[Midnight Thoughts] วัฒนธรรมโบราณ การตั้งคำถาม และเหตุผลการมีอยู่ของศาสนา



 Are we all one?

ณ ทุกช่วงของการพยายามจะเปิดหน้าบล็อกเพื่อจะเขียนอะไรสักอย่างหนึ่ง ผมมักจะอดไม่ได้ทุกทีที่จะรู้สึกแสบตาให้กับความ 'ขาวสว่าง' ของหน้ากระดาษโล่ง ๆ ที่มันควรน่าจะมีอะไรเพื่อเซฟให้สายตาของผมไม่บอดไปซะก่อน (และใช่... นี่เป็นคำบ่นล้วน ๆ xD)

อย่างไรเสียเอง ทั้งหมดนั้นคงไม่ใช่เรื่องสำคัญมากไปเท่าไหร่นัก เพราะผมนั้นมีเรื่อง ๆ หนึ่งที่มันค่อนข้างติดใจตัวผมมาได้สักระยะใหญ่ ๆ เกี่ยวเนื่องมากับประสบการณ์จากที่ผมได้เจอเมื่อสักราว ๆ สี่วันก่อนหน้านี้เห็นเป็นไปได้


วัฒนธรรม & ธรรมเนียม (Culture & Traditional)

ถ้าว่ากันถึงเรื่องราวของสองอย่างนี้แล้ว แน่นอนว่าตัวผมเองคงไม่มีความเห็นอะไรที่ไปในทาง 'ต่อต้าน' หรือ 'สนับสนุน' อะไรมากสักเท่าไหร่ ไหนจะหมายรวมไปยันเรื่องของสิ่งละเอียดอ่อนที่ดันไปแตะเกี่ยวเนื่องกับเรื่องของความเชื่อไปอีกต่างหาก ซึ่งเราต่างรู้กันดีว่าเรื่องเหล่านี้ ล้วนเป็นสิ่งที่ยากจะอธิบายได้ให้กับผู้คนรุ่นก่อนหน้าได้ฟัง ตระหนัก และทำความเข้าใจมันใหม่อีกครั้ง

ทั้งหมดมันเกิดขึ้น ณ ช่วงเวลาของวันที่ผมได้รับรู้ข่าวคราวอันน่าเสียใจเกี่ยวกับเรื่องของญาติคนหนึ่ง ผู้ที่ได้จากไปด้วยโรคร้ายที่เรียกว่า 'มะเร็ง (Cancer)'

ที่จริงเอง สายสัมพันธ์ระหว่างผมกับเหล่าบรรดาญาติ ๆ นั้นมักจะไม่ค่อยเป็นอะไรที่อยากกล่าวถึงเสียเท่าไหร่นัก ว่ากันตรง ๆ เองแล้ว แทบมีน้อยมากที่ผมจะยินยอมในการเปิดเผยเรื่องราวเบื้องหลังของตัวผมเอง เพราะโดยมากมันมักจะถูกเก็บเอาไว้อยู่ใน 'ตู้นิรภัยแห่งความทรงจำ' ที่ผมมีความตั้งใจในการจะนำมันถ่วงลงไปใต้มหาสมุทรลึกมานาน เกลียดชังในการพยายามจะนำมาเพื่อพูดหรือกล่าวถึง ไม่เว้นแม้แต่การพยายามที่จะตั้งใจในการ ทำลายมันทิ้ง เพียงเพราะทั้งหมดทั้งมวลมันเป็น 'ผลพวง' ที่ผมไม่ได้ต้องการให้มันเกิดขึ้น

หากแต่ครั้นแล้วเอง สิ่งเหล่านี้กลับยิ่งปรากฎให้เห็นเด่นชัดมากกว่าเดิม เมื่อวัยได้ล่วงเลยไปมากขึ้น ได้มองเห็นถึงปัญหาต่าง ๆ ที่มันได้สั่งสมเอาไว้ ณ ภายใต้ความปกติที่มัน 'ไม่ปกติ' เกินกว่าที่ผมจะสามารถทนอยู่กับสิ่ง ๆ นี้ได้นานนัก

ผมพยายามในการที่จะต่อสู้กับความคิดที่มันขัดแย้งกัน ตัวตน ณ ช่วงสมัยยังเป็นเด็กน้อยกำลังถูกฆ่าลงไปอย่างช้า ๆ ก่อนที่มันจะถูกแทนที่โดยวัยหนุ่มผู้มีอาการ Mental Breakdown จนไม่อาจที่จะสามารถระบายความรู้สึกออกมาได้ตรง ๆ 

