ความเชื่ออันงมงาย และสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจที่ถูกสั่นคลอน (+ อนิเมชั่นเรื่องโปรดในดวงใจของข้าพเจ้าที่หายสาปสูญ)
เพราะความตระหนักรู้ คือสิ่งสำคัญ
และมันเป็นเหตุผลหลักที่เราควรย้อนกลับมาเพื่อตั้งคำถามของมันอยู่อย่างเสมอ...
นับจากช่วงเวลาเมื่อไม่นานมานี้ ผมเพิ่งได้มีโอกาสได้รับทราบถึงประเด็นเรื่องราวอันร้อนฉ่า เกี่ยวกับเรื่องราวของ 'ความเชื่อทางศาสนา' ซึ่งมันมีจุดเริ่มต้นมาจากการที่เหล่าผู้รอบรู้ในด้านพระธรรมต่างได้มาโต้เถียงกันในรายการ ๆ หนึ่ง ซึ่งผมจะไม่ขอเปิดเผยชื่อรายการนั้นเสียเท่าไหร่ (แต่หวังว่าพวกคุณคงจะรับทราบกันโดยอยู่แล้ว ผ่านหน้าโซเชียลมีเดียที่ได้ติดตามกัน)
แน่นอนว่าตัวผมอาจจะไม่ได้ดูในการโต้เถียงเรื่องเหล่านั้นมากนัก อันเนื่องมาจากคำว่า 'ศาสนา' ในมุมมองของผม ล้วนเป็นเรื่องของความเชื่อส่วนบุคคลที่แต่ละคนนั้นล้วนมีการยึดถือในระดับที่ไม่เท่ากัน
ทว่าเรื่องราวหนึ่งที่มันน่าสนใจจนผมอดไม่ได้ที่อยากจะพูดคุยถึงเรื่องนี้สักหน่อย นั่นก็คงเป็นเพราะว่ามันดันข้องเกี่ยวเนื่องไปกับคำ ๆ หนึ่งที่มันมีนิยาม ๆ ที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยหลักการที่มองเห็นอย่างเป็นรูปธรรมอันชัดเจน
หากแต่... มันกลับกลายเป็นสิ่งที่เหมือนกับขึ้นอยู่กับการ 'ตีความ' ตามความเข้าใจของคนผู้นั้น
ผมจะไม่พูดถึงเรื่องนี้โดยเอ่ยชื่อหรือนามของใคร ทว่าจะเป็นการตั้งคำถามที่พวกคุณไม่จำเป็นต้องตอบให้ผมรู้ และคำตอบนั้นจะไม่มีการคิดคะแนน ไม่มีการตัดสินว่ามันถูก - ผิด หากแต่ผมอยากให้พวกคุณเก็บคำตอบนั้นเอาไว้ในใจให้ดี ๆ แล้วหันกลับมามองมันเสียใหม่ในวันรุ่งขึ้น หรือไม่ก็ในอีกหนึ่งสัปดาห์ หนึ่งเดือน หรือหนึ่งปีต่อจากนั้น ย้อนมองกลับมามองคำตอบที่คุณได้เขียนเอาไว้และหันกลับมามองคำถาม ๆ ที่ผมได้ทิ้งเอาไว้อีกครั้ง
ความเชื่อ คืออะไรในนิยามของคุณ?
คุณเชื่อมั่นใน 'ความเชื่อ' ของตัวเองได้มากแค่ไหน?
จะทำอย่างไร หากความเชื่อเหล่านั้นมันได้พังทลายลง ด้วยข้อเท็จจริงที่มันได้รับการพิสูจน์?
