[Venting Zone] ความพยายามที่มองไม่เห็น บาดแผลของศิลปินผู้ถูกทิ้งให้โดดเดี่ยว
สวัสดีอีกครั้ง เหล่าผู้ที่ยังมีชีวิตรอด
ไม่ว่าจะด้วยเพราะเหตุผลอะไรก็ตาม ทว่าทั้งนี้เองเนื่องด้วยสาเหตุของการที่ผมติดพันกับเรื่องของ 'วิดีโอเกม' มากจนเกินไป มันเลยเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมถึงได้กลับมาสู่การเขียนบล็อกนี้ มากกว่าที่จะหันเหไปสำหรับการปั่นงานเขียนหลักของตัวเอง (ที่ผมไม่สามารถให้คำตอบได้ว่ามันจะจบลงเมื่อไหร่)
อย่างไรเอง เพื่อไม่ให้เสียเวลา ผมเองคงขอข้ามเรื่องราวสำหรับการพูดถึงประเด็นหัวข้อในเรื่องชวนให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ในสังคม เพราะในครั้งนี้ผมอยากจะขอใช้ 'พื้นที่ส่วนนี้' สำหรับใช้เป็นหนึ่งใน 'กระบอกเสียง' สำหรับตัวผมเอง ส่งต่อไปถึงยังอนาคตอีกสามหรือสี่ปีข้างหน้า อีกหนึ่งช่วงเวลาที่ผมไม่รู้ว่าตัวผมจะยังประคับประคองสติสัมปชัญญะของตัวเองไม่ให้ 'สติแตก' เกินไปจนเผลอทำเรื่องไม่ดีเข้า
มันอาจไม่ใช่เรื่องที่ชวนน่าหวั่นวิตกขนาดต้องได้รับการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน
แต่เพื่อความเข้าใจตรงกัน ผมอยากจะขอใช้พื้นที่ส่วนนี้สำหรับการ 'บ่นระบาย' ถึงสิ่งที่มันอัดอั้นตันใจผมมาอย่างช้านาน
อาจต้องขอเตือนไว้เสียล่วงหน้าว่าการบ่นระบายในครั้งนี้ มันมีเหตุผลอันเนื่องมาจากการที่ตัวผมเองใช้เวลาอยู่กับงานเขียนของตัวเองมานับกว่าแรมปี พ่วงมาพร้อมกับคำถามชวนให้น่าคิดมากมายเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในโลก โดยมีปัญหาภายในครอบครัวบางอย่างที่มันไม่อาจถูกแก้ไขได้ในเร็ววัน เผลอ ๆ ไปแล้ว ผมอาจต้อง 'ทน' อยู่ในที่ตรง ๆ นั้นตราบจนกว่าที่ตัวเองจะสามารถตั้งหลักเพื่อย้ายออกไปหาถิ่นที่ทางของตัวเอง (แม้ว่าโอกาสนั้นจะเป็น 0.0001% ไปก็ตามที)
อย่างไรเสีย ถ้าหากว่าการระบายในครั้งนี้มันสามารถช่วยให้ผมสามารถปรับเปลี่ยน 'มุมมองความคิด' บางอย่างไปได้ ถึงคราวนั้นสิ่งเหล่านี้มันอาจเป็น 'เครื่องย้ำเตือน' ถึงวันเวลาที่ผมเองได้หันมาทบทวนความคิดตัวเองไปในช่วงวัย 27 ปีบ้างไม่มากก็น้อย จริงไหม? :)
***Disclaimer: อาจมีการบรรยายเนื้อหาเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายเล็กน้อย ดังนั้นเสพอย่างมีวิจารณญาณ***
ต้องมากแค่ไหนถึงจะพึงพอใจ
ต้องดำดิ่งลงไปลึกถึงขั้นไหนที่ 'เรา' จะได้ในสิ่งที่ต้องการ
เมื่อไหร่กันที่ 'บาดแผล' มันจะถูกเยียวยาจนไร้ซึ่งสิ่งที่ติดค้างอยู่ในหัว
