพลตฟอร์ม TikTok) โดยเธอนั้นมียอดผู้ติดตามหลักล้าน และยังมีการสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้ชมเฉกเช่นเหมือนกับอาชีพสตรีมเมอร์ทั่วไป (ซึ่งผมเคยเล่าถึงเรื่องของสิ่งที่เรียกว่า ‘การสตรีมมิ่ง’ ไปแล้ว)
หากแต่สำหรับในกรณีเรื่องนี้มันจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับในวงการวีทูปเบอร์ ทว่ามันจะเกี่ยวข้องกับส่วนของนักสตรีมเมอร์ซะเป็นส่วนใหญ่
สารภาพหนึ่งอย่างว่าผมไม่ได้มีความสนใจเกี่ยวกับงานด้านนี้มากนัก และที่สำคัญเองคือมองว่าการ ‘ถ่ายทอดสด’ ลงในช่องทางแพลตฟอร์มออนไลน์ไม่ใช่อะไรที่มันจะถูกจริตเสียเท่าไหร่ อย่างไรก็ตามเมื่อมันมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องของโลกในสื่อโซเชียลมีเดีย บวกกับยุคสมัยที่อิทธิพลของเหล่าผู้มีชื่อเสียงในทุกวันนี้ ดูแล้วจะมีอำนาจมากกว่าตัวของผู้ที่ทำงานอยู่ในระบบกฎหมาย (ที่ฟัง ๆ แล้วให้ความรู้สึกเหมือนกับอยู่ในประเทศใดประเทศหนึ่งยังไงอย่างนั้น)
ครั้นจะไม่พูดถึงมันคงไม่ได้ เพราะงั้นผมเองเลยขออยากใช้พื้นที่นี้สำหรับการพูดถึงมันแล้วกัน
ความสัมพันธ์ไร้พรมแดน (Borderless Relationship)
ต้นตออะไรคือสาเหตุที่ทำให้คน ๆ หนึ่งถึงเลือกที่จะยึดติดความสัมพันธ์ในรูปแบบที่ไม่ได้รู้จักกันแม้กระทั่งลักษณะนิสัยหรือตัวจริง นั่นคงอาจขึ้นอยู่กับ ‘ช่วงเวลา’ ที่พวกเขาต่างมีร่วมให้แก่กัน
บางความสัมพันธ์ส่วนใหญ่ ล้วนแล้วแต่เป็นความสัมพันธ์ในรูปแบบที่หวังถึงผลประโยชน์ที่มีต่อกันและกัน ทว่าการจะบอกว่ามันมี ‘ผลประโยชน์ร่วมกัน’ หรือไม่? นั่นก็ต้องดูที่เจตนารมณ์ ความต้องการ หรือการทำข้อสัญญาแลกเปลี่ยนที่อยู่ ณ เบื้องหลังนั้น ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งทำไปเพราะชื่อเสียงที่มากขึ้น เงินทองที่มีเยอะขึ้น หรืออาจเป็นเพียงเพราะอยากทำเพื่อให้กลายเป็น ‘กระแส’ เพื่อที่จะถูกคนพูดถึงไปตลอดกาล
Parasocial Relationship แม้ชื่อของมันอาจฟังดูเหมือนเป็นสิ่งที่ข้องเกี่ยวเฉพาะกับมนุษย์ หากแต่ในบางครั้งมันก็สามารถเกิดขึ้นได้กับ ‘ตัวละครในจินตนาการ’ เองก็ได้ด้วยเช่นกัน สาเหตุหลัก ๆ ของการที่ผมพอจะวิเคราะห์ได้มันคงมีไม่กี่อย่าง หากแต่ทั้งนี้ผมพอจะยกตัวอย่างมันได้บ้างไม่มากก็น้อย