สามคำถามนี้ ผมอยากจะขอทิ้งทวนไว้เพื่อให้เป็น 'การบ้าน' ในการให้คุณได้ไปฉุกคิดมัน หาคำตอบที่คุณคิดว่ามัน 'ถูกต้อง' ตามหลักของเหตุผลที่คุณคิดว่ามัน ตรงใจ ในมุมมองของคุณ
เมื่อคุณได้รับทราบคำตอบเหล่านั้นแล้ว ขอให้กลับมาทบทวนถึงมันใหม่อีกครั้ง ณ ช่วงเวลาที่คุณได้เริ่มตระหนักรู้ถึงเรื่องราวความเป็นจริงที่ธรรมชาติได้สอนไว้ให้กับคุณ
นับเป็นปัญหาอยู่มาอย่างเนิ่นนานที่ผมเองได้พยายามค้นหาคำตอบของคำถามเหล่านั้นเป็นระยะเวลานาน หากแต่มีหลายครั้งที่ผมเองก็ได้หันกลับเข้ามาเพื่อพยายาม 'ตระหนักรู้' และ 'ฉุกคิด' ถึงสิ่งที่ตัวเองเชื่อและยึดถือมันอยู่ตลอดเวลา ไม่เว้นแม้แต่กระทั่งการที่ผมใช้เวลาไปกับการร่างงานตัวเองภายในหัว นับตั้งแต่ที่ลุกขึ้นจากเตียงนอน และใช้เวลาไปกับการเขียนงานเหล่านั้นไปเป็นระยะเวลานาน
เป็นเรื่องค่อนข้างยากเสียหน่อย ที่ดูเหมือนว่าสมองของมนุษย์เรานั้นมันไม่สามารถที่จะหยุดทำงานได้ ต่างกันจากอวัยวะต่าง ๆ บนร่างกายของเราที่เมื่อมันเกิดความเหนื่อยล้า มันก็ได้ส่งสัญญาณเข้าผ่านตัวกลางในหัวของเราเพื่อเตือนให้เรา 'หยุดพัก' หรือไม่ก็เป็นการ 'ปิดสวิตซ์' ตัวเองไปทันทีแบบอัตโนมัติ
ทั้งนี้แล้ว ผมจดจำไม่ค่อยได้เท่าไหร่ว่าครั้งสุดท้ายที่สมองของผมมันได้ 'ชัตดาวน์' ตัวเองไปคือช่วงตอนไหน ทว่าน่าจะคงหนีไม่พ้นช่วงของการที่ตัวผมเองกำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบากและจมอยู่กับความทุกข์ระทมเป็นเวลานาน ๆ ก่อนที่ชนวนระเบิดแห่งความโกรธและความรุนแรงจะถูกจุดขึ้นมา
อย่างไรก็ดี เรื่องนั้นคือเวลาในอดีต ที่มันเป็นผลพวงมาจากการที่ผมไม่ยอมจะ 'ปล่อยวาง' มันลงไปโดยง่าย
'กาลเวลา (Time)' ยังคงดำเนินต่อไป
หากแต่จิตใจของมนุษย์นั้น กลับยังคงยึดติดถึงช่วงเวลาอดีตที่มันผ่านพ้นไปแล้ว
แน่นอนว่าสำหรับบล็อกนี้ ผมเองคงจะไม่ได้พูดถึงแค่เรื่องราวเกี่ยวกับความเชื่อเพียงอย่างเดียว กระนั้นมันยังได้พ่วงมาพร้อมกับสิ่ง ๆ หนึ่งที่ผมเชื่อว่าน่าจะเป็นสิ่งที่ผมเองไม่ค่อยได้มีโอกาสพูดให้ฟังมากเสียเท่าไหร่
หนึ่งในนั้นคือเรื่องราวเกี่ยวกับ 'รสนิยม' และ 'ความชอบ' ในสิ่งที่แม้มันจะดูไม่ได้เป็นที่พิมพ์นิยมมากนัก ทว่ามันกลับถือเป็นหนึ่งในจุดเริ่มต้นที่ทำให้ตัวผมเองได้หันเหกลับไปเพื่อระลึกถึงมัน มองย้อนไปถึง ณ ช่วงเวลาก่อนที่ผมจะรู้สึกหนักหน่วงกับเรื่องราว ณ ปัจจุบันที่ผมกำลังเขียนมันอยู่
R W B Y
อาจต้องขอตัดบทถึงเรื่องราวชวนดำดิ่งไปเสียเล็กน้อย และขออนุญาตมาข้ามถึงการที่ผมได้สาธยายและบอกเล่าถึงความชอบในอนิเมชั่นจากฝั่งตะวันตกเรื่อง ๆ หนึ่งที่แม้ว่ามันอาจจะไม่ได้ 'โด่งดัง' มากนักเท่าที่ควร และ ณ ปัจจุบันดูเหมือนว่าเจ้าของลิขสิทธิ์ในเรื่องราวของตัวผู้แต่งเอง ท่านก็ได้จากลาโลกนี้ไปเนิ่นนานแล้ว ฉะนั้นผมอาจจะขอกล่าวอะไรก่อนเพื่อเป็นการอุทิศให้กับหนึ่งในผู้สร้างผลงานเรื่องนี้ เพื่อให้เขาได้รับรู้ว่ามันได้ส่งผลต่อความเปลี่ยนแปลงให้กับผู้คนไปมากแค่ไหน
May you rest in peace, Monty Oum.