ความเจ็บปวดหนึ่งอย่างสำหรับผมที่มีต่อตัวของผลงานที่มันได้ดำเนินมาอย่างระยะเวลาอันยาวนาน นั่นคือการที่ผมไม่สามารถที่จะพูดได้อย่างเต็มปากว่า Codename 5567 เป็นนิยายแนวอาชญากรรมที่มีเรื่องราวชวนให้ขบคิดมากมาย จนแม้แต่ตัวผม ก็อดที่จะรู้สึกกังวลใจไม่ได้ว่าอาจมี 'บางจุด' ที่มันดันไปนำเอาประเด็นอันละเอียดอ่อนบางอย่างมาใช้เป็น 'แรงบันดาลใจ (Inspiration)' จนอาจก่อให้เกิดความเสียหายและผลกระทบทางสังคมเข้าในสักวัน
อย่างไรเสีย รองลงมาจากเรื่องของผลงานที่กำลังทำอยู่ อีกเรื่องหนึ่งที่มันค่อนข้างมีปัญหามากเป็นพิเศษคือการที่ผมขาดซึ่งสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจมาอย่างเนิ่นนาน ขาดซึ่งการได้พูดคุยหรือการได้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน ไม่ว่าจะด้วยทั้งคนในสายงานเดียวกันก็ดี หรือแม้แต่กับผู้ที่อยู่คนละโลกกับที่ผมกำลังใช้ชีวิตไปอยู่ก็ตาม
ทุกวันของการเอนกายนอนลงไปกับเตียง ผมไม่สามารถที่จะสลัดหัวถึงความเป็นไปได้ที่ตัวเองจะกระทำการ 'อัตวินิบาตกรรม' ด้วยการเหนี่ยวไกใส่สมองของตัวเอง ซึ่งอาจดูเหมือนว่านั่นเป็นสิ่งที่ลงมือทำได้ง่าย หากแต่ ณ ภาพของความเป็นจริง การที่ใครสักคนคิดจะเหนี่ยวไกยิงตัวเองนั้นมีโอกาสที่มันจะพลาดท่าจนอาจก่อให้เกิดผลร้ายแรงที่ตามมามากกว่าแค่การ 'จากลา' โลกนี้ไปด้วยสาเหตุของการดำดิ่งลงในห้วงจิตใจอันดำมืดของมนุษย์มากจนเกินพอดี
และผมกำลังเป็นแบบนั้น ผมกำลัง 'ดำดิ่ง' ลงในผลงานของตัวเองที่ไม่มีแม้แต่เสียงตอบรับใด ๆ นอกเหนือจากเพียง 'ความเงียบงัน' ที่มีแต่การที่ตัวผมจำเป็นต้องเดินทางไปอย่างโดดเดี่ยวและลำพัง
ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองได้ออกมาใช้ชีวิตปลีกวิเวกและห่างไกลจากผู้คนมานานแสนนานเท่าไหร่
มันอาจนานเกินพอที่ตัวผมจะตระหนักไปเสียด้วยซ้ำว่าตอนนี้ผมเหมือนถูกทิ้งห่างอยู่ในจุดที่ไม่มีแม้แต่ใครสักคนจะคอยให้การสนับสนุน
เรื่องเดียวที่มันยังคงทำให้ผมสามารถเข็นเรื่องราว รวมไปถึงมองหาวิธีการในการรักษาแผลใจและแผลกายทั้งหมด มันก็ด้วยเพราะเรื่องของสัญชาตญาณการเอาตัวรอดที่มีอยู่ดั้งเดิมทั่วไป จิตใจที่แตกสลาย ไม่อาจเทียบเท่าได้กับสารเคมีในสมองที่มันหลั่งออกมาเพื่อกระตุ้นให้เราจำเป็นต้องมองหาสิ่งที่ช่วยให้ร่างกายของเราได้รับพลังงานและมีลมหายใจอยู่ต่อไปได้ แม้ว่านั่นอาจต้องแลกมากับ 'ความทุกข์ทรมาน (Torturing)' อย่างแสนสาหัสจากการต้องอยู่เพียงลำพัง ไร้ซึ่งมิตร ไร้ซึ่งเพื่อนฝูง และไร้ซึ่งแม้แต่การได้มีปฏิสัมพันธ์เข้ากับผู้คน