หนึ่ง เกิดขึ้นจากการที่คน ๆ หนึ่งสูญเสียหรือไร้ที่พึ่งทางจิตใจ และต้องการหาสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาเพื่อทดแทนความสูญเสียตรงนั้น
สอง เกิดขึ้นจากสังคมและความเป็นอยู่ หากว่ากันตามประสบการณ์แล้วมันเกิดขึ้นด้วยสาเหตุของการที่ใครคนหนึ่งได้ ‘ยึดติด’ เกี่ยวกับสิ่งที่เขาเชื่อว่า ‘เขา’ คือสิ่งนั้น คือตัวแทนของสิ่งนั้น หรืออาจเปรียบเสมือนเป็น ‘ร่างจำแลง’ ที่เชื่อว่าถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อเติมเต็มจุดประสงค์บางอย่าง
สาม เกิดขึ้นจากความคลั่งไคล้ ความหลงใหลที่มีต่อตัวบุคคล ตัวละครสมมติ หรือในบางสิ่งบางอย่างที่มันข้องเกี่ยวกับการพยายามทำอะไรสักอย่างเพื่อหลุดพ้น หรือเพื่อที่จะเป็นในสิ่ง ๆ นั้น (ซึ่งในกรณีนี้ หลายครั้งมักจะถูกเข้าใจผิดว่าเป็น ‘คนวิกลจริต’ อยู่เสมอ เลวร้ายกว่าอาจถูก ‘ประหารทางสังคม (Social Execution)’ ไปโดยถาวร)
สามกรณีหลัก ๆ ทั้งหมดคือความคิดโดยคร่าวที่มันมีความเป็นไปได้เกี่ยวกับ Parasocial Relationship
ปรากฏการณ์ทางสังคมเช่นนี้ แม้โดยรวมมันอาจไม่ส่งผลอะไรใด ๆ ต่อความเป็นอยู่ของมนุษย์ก็จริง กระนั้นสิ่งที่มันน่าเป็นห่วงกว่าคืออิทธิพลของสื่อในยุคนี้มักจะหลงลืมไปว่า พวกเขาคือใคร และ มีหน้าที่อะไรบ้าง สิ่งหนึ่งที่น้อยคนจะรับรู้ได้ทัน ปฏิสัมพันธ์ส่วนใหญ่ของสังคมที่มันมีต่อกันทุกวันนี้มักไปในทางที่มีความก้าวร้าวและรุนแรงกว่าปีไหน ๆ แม้ที่ผ่านมาผมเองจะเริ่มสังเกตเห็นถึงแนวโน้มของโลกโซเชียลมีเดียที่นับวันมันยิ่งทวีคูณความเลวร้ายลงไปมากขึ้น และมากขึ้น มันยิ่งตอกย้ำให้ผมจำต้องคิดเพื่อหาวิธีการที่ไม่ใช่การตอบโต้ในแบบที่พวกสื่อทำ แต่เป็นการแสดงให้เห็นถึง ‘ผลกระทบทั้งหมด’ ของการที่เราปล่อยให้อิทธิพลของมันมาครอบคลุมชีวิตของเราไปแทน
เหมือนอย่างเช่นที่มันเป็นมาตั้งแต่ต้น
เราไม่อาจช่วยเหลือคนทุกคนได้ แต่เราสามารถที่จะช่วยเป็นแรงผลักดัน สร้างความตระหนักรู้ถึงเรื่องราวและปัญหาต่าง ๆ ที่มันเกิดขึ้น และแก้ไขมันก่อนที่มันจะลุกลามและสายเกินกว่าจะแก้
หากแต่ในขณะเดียวกันเอง ในส่วนของความสัมพันธ์ระหว่างเราที่มีต่อกัน ทุกอย่างนั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ และการให้ความเคารพและหวงแหนต่อสิทธิส่วนบุคคลที่เราพึงมี
ผมอยากให้ทุกคนลองคิดและจินตนาการว่า ‘ถ้าหากวันใดวันหนึ่งที่เรามีชื่อเสียง เมื่อถึงเวลานั้นเราจะทำยังไงกับมัน?’