ณ ช่วงเวลาเดียวกันของการที่ผมได้คิดประเด็นหัวข้อเกี่ยวกับเรื่องของความเชื่ออยู่ ในวันหนึ่งผมก็ได้ไปสังเกตเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่มันทำให้ผมได้ย้อนกลับไปรำลึกถึงเรื่องราว ณ ช่วงเวลาตอนนั้น ซึ่งถ้าข้ามไปในส่วนของอดีตที่เจอมา อีกอย่างหนึ่งเองที่มันได้มีอิทธิพลต่อตัวผมมากพอสมควร คือการที่ผมได้มีโอกาสในการรับฟังบทเพลงถึงอนิเมชั่นเรื่อง ๆ นี้ ซึ่งผมคงต้องขอสารภาพว่ามันค่อนข้าง 'ถูกอกถูกใจ' ตัวผมมากพอสมควร (และมันก็เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้นิยายเรื่องแรก และในเรื่องต่อ ๆ ไป ถึงได้มี 'กลิ่นอาย' ของเรื่องราวแนวนี้แฝงไว้อยู่)
หากแต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ผมคงจะไม่ขอเล่าถึงเรื่องราวส่วนเนื้อหาและเนื้อเรื่องมันมากเสียเท่าไหร่ ทั้งนี้มันเป็นสิ่งที่ยังไม่สามารถหาบทสรุปที่จบลงได้อย่างแน่ชัด ประกอบกันกับ ณ ช่วงเวลาที่มันได้ผ่านมาอย่างเนิ่นนานเอง ทิศทางความเป็นไปของอนิเมชั่นดังกล่าวมันได้มีการเปลี่ยนแปลง 'เนื้อหาหลัก' ไปมากพอสมควร และผมเองก็ไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นไปในทางที่ดีเสียเท่าไหร่ แม้ต่อให้โทนเรื่องราวนั้นจะถูกปรับให้มันมีการเล่นถึงเรื่องราวที่มีการดำดิ่งลงไปในเรื่องของ 'สภาวะความเจ็บปวดทางจิตใจ' ไปก็ตาม...
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เพื่อให้เข้าใจตรงกันเกี่ยวกับเหตุผลที่ผมชื่นชอบใน RWBY ฉะนั้นแล้วผมจะขอพูดถึงรายละเอียดปลีกย่อยบางอย่างที่มัน 'อาจจะ' มีคนบางส่วนมองข้ามไปเสียหน่อย
อย่างแรก RWBY เป็นเรื่องราวว่าด้วยการเติบโตของตัวละครที่มีความต้องการในการเป็น Hunter (หรือ Huntress) ในการล่าเหล่าปีศาจร้ายที่ก่อกำเนิดขึ้นมาจากอำนาจมืดบางอย่างที่มันถูกเรียกว่า 'กริมม์ (Grimm)' โดยเรื่องราวส่วนใหญ่ ช่วงระยะแรกมันเน้นไปโฟกัสทางด้านของการเปิดตัวละครหลาย ๆ ตัวตามแบบฉบับของ 'อนิเมะญี่ปุ่น' ทั่ว ๆ ไปที่มันไม่ได้มีความพิเศษอะไรมากนัก
แน่นอน อาจมีจุดแตกต่างอยู่บ้างในบางจุดเล็ก ๆ ทว่าโดยรวม ความน่าสนใจของมันส่วนใหญ่ไม่ได้กลับไปอยู่ตรงเรื่องราวการดำเนินเรื่องเหล่านั้น แต่กลับเป็น 'การเติบโต' หรือ 'Character Development' ที่ตัวละครหลาย ๆ ตัวเริ่มมีพัฒนาการที่เปลี่ยนแปลงไปตามแต่ละตอนที่มันดำเนินไป ซึ่งไม่ว่าจะด้วยเพราะความสัมพันธ์กันก็ดี หรือแม้แต่การค้นพบถึงพลังแฝงภายในตัวที่มันเองได้ถูกปลุกขึ้นมา (ซึ่งก็ตามแบบฉบับอนิเมะโชเน็นทั่วไปอีก xD)