มันไม่ใช่ว่าผมไม่ชอบการคุยกับพวกเขา แต่ผมหวั่นเกรงในความที่ตัวผมเองค่อนข้าง 'ยึดติด' อยู่กับการพยายามคงเอาไว้ซึ่งการเป็น 'ผู้ฟังที่ดี' ปราศจากตาชั่งและไม้บรรทัดที่มีไว้เพื่อใช้ตัดสิน 'ใคร' หรือ 'อะไร' สักอย่างหนึ่งที่เราไม่ได้รู้ถึงเรื่องราวเบื้องหลังของมันไปจริง ๆ
สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่เรื่องของมุมฝั่งที่ผมได้จากมา แต่มันหมายถึงเหล่าคนรอบตัวของผมที่ตัวเองเริ่มสังเกตได้ว่าพวกเขาดูจะมี 'อนาคตที่สดใส' และ 'ก้าวไกล' ไปมากกว่าตัวผมเองอย่างมาก
ได้แต่เคว้งคว้างล่องลอยสู่คืนที่มืดมิด
ไม่มีทิศทางไป เมื่อต้องเสียเธอ
ได้แต่เคว้งคว้าง
เหมือนทุกอย่างเป็นเพียงภาพเบลอ
โลกที่ฉันยืน พังทะลาย
อาจเป็นไปได้ว่าต้นทุนและโอกาสของเรามีไม่เหมือนกัน ถึงกระนั้นมันก็อดไม่ได้อยู่ดีเสียที่ในหลายครั้ง เราต่างมีความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ถึงช่วงเวลาเมื่อครั้งอดีตที่ผ่านมา มันเต็มไปด้วยหลากหลายนับล้านความรู้สึกมากมายที่อยู่ในห้วงเวลาช่วงนั้น แต่โดยส่วนมากสำหรับผม มันค่อนข้างเต็มไปด้วย 'ความโสมม' นับครั้งไม่ถ้วนที่ผมอยากจะหลงลืมมันไปให้ได้
ซึ่งนั่นยังไม่อาจนับไปถึงเรื่องที่ว่ามันดันกลายเป็นจุดที่ทำให้ผม 'ดำดิ่ง' กับการสร้างผลงานของตัวเองลงไปมากขึ้น และมากขึ้น มากขึ้นไปอีกตราบจนกว่าที่จะถึงจุดที่มันสามารถทำให้ตัวผมได้มี 'ที่ยืน' ของตัวผมเอง เสมือนกับว่ามันคือบ้านหลังเล็ก ๆ ที่ภายนอกอาจดูเปิดกว้าง ทว่าภายในกลับดูมืดสลัวเสียจนยากจะมองเห็นได้ว่ามันมีอะไรหลบซ่อนไว้อยู่
แรกเริ่มผมอาจคุ้นชินในความมืดสลัวนี้ หากแต่ตอนนี้ สิ่งจำเป็นที่ผมควรทำมากที่สุดคือการหาโคมไฟ หรือปรับเปลี่ยนให้บ้านหลัง ๆ นี้มีอากาศถ่ายเท และแสงอาทิตย์ให้มันลอดผ่านเข้ามาเพื่อให้ตัวเองได้รู้สึกชุ่มชื่นบ้างเล็กน้อย
ไม่ก็อาจเปลี่ยนไปในวิธีการเดินออกจากที่แห่งนั้น กลับเข้าสู่ 'สังคม' ที่มันเปลี่ยนแปลงไปและไม่เหมือนเดิม
นั่นคือสองตัวเลือกที่โผล่เข้ามาในหัวของผม แต่การตัดสินใจจะเป็นยังไง มันก็คงอยู่ในดุลยพินิจที่ผมจะลงมือทำสิ่ง ๆ นั้นโดยปราศจากการถูกควบคุมหรือห้ามปรามจากคนในครอบครัวตัวเองอยู่ดี
และสุดท้าย ไม่ว่ามันจะเป็นทางเลือกแบบใด หากแต่ปลายทางทั้งหมดที่มันได้ถูกกำหนดมาวางไว้แล้ว นั่นคือ 'จุดจบ' ที่ผมอาจต้องตายอย่างโดดเดี่ยวและเพียงลำพัง แม้จะหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทว่าอย่างไรเสีย ผมหวังว่าสิ่ง ๆ นี้มันคงเป็นสิ่งที่เป็นความจริงมากที่สุดเท่าที่ผมได้เห็นมันมา...
--------------------------------------------------------
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น