การมีชื่อเสียงโด่งดัง มิได้การันตีถึง ‘ความน่าเชื่อถือ’
หากแต่มันแสดงถึงการมีอิทธิพลอำนาจในการชักจูงผู้คนได้อย่างง่ายดาย
จวบจนกระทั่งเมื่อ ‘ความจริง’ มันได้ปรากฏออกมา
(Credit - Bluebeel2)
ตัวผมนั้นค่อนข้างที่จะรู้สึก ‘กลัว’ การมีชื่อเสียงอยู่พอสมควร ด้วยเหตุผลที่ว่าในบางครั้งแล้วมันมีโอกาสในทุกเมื่อที่มันอาจนำพาสิ่งที่ผมไม่ทันได้คาดคิดว่าจะได้เจอกับตัวเอง แน่นอนว่าในฐานะของศิลปินหรือผู้สร้างผลงานแล้ว ‘ชื่อเสียง’ เสมือนเป็นสิ่งที่ได้มาจากการทำงานหรือการแสดงตัวต่อสาธารณชน
มันเป็นเรื่องธรรมดาอันแสนง่ายดาย ที่พวกเราจะสามารถรับมือกับสิ่งเหล่านั้น อย่างไรเองสิ่งที่แลกมากับการมีชื่อเสียง นั่นคือ ‘ความกดดัน’ ต่อการสร้างสรรค์ผลงาน ที่หากไม่มีการควบคุมหรือบริหารความเสี่ยงตรงนี้ได้ดี มันก็มีโอกาสที่จะทำให้เราตกกลายเป็นที่กล่าวถึง (ในทางที่ไม่ดี) ได้โดยง่าย
มีโอกาสอยู่เสมอที่มันอาจได้รับ ‘การประหารในสังคม (Social Execution)’
ซ้ำร้ายยิ่งกว่า อาจนำไปสู่ ‘จุดจบ’ ที่จะทำให้เหล่าผู้มีชื่อเสียงนั้นเขาได้ ‘อันตรธาน’ ไปตลอดกาล…
ความสัมพันธ์สามารถเป็นได้ทั้งสิ่งที่ช่วยเยียวยาบาดแผลทางใจ สิ่งที่เปิดโลกกว้างทางความคิด ยอมรับในวัฒนธรรมและความแตกต่างที่อาจเป็นโลกในอีกมุมหนึ่งที่เราไม่ได้สังเกตเห็น อย่างไรเอง ในทุกของความสัมพันธ์ที่ล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับคนมากกว่าแค่สองฝักฝ่าย มันกลับได้ขยายขอบเขตไปในรูปแบบที่กว้างไกลมากกว่าแค่เรื่องของการมีส่วนร่วมเพียงอย่างเดียว
ในบางครั้ง ความสัมพันธ์เหล่านี้มันทำให้เราตระหนักถึง ‘ความสำคัญ’ ของการให้เวลาและเอาใจใส่ มากกว่าที่จะทำไปเพื่อหวังผลประโยชน์ส่วนตน
หัวข้อของเรื่องราวความสัมพันธ์มันจะยังคงเป็นสิ่งที่น่าถกเถียงและนำมาพูดคุยกันอีกในอนาคต หากแต่ถ้าจะให้ผมได้สรุปถึงสิ่งที่ต้องการจะกล่าวถึง นั่นคือควรพึงระลึกไว้ถึง [ช่องว่าง] ระหว่าง "ผู้แสดง" และ "ผู้ชม" ไม่ว่าคุณจะอยู่ฝั่งไหนก็ตาม หาอยากที่จะขยับความสัมพันธ์ให้มากกว่าแค่การชื่นชมผลงาน สิ่งแรกที่ควรทำคือการแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาถึงแนวทางและจุดยืนของการเป็นผู้มีชื่อเสียงที่กลายเป็นที่จับตามองในสังคม
หากสิ่งที่คุณต้องการทำมีเจตนาเพื่อต้องการถกเถียงและตั้งคำถาม คุณก็ไม่ควรที่จะแสดงตัวอย่างเปิดเผยถึงเรื่องราวที่อยู่นอกเหนือจากหัวข้อที่แสดงออกมา
หรือในอีกกรณีหนึ่ง เมื่อการพยายามหลบเลี่ยงออกจาก ‘ความสัมพันธ์แบบกึ่งมีส่วนร่วมทางสังคม’ กลายเป็นสิ่งที่สร้างผลกระทบอย่างรุนแรงให้กับการใช้ชีวิตหรือการทำงาน ในบางครั้งสิ่งที่สามารถทำได้เห็นประสิทธิภาพมากที่สุด คือ การหายตัวไปอย่างเงียบ ๆ ท่ามกลางความอลหม่านของผู้คนในสังคมที่ยกย่องและเชิดชูบุคคล มากกว่าที่จะเป็นแนวความคิด หรืออุดมการณ์อันซึ่งนำมาสร้างข้อถกเถียงที่ต่างมีร่วมกันไปแทน