และ ณ ตอนนี้ เจ้าร่าง ๆ ตนนั้นมันก็ได้กลายมาเป็นตัวตน ๆ หนึ่งที่ผมเรียกมันว่า 'ชายใส่สูท (Man with Suit)'


Come here, Ride with me (literally)


ในส่วนของการสูญเสียญาติไปนั้นไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเจอ อย่างไรเอง ผมเคยพูดถึงเรื่อง ๆ นี้ไปแล้วเมื่อหลายบล็อกก่อนหน้านี้ แน่นอนว่าสิ่งที่เรียกว่า 'ความตาย' ถือเป็นเรื่องธรรมชาติเอามาก ๆ โดยเฉพาะถ้าหากมันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตัวของมนุษย์ด้วยแล้ว สิ่งเหล่านี้ค่อนข้างถือเป็น 'วัฐจักรของสิ่งมีชีวิต' ที่มันล้วนวนเวียนเข้ามาเป็นบางเวลา

อย่างไรเองก็ดี สำหรับส่วนหนึ่งของสิ่งที่เรียกว่า 'วัฒนธรรม' และ 'ธรรมเนียมการปฏิบัติ' แน่นอนว่านั่นเองก็เป็นเรื่องที่ขึ้นตรงอยู่กับความเชื่อทางศาสนา สิ่งเหนือธรรมชาติ หรืออะไรใด ๆ ก็ตามแต่ที่เราต่างจะตีความไปตามความต้องการของเราเอง

ณ เมื่อวันที่งานศพญาติของผมได้ถูกจัด ช่วงเวลานั้นมันค่อนข้างเป็นช่วงที่ผมติดพันอยู่กับโลกในหน้าจอมากเกินไปเสียหน่อย (และผมเองก็ยอมรับนั้นแต่โดยดี) ซึ่งอาจด้วยความที่มันเองก็ถือเป็น 'ความน่าเศร้า' อย่างหนึ่งด้วย แต่ในทางกลับกันผมเองก็ค่อนข้างที่จะรู้สึกไม่ค่อยอยากที่จะ 'สุงสิง' กับเหล่าบรรดาผู้คนในเครือญาติตัวเองไปมากนัก ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่ใช่คนไม่ดี หากแต่การพยายามจะอธิบายถึงสิ่งที่ 'ตัวเรา' เป็นให้กับพวกเขานั้นมันเป็นเรื่องที่ 'ยากยิ่ง' และอาจจะซับซ้อนมากเกินกว่าจะอธิบายไปเสียหน่อย

การเติบโตมาซึ่งครอบครัวที่สภาพแวดล้อมรอบตัวไม่ได้ส่งเสริมในเรื่องของการพยายามในการตั้งคำถาม หรือแม้แต่การได้ใช้ความคิด มันเป็นเรื่องยากเอามาก ๆ ที่เมื่อคุณเติบโตขึ้นมา มีโอกาสน้อยที่คุณเองจะเข้าใจถึง 'หลักการทำงานของโลก' ทั้งใบที่ส่วนมากมันล้วนไม่ได้หมุนวนรอบตัวหรือรอบใคร แต่กลับกลายเป็นตัวของสังคมและค่านิยมไปเสียเอง ซึ่งหลายครั้งมันดันผูกโยงเข้ากับเรื่องของ 'การประสบความสำเร็จในชีวิต' และ 'การได้มาซึ่งความมั่งคั่ง'

ทั้งสองอย่างนี้ ล้วนเป็นสิ่งที่เห็นภาพได้อย่างชัดเจนแบบที่เราปฏิเสธกันไม่ได้

และใช่... หลายครั้งนั้นแล้ว คนที่จะประสบความสำเร็จได้ ก็มักจะเป็นคนที่มี 'โอกาส' มากกว่าคนอื่นอยู่เสมอ


การใช้เหตุผล (Reasoning)

ผมเองคงจะพร่ำบ่นเยอะเกินไปเสียมากกว่าจะใช้คำว่า 'การตั้งคำถาม' ไปก็ได้ จริงหรือเปล่า?

แต่อย่างไรเอง ท้ายที่สุดสิ่งเหล่านี้มันก็ย้อนกลับมาเพื่อให้ตัวผมเองได้ตระหนักคิดถึงมันอยู่เสมอ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม การพยายามที่จะตั้งคำถามนั้นคงเป็นเรื่องที่ผมไม่สามารถหลีกเลี่ยงไปได้ เสมือนว่ามันทำให้ผมรู้ตัวเองอยู่ตลอดเวลาถึงสิ่งที่กำลังจะกระทำ ซึ่งนั่นอาจหมายถึงความพลั้งเผลอในการกระทำตาม 'สันดานดิบ' ของตัวเองไปด้วย...