ทว่าอย่างไรแล้ว เสน่ห์หนึ่งอย่างที่ผมกลับรู้สึก 'ถูกโฉลก' กับเรื่องนี้มากเป็นพิเศษ คงจะหนีไม่พ้นเรื่องของการดีไซน์คาแรคเตอร์ แนวคิดของการตั้งชื่อ และเรื่องราวเบื้องหลังของอาวุธแต่ละชนิดที่มันถูกสร้างขึ้นโดยการนำมา 'ผสมผสาน' กันในรูปแบบที่หาไม่ค่อยได้บ่อยนักในอนิเมะแนวตลาดทั่วไป
แน่นอนว่านี่อาจเป็นรายละเอียดเล็ก ๆ ปลีกย่อยที่ดูไม่มีความสำคัญอะไร หากแต่มันกลับค่อนข้างจุดประกายทำให้ผมรู้สึกว่ามันคือความประทับใจที่ผมไม่อาจลืมมันไปได้เลย
เช่นเดียวเองกับเรื่องของเพลงประกอบที่ตัวมันเอง ทำหน้าที่เสมือนเป็นการบ่งบอกถึงเรื่องราวของตัวละครแต่ละตัว ณ ช่วงเวลาที่ฉากการต่อสู้มันได้เริ่มต้นขึ้น (ซึ่งใช่ RWBY เป็นอนิเมชั่นแนวต่อสู้ ก็ต้องมีการต่อสู้เป็นธรรมดา จริงไหม? ¯\_(ツ)_/¯)
ทั้งนี้แล้วในส่วนของเรื่องราวของการตั้งชื่อเองก็สำคัญ ซึ่งถ้าจะให้ผมสรุปแบบสั้น ๆ เอง การตั้งชื่อตัวละครและอาวุธจะอ้างอิงมาจากการนำเอา 'แม่สี' หรือคำที่มีความหมายบ่งบอกเกี่ยวกับสีหรือองค์ประกอบที่มันยึดโยงไปถึงตัวของคาแรคเตอร์ดีไซน์เสียเป็นส่วนใหญ่ ทั้งนี้เองอาจมีบางตัวที่มันมีส่วนเกี่ยวข้องกับรูปแบบของพลังที่มีการใช้งานด้วยเช่นกัน
พลังเวทมนตร์ ภายในเรื่องราวของ RWBY จะมีอยู่สองแบบ หลัก ๆ แล้วคือสิ่งที่เรียกว่า 'ดัสต์ (Dust)' ที่มีลักษณะเป็นเหมือนผลึกเวทมนตร์ทั่วไปที่หาได้ตามท้องไร่ท้องนา (#ไม่ใช่) กับอีกหนึ่งอย่างที่มันถูกเรียกว่า 'เซมแบลนซ์ (Semblance)' ที่มันจะเป็นลักษณะจำเพาะเจาะจงของตัวละครแต่ละตัว โดยมากจะอยู่ในรูปแบบของ 'พลังแฝง' ที่มันมีพัฒนาการดำเนินไปเรื่อย ๆ ผ่านการฝึกฝนทั้งทางร่างกายและจิตใจ ทั้งนี้เองแล้วเพื่อให้เข้าใจตรงกัน สิ่งที่เรียกว่า 'ดัสต์' และ 'เซมแบลนซ์' คือสิ่งที่แยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิง
ไม่ใช่นักล่าทุกคนที่จะมีสิ่งที่เรียกว่า 'เซมแบลนซ์' หากแต่มันก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีสิ่งเหล่านั้นอยู่
อย่างไรเอง ผมคงไม่มีความอาจหาญมากเพียงพอจะบอกว่า Lore เรื่องราวเกี่ยวกับจักรวาลของ RWBY จะเป็นสิ่งที่มันตายตัวไปเสมอ ว่ากันตามตรงแล้ว มันอาจสามารถมีการเปลี่ยนแปลงไปได้ตลอดเวลา นั่นหมายความว่าบางสิ่งที่มันถูกกำหนดเอาไว้แต่ต้น ก็มีโอกาสในการที่ตัวมันเองจะสามารถถูกแปลงออกไปในรูปของการเล่าเรื่องในเรื่องราวที่แตกต่างกัน ซึ่งทั้งนี้เอง 'ใจความหลัก (Core)' สำคัญเกี่ยวกับ RWBY มันคือเรื่องราวการเติบโตของเหล่าหนุ่มสาว ผู้ที่กำลังออกไปเพื่อเผชิญหน้ากับสิ่งชั่วร้าย (Grimm) ที่มันวางแผนในการ ยึ ด ค ร อ ง โ ล ก หรือไม่ก็ทำลายล้างโลก (หรือไม่ก็อะไรสักอย่างหนึ่งนั่นแหละ เอาเป็นว่ามันก็ Villian 101 อ่ะ you know?)