มันอาจไม่ได้มีประสิทธิภาพมากที่สุด
แต่อย่างน้อยก็ ‘ปลอดภัย’ สำหรับการปกป้องความเป็นส่วนตัว
หรือแม้แต่การได้เป็นอิสระโดยไม่ถูกผูกมัดด้วย "คำสัญญา"
วิธีเหล่านี้ไม่ได้ทำอย่างโดยง่ายนัก และผมอาจต้องเพิ่มเสียเล็กน้อยว่าในบางครั้งมันเป็นเรื่องของการสร้าง ‘ภาพลักษณ์ทางสังคม’ ที่เกิดจากเจตนาของการไม่พยายามทำตัวเพื่อเป็น ‘จุดศูนย์กลาง’ ของสิ่งใด นอกเหนือเพียงจากมันเป็นแค่การที่ตัวคุณเลือกจะซื่อตรงต่อความรู้สึกของตัวคุณเอง และรับรู้ว่าไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดที่มันเกิดขึ้น คุณไม่ได้ทำเพราะต้องการทำให้คนอื่นมารัก แต่มันคือการเข้าใจถึง ‘คุณค่า (Value)’ ในตัวเอง และนั่นไม่ใช่การกระทำที่ต้องรู้สึกแย่
Parasocial Relationship ถือเป็นปรากฏการณ์ในโลกยุคสมัยใหม่ที่จำนวนของมันเริ่มสังเกตเห็นได้ง่ายขึ้น ต่อให้ผู้สร้างผลงานเหล่านั้นจะไม่ได้ ‘ตระหนัก’ ถึงเรื่องนี้เลยก็ตาม ทว่ามันกลับเป็นความน่าสนใจที่การหันกลับมาตั้งคำถามถึงเรื่องนี้ มันทำให้ผมเริ่มคิดอย่างจริงจังถึงการใช้เวลาหมดไปกับสิ่งอันไม่พึงประสงค์ที่มันหมายถึงการกลับไปสู่ โลกโซเชียลมีเดีย ไปอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงเวลาเพียงไม่นาน ผมได้พบเจอกับเหตุการณ์อันแปลกประหลาดอย่างหนึ่งที่มันเกิดขึ้น ณ สถานที่อันเคยเป็นแหล่งชุมชนของผู้เรียกตัวเองว่าเป็น ‘นักเขียน’ ซึ่งในสถานที่แห่งนั้นมันเปรียบเสมือนเป็น ‘บ้านหลังที่สาม’ สำหรับตัวผม ณ ครั้งที่กำลังอยู่ในช่วงวัยของการค้นหาตัวตน
ความไม่แน่นอนของชีวิตที่มันฉุดให้ผมรู้สึกไม่มีความสุขเสียเท่าไหร่ ทว่าในความขุ่นมัวของอารมณ์และการแสดงสีหน้าอันขรึมเงียบ ผมเองก็มีสิ่งสำคัญที่ต้องการจะทำให้สำเร็จ (ซึ่งแน่นอนว่าผมทำได้ :D)
อย่างไรเอง นานวันเข้าเมื่อการเปลี่ยนแปลงมันมาเยือน เมื่อวันที่ความเศร้าและความกดดันจากครอบครัวมันกลายเป็น ‘อุปสรรค’ ใหญ่ที่ทำให้ผมเกิดอาการ "ความเจ็บป่วยทางอารมณ์และจิตใจ (Mental Breakdown)" ขึ้นมา ตอนนั้นเองก็เป็นช่วงเวลาเดียวกันที่ผมเริ่มสังเกตเห็นได้ว่าสิ่งที่เปลี่ยนไปไม่ใช่แค่เทคโนโลยี แต่กลับกลายเป็น ‘โลกของความเป็นจริง’ ที่แม้จะถูกย่อขนาดลงมาให้สะดวกและเข้าถึงได้รวดเร็ว แต่ความสะดวกพวกนั้นกลับทำให้เราหลงลืมถึง ‘ความเข้าใจ’ และ ‘การให้ความเคารพ’ ในยามที่พวกเราต่างล้วนเป็นเพียง ‘ผู้ไม่ระบุตัวตน (Anonymous)’
ผมเคยพูดเรื่องนี้อยู่หลายครั้ง และวิพากษ์วิจารณ์ถึงสังคมในโลกออนไลน์มาเรียกได้ว่านับเป็นเวลาเกือบครึ่งค่อนชีวิตของตัวเอง การทำเช่นนั้นไม่มีผลประโยชน์อะไรแอบแฝงมากกว่าเพียงการ ‘ตั้งคำถาม’ ถึงสิ่งที่เป็นอยู่ สิ่งที่น้อยคนเลือกที่จะครุ่นคิดถึงมัน หากแต่เลือกในการเดินไปตามครรลองทางกระแสสังคมที่เป็นไปอย่างเฉียบพลัน พวกเขาอาจไม่รู้ว่าสิ่งต่าง ๆ ที่พวกเขากำลังคุ้นชินกับมันในทุกวันนี้ แท้จริงพวกมันได้ เปลี่ยนแปลง ไปจากยุคสมัยที่พวกเขาอยู่เอาอย่างมาก และในบางครั้งเมื่อความผันแปรนี้มันเข้ามา สิ่งที่พวกเขาสมควรทำกลับกลายเป็นการ ‘ปฏิเสธ’ และกักขังให้ตัวเองอยู่ในโลกของ ‘ห้องสะท้อนเสียง (Echo Chamber)’ อันเป็นความอันตรายที่จะส่งผลระยะยาวต่อความคิดทางสมองของพวกเขา