แน่นอน การปล่อยให้ตัวเองอยู่ในห้วงอารมณ์และความรู้สึกที่มันเกิดขึ้นจากเพียง 'อีโก้ (Ego)' ของเรา มันเป็นเรื่องง่ายดายและไม่ได้ใช้ความพยายามมาก เทียบกันแล้วกับผู้ที่ปล่อยตัวเองให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล คนเหล่านั้นส่วนใหญ่มักจะตายด้วยน้ำมือของตัวเอง บ้างบางครั้งก็อาจพังเพราะถูกใครบางคนที่อยู่เหนือกว่าเหยียบซ้ำซะจนไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะลุกขึ้นมา

ช่วงเวลาหนึ่ง ผมนั้นเคยมีความคิดที่ไม่ค่อยดีมากเท่าไหร่เกี่ยวกับเรื่องราวของญาติตัวเอง เกี่ยวกับเรื่องของวัฒนธรรมและธรรมเนียมอันคร่ำครึที่เหตุไฉนแล้ว การกระทำพิธีงานศพนั้นจึงใช้ระยะเวลานานเกินกว่าที่มันควรจะเป็น? เหตุใดเราไม่สามารถที่จะสามารถกระทำพิธีกรรมแบบเรียบง่ายที่ไม่กินระยะเวลานานนัก?

ผมรู้ว่าฟังดูนี่อาจดูเหมือนว่าตัวเองกำลังลบหลู่สิ่งที่เรียกว่า 'ศาสนาพุทธ' ไปอยู่ หากแต่มันก็อดไม่ได้อยู่ดีที่ผมคิดว่าพวกเราเองควรจะต้องหันมาเพื่อมองมันใหม่อีกครั้ง ผมไม่อาจเข้าใจได้ว่าทำไมแล้วเมื่อใครสักคนได้เสียชีวิตลงไป การนำเหล่าภิกษุสงฆ์มาเพื่อสวดให้ดวงวิญญาณได้จากไปอย่างสงบสุข อะไรกันที่ทำให้พวกเขาถึง 'เชื่อ' ว่าพิธีกรรมนั้นจะทำให้สิ่งนามธรรมเหล่านั้นสามารถจากไปอย่างสงบสุขจริง ๆ

ผมไม่อาจทำความเข้าใจได้ถึงเรื่องนี้ และแม้ต่อให้พยายามจะ 'ตีความ' ไปถึง 'สิ่งนามธรรม' นี้ไปก็ตาม ท้ายสุดแล้วมันก็จะมาตันกับคำถามที่ว่า 'เราจะเชื่อได้อย่างไรว่ามันเป็นความจริง?'

นั่นยังไม่นับไปถึงเรื่องของการจัดงานเลี้ยง หรือแม้แต่สิ่งที่อยู่นอกเหนือจากพิธีรีตองตามความเชื่อไปอีก ซึ่งหลาย ๆ ครั้งผมมักอดไม่ได้ที่จะได้แต่ขมวดคิ้วอย่างสงสัยในทุกครั้ง

ทว่าการพยายามหาคำตอบของคำถามนั้น ไม่แน่ว่าบางทีแล้วมันอาจทำให้อาการ 'วิกลจริต' ของผมเองกำเริบไปรุนแรงมากกว่านี้


ผมอาจคงต้องหยุดในการเขียนส่วนนี้ไว้ก่อน การพยายามมองหาซึ่งคำตอบของเรื่องราวนี้คงใช้เวลานานเกินกว่าที่ตัวผมเองจะมีชีวิตอยู่ยืนยาวไปได้นาน ๆ ก่อนที่สังคมมันจะย่ำแย่ลงไปมากกว่านี้

แต่ไม่ว่าด้วยอะไรก็ตาม ในท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่ผมสามารถพูดได้ คงเป็นเพียงเรื่องของช่วงเวลาแห่งการเฝ้ามองดูเหล่าผู้คนเก่านั้นตายลงไป ผมรู้ว่ามันอาจฟังดูค่อนข้างรู้สึกแย่ไปเสียหน่อย ทว่าอย่างน้อย ๆ ที่สุด เรื่องเดียวที่ผมทำได้คงไม่ต่างอะไรไปจากทุก ๆ คน เหล่าผู้คนใน Generation Y และ Z ทั้งหลายแหล่ เมล็ดพันธุ์ของผู้ตระหนักรู้ถึงสิ่งต่าง ๆ มากมายที่มันไร้ซึ่งเหตุผลมารองรับ

ขอให้คืนนี้หลับฝันดี

ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ




ความคิดเห็น