อย่างไรก็ตาม อย่างที่ผมได้บอกไปตั้งแต่ข้างต้นว่าด้วยความที่เรื่องราวของ RWBY มันได้มีการดำเนินการสร้างไปเป็นจำนวนเยอะเอามาก ๆ รวมไปถึงการพยายามจับเอาประเด็นสำคัญของเนื้อเรื่องนั้นก็ดูเหมือนจะเป็นอะไรที่ 'ยาก' เกินแก่จะทำความเข้าใจไปเสียหน่อย หลายครั้งที่บางอย่างมันมีการเปลี่ยนแปลงไปจนกลายเป็นที่กล่าวถึงและมีการถกเถียงกันเป็นจำนวนมาก ซึ่งไม่นับรวมไปถึงการที่ตัวตนของ RWBY ก็ดูจะ 'ผิดแผก' ไปจากจุดมุ่งหมายเดิมที่มันอาจเริ่มต้นจากเพียงแค่จินตนาการที่มันไม่ได้มีความซับซ้อนอะไรไปมากกว่าแค่การได้เสพทัศนีย์ภาพสวย ๆ การกำกับฉากแอคชั่นที่ดูเท่ ๆ หรือการได้เห็นดีไซน์การออกแบบตัวละครและอาวุธที่มันมีความ Unique ของตัวเองสูงในระดับหนึ่ง
ทว่า... ไม่รู้ว่าเพราะเหตุอันใด จู่ ๆ เรื่องราวส่วนนั้นกลับถูกตัดทิ้งไป กลายเป็นเพียงว่ามันกลับไปโฟกัสเกี่ยวกับเรื่องราวการเติบโตของตัวละครที่ดันดึงอารมณ์ให้เรื่องราวชวน 'ดิ่งลง' อย่างไร้สาเหตุ
** Spoiler, Duh. **
อย่างไรเอง ผมคงไม่ขอออกความเห็นว่าทิศทางความเป็นไปของเรื่องราว RWBY ในอนาคตจะเป็นยังไง เป็นไปได้หรือไม่ที่มันอาจมีการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างอยู่ ภายใต้ของการที่จุดเริ่มต้นมันมาจากเพียงแค่ 'ความชอบ' ของคน ๆ หนึ่งที่แค่อยากทำอนิเมชั่นเจ๋ง ๆ สักเรื่องหนึ่ง
ก่อนที่ภายหลังจากนั้นมันจะดันกลับกลายเป็น 'แบรนด์สินค้า' แบรนด์หนึ่งไปที่ถูกหลงลืมไปตามกาลเวลา...
กระนั้น 'อดีต' ก็ล้วนคือ 'อดีต' ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับอนาคตและทิศทางความเป็นไปได้นั้นจะดำเนินไป ณ จุด ๆ ไหน
ทุกตัวเลือกมันล้วนมีความเป็นไปได้ หากแต่อย่างไรเสีย ผมคิดว่าการพูดถึงอนิเมชั่นเรื่องนี้มันคงจะเป็นสิ่งที่ดูจะช่วยให้เรื่องราวเกี่ยวกับ 'ความเชื่อ' ที่บอกไปด้านบนมันดูดำดิ่งน้อยลงไปเสียหน่อย ถึงกระนั้นผมหวังว่าพวกคุณยังคงไม่ลืมหรอกว่าก่อนหน้านั้นผมได้ทิ้งทวนคำถามเอาไว้แล้วเกี่ยวกับสิ่ง ๆ นั้น
ความเชื่อ คืออะไรในนิยามของคุณ?
คุณเชื่อมั่นใน 'ความเชื่อ' ของตัวเองได้มากแค่ไหน?
จะทำอย่างไร หากความเชื่อเหล่านั้นมันได้พังทลายลง ด้วยข้อเท็จจริงที่มันได้รับการพิสูจน์?
ขอบคุณที่อ่านจนจบ
ไว้เรามาเจอะเจอกันอีกครั้ง ณ ยามเมื่อค่ำคืนขนหัวลุกได้มาเยี่ยมเยือน :>
(Artist - ARCANA墨丘利)
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น