หากให้สารภาพตามตรงถึงเรื่องราวการรับมือกับสิ่งเหล่านี้ ผมคงพูดได้เพียงแค่ว่า ผมเหนื่อย กับสิ่งที่มันเป็นไปโดยปัจจุบัน
แต่ความเหนื่อยนี้มันเทียบกันไม่ได้ เมื่อชผมได้มองภาพรวมใหญ่ ๆ ของความเป็นไปทั้งหมดที่มันหมุนวนอยู่รอบตัวของเรา ไม่ใช่แค่ผม ไม่ใช่แค่คุณ เผลอ ๆ แล้วนี่อาจเป็น ‘อุปสรรคใหญ่’ ชิ้นหนึ่งที่ไม่ต่างอะไรจาก ‘บอสโลก (World Boss)’ ที่เราต้องร่วมมือกันจัดการ
ศึกนี้ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง
ไม่ใช่ของผู้มีอำนาจ ไม่ใช่ของผู้มีอิทธิพล
แต่เป็นของ ‘ประชาชน’ ผู้ปราศจากการถูกชังจูงด้วยแนวคิดเบื้องหลัง
เราต่างคือ ‘ประชาชนโลก (Global Citizen)’ ที่คาดหวังในสิ่งเดียวกัน
และมันถูกเรียกว่า ‘สันติภาพ (Peace)’
===================
อาจต้องขอสารภาพสักเล็กน้อยว่าจริง ๆ หัวข้อของบล็อกนี้ควรจะเป็นสิ่งที่ผมโพสต์ลง ก่อนที่ตัวของบทความอย่าง ‘บอกเล่าประสบการณ์ Ep.3’ ในเกม บลู อาร์ไคฟ์ ในเนื้อเรื่ององก์ที่ 3 ซึ่งผมยกย่องว่ามันมีความเข้มข้นในแบบที่ผมไม่คิดว่าทั้งชีวิตจะรู้สึกแบบนั้นมาก่อน
ภายใต้ฉากหน้าของความเป็นวิดีโอเกมกาชา ด้วยงานศิลปะอันเป็นมิตรต่อจิตใจ (?) ไล่ไปจนถึงการนำเอา Reference ของสิ่งต่าง ๆ ที่มาจากเรื่องราวในโลกของความเป็นจริง รังสรรค์มันออกมาอย่างแนบเนียนและเข้ากันได้กับโลกของเมืองแห่งการศึกษา (คิโวทอส) ซึ่งผมถือว่ามันมีความพิเศษบางอย่างที่มัน ‘ดึงดูดใจ’ จนทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะพูดถึงมันต่อในอนาคต
ความสนใจตรงนั้นก่อเกิดกลายเป็นการเขียน แฟนฟิคชั่น ที่มันทำให้ผมได้ย้อนมองดูถึงการขับเคลื่อนความปรารถนาอันแรงกล้าที่อยู่ข้างใน สาเหตุส่วนหนึ่งที่มันทำให้ผมเรียนรู้ในการขวนขวายในจุดประสงค์ของการได้ทำให้ตัวเองไม่รู้สึก ‘หมดไฟ’ ลงไปกับการเขียนงานของตัวเอง
Blue Archive Fan-Fiction Project
ผมไม่อาจเรียกมันได้อย่างเต็มปากนักว่านี่คือ ‘งานประจำ’
และผมคงบอกไม่ได้ว่าหากในอนาคต เมื่อได้กลับมาย้อนมองดูสิ่งทั้งหมดนี้ที่ผมได้กระทำ สิ่งเหล่านั้นมันจะนำพาตัวผมเองไปสู่ทิศทางตรงไหนในอนาคต
เรื่องหนึ่งที่อาจบอกได้ คงมีเพียงแต่ต้อง ‘เดินหน้าต่อไป’
(Credit - avatar-mel)
ตราบจนกว่าที่ขาสองข้างจะหมดแรงลง
ตราบจนเมื่อถึงช่วงเวลาที่ตัวผมเองได้เข้าสู่วัยแห่งความเปลี่ยนแปลง
ในอีกสองปีข้างหน้า...
(Credit - #shirtformonty)












ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น